ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>

พระวรสารแห่งชีวิต

    ชีวิตมนุษย์มีต้นกำเนิดในองค์พระผู้เป็นเจ้า ทุกชีวิตมนุษย์จึงมาจากพระเจ้าและเป็นของพระเจ้า ทุกชีวิตมนุษย์เป็นของขวัญล้ำค่าที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่โลก

บทนำ
บทที่ 1
บทที่ 2
บทที่ 3
บทที่ 4
บทส่งท้าย

29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40
41 42 43 44 45 46 47 48 49 50 51

31. ในพระคัมภีร์พันธะสัญญาเดิม ได้มีการเตรียมการเพื่อสารพระวรสารเกี่ยวกับชีวิตไว้ครบถ้วนแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเหตุการณ์ต่างๆ ในหนังสืออพยพ ซึ่งเป็นศูนย์กลางประสบการณ์ความเชื่อของพันธะสัญญาเดิม ชาวอิสราเอลค้นพบว่าชีวิตมนุษย์ เป็นสิ่งล้ำค่ายิ่งในสายพระเนตรของพระเจ้า เมื่อชีวิตดูเหมือนต้องประสบเคราะห์กรรมถูกทำลายล้าง เนื่องจากความตายกำลังคุกคามทารกชายที่เกิดมาของพวกตน (เทียบ อพย 1:15-22) พระเจ้าก็ทรงเผยแสดงองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแก่ชนอิสราเอลด้วยฤทธานุภาพที่ให้ประกันอนาคตของพวกเขาที่ปราศจากความหวัง ชาวอิสราเอลจึงมารู้แน่ชัดว่า ความเป็นอยู่ของตนนั้นมิได้ขึ้นอยู่กับกษัตริย์ฟาโรห์ ผู้สามารถทำลายล้างพวกเขาเมื่อไรก็ได้แล้วแต่ความพอใจแบบทรราชของพระองค์ ตรงกันข้าม ชีวิตของชนอิสราเอลนั้นเป็นของรักของหวงของพระเจ้ายิ่งนัก การเป็นอิสระจากการเป็นทาสนั้นหมายถึงของประทานแห่งการมีเอกลักษณ์ (Identity) ของพวกเขา เป็นการรับรู้ถึงศักดิ์ศรีอันมิอาจทำลายได้และเป็นการเริ่มต้นประวัติศาสตร์ใหม่ ซึ่งในประวัติศาสตร์นี้เองที่การค้นพบพระเจ้า และการค้นพบตัวตนเองของพวกเขานั้นควบคู่กันไป เรื่องการอพยพเป็นประสบการณ์พื้นฐานและเป็นตัวต้นแบบสำหรับอนาคต โดยทางการอพยพนี้เอง ชนอิสราเอลก็เรียนรู้ว่า เมื่อไรก็ตามที่ความเป็นอยู่ของตนถูกคุกคาม พวกเขาก็จำเป็นต้องหันเข้าหาพระเจ้าด้วยความไว้วางใจเสียใหม่ เพื่อจะได้พบความช่วยเหลืออันทรงประสิทธิภาพได้ในพระองค์ผู้เดียว “เราได้ปั้นเจ้า เจ้าเป็นผู้รับใช้ของเรา โอ อิสราเอลเอ๋ย เราจะไม่ลืมเจ้าเลย” (อสย 44:21)

ฉะนั้น ในการได้มารู้จักคุณค่าของความเป็นอยู่ของตนนี้เอง ชนอิสราเอลจึงเติบโตขึ้นในการมีความเข้าใจถึงความหมายและคุณค่าของชีวิตด้วย การพิจารณาทบทวนถึงเรื่องนี้ได้รับการพัฒนาเป็นพิเศษยิ่งขึ้นในวรรณกรรมพระปรีชาญาณ บนพื้นฐานจากประสบการณ์ในชีวิตประจำวันในเรื่องความไม่แน่นอนของชีวิต และการมีความสำนึกถึงภัยคุกคามต่างๆ ที่ชีวิตมนุษย์ต้องประสบอยู่นั้น เมื่อต้องเผชิญกับความขัดแย้งต่างๆ ในชีวิต ความเชื่อก็ถูกท้าทายให้ต้องตอบสนอง

เหนือสิ่งอื่นใด เป็นปัญหาเรื่องความทุกข์ซึ่งท้าทายความเชื่อ และคอยทดสอบความเชื่ออยู่เสมอ เราจะไม่รู้สึกชื่นชมกับความทุกข์ของผู้คนในโลกได้อย่างไร เมื่อเรารำพึงถึงเรื่องนี้ในหนังสือโยบ? เราพอเข้าใจได้ว่า มนุษย์ผู้บริสุทธิ์ที่ถูกโถมทับด้วยความทุกข์นั้นถึงกับต้องร้องออกมาด้วยความรู้สึกอัศจรรย์ใจว่า “ไฉนหนอ มนุษย์ผู้ทนทุกข์เวทนาอย่างนี้ ยังได้รับแสงสว่าง และผู้ที่มีใจระทมทุกข์ได้รับชีวิต ผู้คอยความตาย มันก็ไม่มา และขุดหามันมากกว่าหาสมบัติที่ซ่อนอยู่” (โยบ 3:20-21) แต่แม้เมื่อตกอยู่ในความมืดมิด ความเชื่อก็ยังมุ่งไปสู่การรับรู้ที่เปี่ยมด้วยความไว้วางใจและถวายเกียรติพระเจ้าถึง “ธรรมล้ำลึก” นี้ “ข้าพระองค์ทราบแล้วว่า ข้าพระองค์กระทำทุกสิ่งได้ และพระประสงค์ของพระองค์จะไม่ถูกขัดขวาง” (โยบ 42:2)

การไขแสดงของพระเจ้านี้ค่อยๆ เผยให้มนุษย์ได้มีความรู้เป็นครั้งแรกถึงชีวิตอมตะที่องค์พระผู้สร้างได้ทรงปลูกไว้ในใจมนุษย์ เพื่อมนุษย์จะได้รับรู้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ว่า “พระองค์ทรงกระทำให้สรรพสิ่งงดงามตามฤดูกาลของมัน พระองค์ทรงบรรจุนิรันดร์กาลไว้ในจิตใจของมนุษย์” (ปชญ 3:11) ความรู้ประการแรกถึงความสมบูรณ์ครบถ้วนนี้กำลังรอคอยให้ได้รับการเผยแสดงในความรัก และนำไปสู่ความสมบูรณ์โดยพระพรที่พระเจ้าประทานให้มนุษย์ฟรีๆ โดยทรงให้มนุษย์เข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตนิรันดรของพระองค์

“พระนามเยซู...ทำให้ชายผู้นี้กลับมีกำลังขึ้นมาอีก”
(กจ 3:16) : พระเยซูทรงนำความหมายของชีวิต
ไปสู่ความสมบูรณ์ในท่ามกลางความไม่แน่นอนต่างๆ
ของชีวิตมนุษย์

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย