ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
ชีวิตมนุษย์มีต้นกำเนิดในองค์พระผู้เป็นเจ้า ทุกชีวิตมนุษย์จึงมาจากพระเจ้าและเป็นของพระเจ้า ทุกชีวิตมนุษย์เป็นของขวัญล้ำค่าที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่โลก
บทนำ
บทที่ 1
บทที่ 2
บทที่ 3
บทที่ 4
บทส่งท้าย
29
30
31 32 33
34 35 36
37 38 39
40
41 42 43
44 45 46
47 48 49
50 51
43. การที่มนุษย์มีส่วนร่วมในการเป็นเจ้านายของพระเจ้านั้น
เห็นได้ชัดในเรื่องความรับผิดชอบพิเศษต่างๆ
ที่มนุษย์ได้รับมอบมาให้รับผิดชอบต่อชีวิตมนุษย์เป็นความรับผิดชอบนี้ขึ้นถึงจุดสุดยอดในการมอบชีวิตของตนโดยการที่มนุษย์ชาย-หญิงที่แต่งงานกันให้กำเนิดมนุษย์
ดังที่สภาพพระสังคายนาวาติกัน ที่ 2 สอนเราว่า พระเจ้าเองเป็นผู้ตรัสว่า
มนุษย์อยู่เพียงคนเดียวนั้นไม่ดีเลย (ปฐก 2:18) และพระองค์
ผู้ทรงสร้างมนุษย์แต่แรกเริ่มเป็นชายและหญิง (มธ 19:4)
ทรงปรารถนาจะแบ่งปันการมีส่วนร่วมพิเศษในงานเนรมิตสร้างของพระองค์กับมนุษย์
พระองค์จึงทรงอวยพรมนุษย์ชาย-หญิง นั้นว่า จงมีลูกมาก และทวีจำนวนขึ้น (ปฐก
1:28)30
เมื่อกล่าวถึง การมีส่วนร่วมเป็นพิเศษ ของมนุษย์ชาย--หญิงใน
งานเนรมิตสร้าง ของพระเจ้าสภาพพระสังคายนาฯ ก็ต้องการชี้ให้เห็นว่า
การให้กำเนิดบุตรนั้นเป็นเหตุการณ์ที่เป็นของมนุษย์โดยลึกซึ้งและเต็มด้วยความหมายด้านศาสนา
ตราบเท่าที่การให้กำเนิดนี้เกี่ยวพันระหว่างสามีภรรยาทั้งสองนี้ซึ่ง
รวมเป็นเนื้อเดียวกัน (ปฐก 2:24) กับพระเจ้าผู้ทรงประทับอยู่ด้วย
ดังที่ข้าพเจ้าได้เขียนไว้ในพระสมณสารถึงครอบครัวทั้งหลายว่า
เมื่อมนุษย์คนใหม่ถือกำเนิดมาจากการมีเพศสัมพันธ์ของคู่สามีภรรยา
เขาก็นำเอาภาพลักษณ์คล้ายคลึงกับพระเจ้าโดยเฉพาะเข้ามาในโลกนี้ด้วยต้นกำเนิดของบุคคลมนุษย์นั้นถูกสลักอยู่ในชีววิทยาของเผ่าพันธุ์มนุษย์
ในการกล่าวว่าคู่สามีภรรยาในฐานะเป็นพ่อแม่
ร่วมมือกับพระเจ้าองค์พระผู้สร้างในการปฏิสนธิ และให้กำเนิดมนุษย์คนใหม่ขึ้นมานั้น
เรามิได้กล่าวถึงเพียงแต่เรื่องกฎทางชีววิทยาเท่านั้น
เราต้องการจะเน้นย้ำว่าพระเจ้าเองทรงประทับอยู่ในการเป็นพ่อ เป็นแม่นั้น
ซึ่งแตกต่างจากที่พระองค์ทรงประทับอยู่ในการกำเนิดของสิ่งอื่นๆ บนโลก
อันที่จริงพระเจ้าผู้เดียวทรงเป็นบ่อเกิดของ ภาพลักษณ์และความคล้ายคลึง นั้น
ที่เป็นของมนุษย์โดยเฉพาะ ดังที่มนุษย์ได้รับตั้งแต่แรกเนรมิตสร้างมนุษย์ขึ้นมานั้น
การให้กำเนิดมนุษย์ถือเป็นงานต่อเนื่องการเนรมิตสร้างของพระเจ้า
นี่เป็นสิ่งที่พระคัมภีร์สอนเราโดยใช้ภาษาตรงๆ และสื่อความหมายได้ดี
เมื่อเล่าถึงเสียงร้องแสดงความดีใจของสตรีคนแรกผู้เป็น
มารดาของผู้มีชีวิตทั้งหลาย (ปฐก 3:20)
โดยที่ตระหนักว่าพระเจ้าทรงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย นางเอวาจึงร้องออกมาว่า
ดิฉันได้ลูกชายมาเดชะพระเจ้า (ปฐก 4:1)
ฉะนั้นในการให้กำเนิดมนุษย์โดยทางการมอบผ่านชีวิตจากพ่อแม่ไปสู่บุตรของตนภาพลักษณ์และความคล้ายคลึงของพระเจ้าก็ถูกส่งผ่านไปสู่บุตร
เนื่องจากพระเจ้าทรงสร้างวิญญาณมนุษย์ให้เป็นอมตะ
หนังสือลำดับเชื้อสายของอาดัมเริ่มต้นดังนี้ เมื่อพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์
พระองค์ทรงสร้างเขาให้เหมือนพระเจ้า ทรงสร้างเขาเป็นชายและหญิง
และเมื่อทรงสร้างแล้ว พระองค์ทรงอวยพรเขา ทรงเรียกเขาว่า มนุษย์
เมื่ออาดัมอายุหนึ่งร้อยสามสิบปี เขามีบุตรเหมือนเขาตามภาพลักษณ์ของตน
ตั้งชื่อบุตรว่า เสท จากบทบาทของคู่สามีภรรยาในฐานะเป็นผู้ร่วมงานกับพระเจ้า
ผู้ทรงมอบผ่านภาพลักษณ์ของพระองค์เองให้แก่มนุษย์คนใหม่นี้เอง
ที่เราเห็นความยิ่งใหญ่ของคู่สามีภรรยาผู้พร้อมที่จะ
ร่วมมือกับความรักขององค์พระผู้สร้าง และพระผู้ไถ่กู้มนุษย์
ผู้จะทรงช่วยขยายและเสริมสร้างครอบครัวของพระองค์โดยทางคู่สามีภรรยาวันแล้ววันเล่า
นี่จึงเป็นเหตุให้พระสังฆราชอัมฟิโลกิอุสกล่าวชื่นชมว่า
การสมรสเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก
เป็นของประทานที่ถูกเลือกสรรและถูกยกให้สูงค่ากว่าของประทานอื่นใดทั้งสิ้นในโลกนี้
ของประทานนี้คือการให้กำเนิดมนุษย์ ซึ่งเป็นผู้สร้างภาพลักษณ์ของ พระเจ้า
ฉะนั้น มนุษย์ชาย-หญิงที่รวมเป็นหนึ่งเดียวกันในการสมรส
ก็กลายเป็นหุ้นส่วนในภารกิจของพระเจ้า กล่าวคือ โดยทางการให้กำเนิดมนุษย์
ของประทานของพระเจ้าก็ได้รับการยอมรับ และชีวิตใหม่ชีวิตหนึ่งก็เปิดสู่อนาคต
แต่ทว่านอกเหนือจากพันธกิจพิเศษในการเป็นพ่อแม่นี้แล้ว
ภารกิจของการยอมรับและรับใช้ชีวิตก็เกี่ยวข้องกับมนุษย์ทุกคน
และภารกิจต่อชีวิตมนุษย์จะต้องสำเร็จสมบูรณ์ไปเป็นต้น เมื่อชีวิตนี้อ่อนแอที่สุด
พระคริสตเจ้าเองเป็นผู้เตือนเราถึงเรื่องนี้
เมื่อเราถูกเรียกร้องให้รักและรับใช้พระองค์ในเพื่อนมนุษย์ชาย-หญิง
ผู้กำลังทุกข์ทรมานไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอยู่ กล่าวคือ คนที่หิว คนที่กระหาย
คนแปลกหน้า คนที่ไม่มีเสื้อผ้า คนเจ็บป่วย คนที่ถูกขังคุก...
สิ่งที่ท่านทำต่อคนเหล่านี้แต่ละคน ท่านทำต่อพระคริสตเจ้าเอง (เทียบ มธ 25:31-46)
เพราะพระองค์ทรงปั้นส่วนภายในของข้าพระองค์
(สดด 139:13) : ศักดิ์ศรีของเด็กที่ยังไม่เกิดมา