ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
ชีวิตมนุษย์มีต้นกำเนิดในองค์พระผู้เป็นเจ้า ทุกชีวิตมนุษย์จึงมาจากพระเจ้าและเป็นของพระเจ้า ทุกชีวิตมนุษย์เป็นของขวัญล้ำค่าที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่โลก
บทนำ
บทที่ 1
บทที่ 2
บทที่ 3
บทที่ 4
บทส่งท้าย
29 30
31 32 33
34 35 36
37 38 39
40
41 42 43
44 45 46
47 48 49
50 51
34. ชีวิตเป็นสิ่งดีเสมอ นี่เป็นการรับรู้ตามสัญชาตญาณ
และเป็นข้อเท็จจริงของประสบการณ์
และมนุษย์ถูกเรียกให้มารับรู้เหตุผลว่าทำไมจึงเป็นเช่นนี้
ทำไมชีวิตจึงเป็นสิ่งดี? คำถามนี้พบได้ทุกแห่งในพระคัมภีร์
และตั้งแต่หน้าแรกของพระคัมภีร์แล้วที่คำถามนี้ได้รับคำตอบอันทรงพลังและน่าทึ่งมาก
ชีวิตที่พระเจ้าทรงประทานให้มนุษย์นั้นแตกต่างจากชีวิตของสรรพสิ่งที่มีชีวิตอื่นๆ
มากนัก โดยที่ในฐานะเป็นมนุษย์ แม้ว่าจะถูกสร้างขึ้นมาจากฝุ่นดินก็ตาม (เทียบ ปฐก
2:7 ; 3:19 ; โยบ 34:15 ; สดด 103:14 ; 104:29)
มนุษย์ก็เป็นผู้เผยแสดงให้เห็นพระเจ้าในโลก
มนุษย์เป็นเครื่องหมายบ่งบอกถึงการประทับอยู่ของพระเจ้า
มนุษย์เป็นภาพร่างแห่งพระสิริของพระเจ้า (เทียบ ปฐก 1:26-27 ; สดด 8:6)
นี่เป็นสิ่งที่ท่านนักบุญอีเรเนอุส
แห่งลิอองส์ต้องการเน้นย้ำในคำนิยามอันลือชื่อของท่านที่ว่า
"มนุษย์ผู้มีชีวิตเป็นพระสิริของพระเจ้า"
มนุษย์ได้รับศักดิ์ศรีสูงส่งที่มีพื้นฐานมาจากสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นที่ผูกพันมนุษย์ไว้กับองค์พระผู้สร้างเขาขึ้นมา
กล่าวคือ ภาพสะท้อนถึงพระเจ้าส่องแสงอยู่ในตัวมนุษย์
หนังสือพระคัมภีร์ปฐมกาลยืนยันถึงสิ่งนี้ในสำนวนแรกที่เล่าถึงเรื่องการเนรมิตสร้างโลก
เมื่อวางมนุษย์ไว้ ณ จุดสูงสุดเสมือนมงกุฎของงานเนรมิตสร้างของพระเจ้า
เป็นอันดับสุดท้ายของกระบวนการซึ่งนำเอาภาพอันสับสนวุ่นวายไปสู่การเป็นสิ่งสร้างที่สมบูรณ์แบบที่สุด
ทุกสิ่งทุกอย่างในการเนรมิตสร้างนั้นถูกจัดระเบียบมุ่งไปสู่มนุษย์
และทุกสิ่งถูกสร้างมาให้อยู่ภายใต้การดูแลของมนุษย์
จงมีลูกมากและทวีจำนวนขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงเป็นนายเหนือทุกสิ่งที่มีชีวิต (ปฐก
1:28) นี่เป็นพระบัญชาของ พระเจ้าแก่มนุษย์ชาย-หญิง
สารทำนองเดียวกันนี้ยังพบได้ในสำนวนเล่าเรื่องการเนรมิตสร้างโลกอีกสำนวนหนึ่ง
พระยาเวห์พระเจ้าทรงนำมนุษย์มาไว้ในสวนเอเดน เพื่อเพาะปลูกและดูแลสวน (ปฐก 2:15)
เราเห็นได้ ณ ที่นี้ถึงการยืนยันว่ามนุษย์เป็นนายเหนือทุกสิ่ง
สรรพสิ่งถูกสร้างขึ้นมาให้อยู่ต่ำกว่ามนุษย์ และถูกมอบให้มนุษย์ดูแลรับผิดชอบ
จึงไม่มีเหตุผลใดที่มนุษย์จะต้องไม่อยู่ภายใต้อำนาจของมนุษย์คนอื่น
และเกือบจะถูกลดค่าลงเป็นแค่สิ่งของได้
จากเรื่องเล่าตามพระคัมภีร์นี้
ข้อแตกต่างระหว่างมนุษย์กับสรรพสิ่งสร้างทั้งหลายนั้น
ถูกแสดงให้เห็นเหนืออื่นใดจากข้อเท็จจริงที่ว่า
มนุษย์นั้นถูกนำเสนอเป็นผลอันเกิดจากการตัดสินใจเป็นพิเศษของพระเจ้า
เป็นการพอพระทัยของพระเจ้าที่ทรงให้มนุษย์มีสายสัมพันธ์พิเศษเฉพาะกับองค์พระผู้สร้าง
เราจงสร้างมนุษย์ขึ้นตามภาพลักษณ์ของเรา ให้มีความคล้ายคลึงกับเรา (ปฐก 1:26)
ชีวิตที่พระเจ้ามอบให้มนุษย์
เป็นของประทานที่พระเจ้าทรงแบ่งปันบางสิ่งที่เป็นของพระองค์แก่สิ่งสร้างของพระองค์นี้
ชนอิสราเอลคงได้พิจารณาไตร่ตรองเป็นเวลายาวนานถึงความหมายของสายสัมพันธ์เฉพาะนี้ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า
หนังสือพระคัมภีร์บุตรสิราก็รับรู้เหมือนกันว่า ในการสร้างมนุษย์พระเจ้า
ทรงประทานกำลังวังชาเหมือนกับของพระองค์ให้มนุษย์
และทรงเนรมิตมนุษย์ตามภาพลักษณ์ของพระองค์ (บสร 17:3)
ผู้นิพนธ์พระคัมภีร์ฉบับนี้เห็นว่า
ส่วนหนึ่งของการเป็นภาพลักษณ์ของพระเจ้านี้มิใช่เพียงการที่มนุษย์มีอำนาจปกครองโลกเท่านั้น
แต่มนุษย์ยังมีคุณสมบัติฝ่ายจิตที่เป็นของมนุษย์เองโดยเฉพาะ อาทิเช่น เหตุผล
การวินิจฉัยแยกแยะระหว่างความดีกับความชั่ว รวมทั้งน้ำใจอิสระของมนุษย์ด้วย
พระองค์ทรงโปรดให้เขาเปี่ยมด้วยความรู้และความเข้าใจ
และให้เขารู้จักความดีและความชั่ว (บสร 17:6)
ความสามารถที่จะรู้ถึงสัจธรรมและอิสรภาพนั้นเป็นอภิสิทธิ์เฉพาะของมนุษย์
ในฐานะที่มนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาตามภาพลักษณ์ของพระเจ้า ผู้ทรงเป็นองค์ความสัจ
และองค์ความยุติธรรม (เทียบ ฉธบ 32:4) ในบรรดาสรรพสิ่งสร้างที่มองเห็นได้
มีมนุษย์ผู้เดียวเท่านั้นที่ สามารถรู้จักและรักองค์พระผู้สร้างของตนได้24
ชีวิตที่พระเจ้าทรงประทานให้มนุษย์นั้นเป็นมากกว่าแค่การเป็นอยู่ในกาลเวลา
ชีวิตนี้เป็นการมุ่งไปสู่ชีวิตสมบูรณ์
เป็นผลของการเป็นอยู่ที่ข้ามพ้นขอบเขตจำกัดของกาลเวลา
พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์มาให้เป็นอมตะ
พระองค์ทรงสร้างเขามาตามภาพลักษณ์แห่งชีวิตนิรันดรของพระองค์ (ปชญ 2:23)