ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>

พระวรสารแห่งชีวิต

    ชีวิตมนุษย์มีต้นกำเนิดในองค์พระผู้เป็นเจ้า ทุกชีวิตมนุษย์จึงมาจากพระเจ้าและเป็นของพระเจ้า ทุกชีวิตมนุษย์เป็นของขวัญล้ำค่าที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่โลก

บทนำ
บทที่ 1
บทที่ 2
บทที่ 3
บทที่ 4
บทส่งท้าย

29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40
41 42 43 44 45 46 47 48 49 50 51

41. บทบัญญัติ “อย่าฆ่าคน” ที่รวมถึงคำสั่งอันแสดงออกมาเต็มที่ทางด้านบวกให้รักเพื่อนบ้านของตนนั้น ได้รับการยืนยันอย่างแข็งขันอีกครั้งจากพระเยซูเจ้าเอง เมื่อเศรษฐีหนุ่มผู้นั้นทูลถามพระองค์ว่า “พระอาจารย์ข้าพเจ้าต้องทำความดีอะไร เพื่อจะมีชีวิตนิรันดร” พระเยซูเจ้าทรงตอบเขาว่า “ถ้าท่านอยากเข้าสู่ชีวิตนิรันดร ก็จงปฏิบัติตามบทบัญญัติเถิด” (มธ 19:16-17) แล้วพระเยซูเจ้าทรงอ้างบทบัญญัติประการนี้เป็นข้อแรก คือ “อย่าฆ่าคน” (มธ 19:18) ในคำเทศนาบนภูเขาพระเยซูทรงเรียกร้องบรรดาศิษย์ของพระองค์ให้มีความชอบธรรมที่เหนือกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์ และชาวฟาริสี ในเรื่องการมีความเคารพต่อชีวิตด้วย “ท่านได้ยินคำกล่าวแก่คนโบราณว่า อย่าฆ่าคนผู้ใดฆ่าคนจะต้องขึ้นศาล แต่เรากล่าวแก่ท่านว่าทุกคนที่โกรธเคืองพี่น้องก็จะต้องขึ้นศาล (มธ 5:21-22)

โดยทางพระวาจาและกิจการต่างๆ ของพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงเปิดเผยถึงข้อเรียกร้องด้านบวกของบทบัญญัติอันเกี่ยวกับการห้ามล่วงละเมิดชีวิตมนุษย์ ข้อเรียกร้องเหล่านี้ได้ถูกนำเสนออยู่แล้วในพันธะสัญญาเดิม ซึ่งการออกกฎหมายนั้นเป็นเรื่องของการป้องกัน และปกป้องชีวิตที่อยู่ในสภาพอ่อนแอ และถูกคุกคามในกรณีเป็นคนต่างชาติ หญิงม่าย ลูกกำพร้า คนป่วย และคนยากจนทั่วไป รวมทั้งเด็กที่อยู่ในครรภ์มารดาด้วย (เทียบ อพย 21:22 ; 22:20-26) ข้อเรียกร้องด้านบวกเหล่านี้ได้รับแรงผลักดันเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องปฏิบัติจากพระเยซูเจ้า และได้รับการเผย แสดงทั้งมิติด้านกว้างและด้านลึกด้วย คือ นับแต่การเอาใจใส่ดูแลชีวิตของเพื่อนมนุษย์ของตน (ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิต คนที่เป็นเชื้อชาติเดียวกันกับตน หรือคนต่างชาติที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินอิสราเอล ก็ตาม) ไปจนถึงให้ความสนใจต่อคนแปลกหน้า ถึงขั้นที่จะต้องรักศัตรูของตนด้วย คนแปลกหน้ามิใช่คนแปลกหน้าอีกต่อไปสำหรับผู้ที่กลายมาเป็นเพื่อนมนุษย์กับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือทั้งหลาย ถึงขั้นที่เขายอมรับผิดชอบต่อชีวิตของผู้นั้น ดังที่แสดงให้เห็นชัดในเรื่องอุปมาเรื่องชาวสะมาเรียผู้ใจดีนั้น (เทียบ ลก 10:25-37) แม้กระทั่งผู้เป็นศัตรู ก็ไม่เป็นศัตรูอีกต่อไปสำหรับผู้ที่จะต้องรักเขา (เทียบ มธ 5:38-48 ; ลก 6:27-35) “ทำดี” ต่อเขา (เทียบ ลก 6:27,33,35) และตอบสนองความต้องการของเขาผู้นั้นในทันที โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน (เทียบ ลก 6:34-35) ความรักขั้นสูงสุดนี้ก็คือสวดภาวนาให้ผู้เป็นศัตรูของตน โดยการกระทำดังนี้ เราก็ปฏิบัติสอดคล้องกับความรักของพระเจ้าที่คอยดูแลเอาใจใส่มนุษย์ “แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า จงรักศัตรู จงอธิษฐานภาวนาให้ผู้ที่เบียดเบียนท่าน เพื่อท่านจะได้เป็นบุตรของพระบิดาพระเจ้าสวรรค์ พระองค์โปรดให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นเหนือคนดีและคนชั่ว โปรดให้ฝนตกเหนือคนชอบธรรมและคนอธรรม” (มธ 5:44-45 ; เทียบ ลก 6:28-35)

ฉะนั้นสาระสำคัญอันลึกซึ้งที่สุดของบทบัญญัติของพระเจ้าที่ให้ปกป้องชีวิต ก็คือ ข้อเรียกร้องให้เรามีความเคารพรักต่อบุคคลมนุษย์ทุกคนและต่อชีวิตของเขาด้วย นี่เป็นคำสั่งสอนของท่านอัครสาวกเปาโล ที่สะท้อนพระวาจาของพระเยซูเจ้ามาใช้อบรมคริสตชนที่กรุงโรมว่า “พระบัญญัติกล่าวว่าอย่าผิดประเวณี อย่าฆ่าคน อย่าลักขโมย อย่าโลภ และถ้ามีบทบัญญัติอื่นอีก ก็สรุปได้ในข้อความนี้ว่าจงรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง ความรักไม่ทำความเสียหายแก่เพื่อนมนุษย์ ความรักเป็นการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติอย่างครบถ้วน” (รม 13:9-10)

“จงมีลูกมาก และทวีจำนวนขึ้นจนเต็มแผ่นดิน”
(ปฐก 1:28) : ความรับผิดชอบที่มนุษย์ต้องมีต่อชีวิต

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย