ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>

พระวรสารแห่งชีวิต

     ชีวิตมนุษย์มีต้นกำเนิดในองค์พระผู้เป็นเจ้า ทุกชีวิตมนุษย์จึงมาจากพระเจ้าและเป็นของพระเจ้า ทุกชีวิตมนุษย์เป็นของขวัญล้ำค่าที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่โลก

บทนำ
บทที่ 1
บทที่ 2
บทที่ 3
บทที่ 4
บทส่งท้าย

7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28

23. เงามืดที่บดบังสำนึกถึงพระเจ้าและสำนึกถึงมนุษย์ย่อมนำไปสู่ลัทธิวัตถุนิยมเชิงปฏิบัติ (practical materialism) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งขยายพันธ์ออกเป็นลัทธิปัจเจกชนนิยม (individualism) ลัทธิประโยชน์นิยม (utilitarianism) และลัทธิสุขารมณ์นิยม (hedonism) ณ ที่นี้เราเห็นว่าถ้อยคำของท่านอัครสาวกเปาโลยังใช้การได้เสมอ “เนื่องจากพวกเขาไม่ยอมรับรู้พระเจ้า พระองค์จึงทรงทอดทิ้งพวกเขาให้หลงผิด และประพฤติชั่ว” (รม 1:28) คุณค่าของ “การเป็น” ถูกแทนที่ด้วย “การมี” มนุษย์ถือเอาเป้าหมายเดียว คือ มุ่งหาความผาสุกด้านวัตถุให้ชีวิตตน สิ่งที่เรียกกันว่า “คุณภาพชีวิต” นั้น มีความหมายแรกหรือไม่ก็ หมายถึงเพียงเฉพาะแค่เรื่องของการมีประสิทธิภาพทางด้านเศรษฐกิจ การบริโภคเกินพอ การมีความสวยงามทางร่างกาย และการมีความสนุกสนานในชีวิต จนถึงขั้นละเลยต่อมิติที่ลึกซึ้งกว่าของการเป็นอยู่แบบมนุษย์ นั่นคือ การมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน การมีชีวิตฝ่ายจิต และการมีศาสนาประจำชีวิต

ในบริบทเช่นนี้ ความทุกข์อันเป็นภาระที่ความเป็นอยู่แบบมนุษย์มิอาจหลีกพ้นได้ แต่ก็เป็นปัจจัยช่วยให้มนุษย์แต่ละคนเจริญเติบโตได้ ก็ “ถูกตรวจสอบ” ถูกปฏิเสธหาว่าเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ และที่จริงก็ถูกโต้แย้งด้วยว่าความทุกข์เป็นสิ่งชั่วร้ายที่มนุษย์จะต้องหลีกเลี่ยงให้พ้นจากมันเสมอทุกวิถีทาง เมื่อไม่อาจหลีกพ้นความทุกข์ไปได้ และเมื่อมองไม่เห็นอนาคตอันผาสุกสดใสของตน ชีวิตมนุษย์ก็ดูเหมือนจะสูญเสียซึ่งความหมายทุกอย่าง และเกิดมีการประจญขึ้นในตัวมนุษย์ให้อ้างสิทธิที่ จะกำจัดความทุกข์ให้สิ้น

ในบรรยากาศทางวัฒนธรรมเดียวกันนี้ ร่างกายมนุษย์มิได้รับการเข้าใจว่าเป็นสภาพความเป็นจริงส่วนบุคคลของตัวเองโดยเฉพาะ เป็นเครื่องหมายและเป็นสถานที่สำหรับมนุษย์ติดต่อสัมพันธ์กับบุคคลอื่น กับพระเจ้า และกับโลก ร่างกายมนุษย์กลับถูกลดคุณค่าลงเป็นแค่วัตถุสสารอย่างหนึ่งเท่านั้น นั่นคือ ร่างกายมนุษย์เป็นเพียงองค์รวมของอวัยวะต่างๆ ของการทำหน้าที่ต่างๆ และของพละกำลังที่มนุษย์นำมาใช้ด้วยมาตรฐานเดียวคือ เพื่อความสุขารมณ์ของตนและเพื่อความมีประสิทธิผลเป็นสำคัญ ผลที่ตามมาก็คือ เพศมนุษย์จึงถูกลดคุณค่าความเป็นมนุษย์และถูกกดขี่ข่มเหง นั่นคือจากที่ร่างกายมนุษย์เป็นเครื่องหมาย เป็นสถานที่และเป็นภาษาของความรัก ของการมอบตัวเองให้แก่กันและกันและยอมรับกันและกันในความเป็นตัวบุคคลของผู้นั้นเพศมนุษย์กลับกลายเป็นโอกาสและเครื่องมือเพื่ออวดอ้างตัวเองและเพื่อหาความสนุกสนานพึงพอใจแบบเห็นแก่ตัวตามความอยากปรารถนาและตามสัญชาตญาณของตนเอง ฉะนั้น ความสำคัญดั้งเดิมของเพศมนุษย์จึงผิดเพี้ยนไปและไม่ตรงตามความจริง และความหมายสองประการคือ เพื่อร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันและเพื่อให้กำเนิดมนุษย์ที่มีอยู่ในธรรมชาติของการมีเพศสัมพันธ์กันฉันท์สามีภรรยา ก็ถูกแบ่งแยกจากกันด้วยการกระทำของมนุษย์ นั่นคือ ในแบบนี้เอง เอกภาพของการสมรสจึงถูกทรยศและการมีบุตรจึงตกอยู่ภายใต้การทำตามใจชอบของสามีภรรยานั้น การให้กำเนิดมนุษย์กลับกลายเป็น “ศัตรู” ที่จะต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดมีขึ้นในการมีเพศสัมพันธ์กัน นั่นคือ ถ้ามีการตั้งครรภ์ขึ้นก็ต้องมาจากความ ต้องการอยากมีบุตรเท่านั้น หรือไม่ก็ต้องมาจากความตั้งใจจริงของตนที่ต้องการมีบุตรให้ได้ “ทุกวิถีทางเท่านั้น” และกลับมิใช่เป็นเพราะว่าการมีเพศสัมพันธ์กันนั้น บ่งบอกถึงว่าเป็นการยอมรับซึ่งกันและกันอย่างสมบูรณ์ และเป็นการเปิดตัวเองให้ ความสมบูรณ์ของชีวิตที่มีบุตรนั้นเป็นตัวแทนบ่งถึง

จากมุมมองแบบวัตถุนิยมที่อธิบายความมาจนถึงเวลานี้ ความสัมพันธ์กันระหว่างบุคคลนั้นตกต่ำลงอย่างร้ายแรง คนพวกแรกที่ถูกทำร้ายก็คือพวกผู้หญิง เด็กๆ คนเจ็บป่วยหรือคนที่ กำลังทุกข์ทรมานและคนชรา มาตรการชี้วัดศักดิ์ศรีของมนุษย์ ซึ่งเรียกร้องให้มีความเคารพ ความมีใจเมตตากรุณาและการับใช้ กันนั้น ถูกแทนที่ด้วยมาตรการชี้วัดในเรื่องการมีประสิทธิภาพ การทำงานได้และการมีผลประโยชน์ให้เป็นสำคัญ กล่าวคือ มนุษย์คนอื่นนั้นถูกพิจารณามิใช่ในสิ่งที่เขา “เป็น” แต่ในสิงที่เรามี “ทำ หรือผลิตได้” ต่างหาก นี่แหละคือสภาวะการณ์ที่ผู้แข็งแรงแสดงอำนาจเหนือผู้อ่อนแอ

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย