ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
ชีวิตมนุษย์มีต้นกำเนิดในองค์พระผู้เป็นเจ้า ทุกชีวิตมนุษย์จึงมาจากพระเจ้าและเป็นของพระเจ้า ทุกชีวิตมนุษย์เป็นของขวัญล้ำค่าที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่โลก
บทนำ
บทที่ 1
บทที่ 2
บทที่ 3
บทที่ 4
บทส่งท้าย
29
30
31 32 33
34 35 36
37 38 39
40
41 42 43
44 45 46
47 48 49
50 51
44. ชีวิตมนุษย์พบตัวเองบาดเจ็บที่สุด เมื่อชีวิตนั้นเข้ามาในโลก
กับเมื่อชีวิตต้องจากโลกนี้ไปตามกาลเวลา เพื่อเข้าสู่นิรันดรภาพ
พระวาจาของพระเจ้ามักจะเรียกร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้มนุษย์
ดูแลเอาใจใส่และเคารพชีวิตโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เมื่อชีวิตนั้นต้องอ่อนแอลงเพราะความเจ็บป่วยหรือเพราะวัยชราแม้ว่าจะไม่มีเสียงเรียกร้องชัดแจ้งโดยตรงให้ปกป้องชีวิตมนุษย์ตอนช่วงแรก
เป็นต้นชีวิตที่ยังไม่ถือกำเนิดมา และชีวิตช่วงใกล้วาระสุดท้ายก็ตาม
สิ่งนี้ก็สามารถอธิบายได้ง่ายๆ โดยข้อเท็จจริงที่ว่าความเป็นไปได้ที่จะทำร้าย
ทำลายชีวิต หรือปฏิเสธไม่ยอมรับชีวิตในสภาพการณ์ต่างๆ
เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่เลยในความคิดทั้งด้านศาสนาและวัฒนธรรมของประชากรของพระเจ้า
ในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม การไม่มีบุตรถือเสมือนเป็นคำสาป
ในขณะที่การมีบุตรมากถือเป็นการอวยพรจากพระเจ้าบุตรทั้งหลายเป็นมรดกจากพระเจ้า
ผลิตผลของครรภ์นั้น เป็นรางวัล (สดด 127:3 ; เทียบ สดด 128:3-4)
ความเชื่อเช่นนี้มีพื้นฐานมาจากการที่ชนอิสราเอลตระหนักถึงการเป็นประชากรแห่งพันธสัญญา
ที่ได้รับการเรียกให้ทวีมากขึ้นตามคำสัญญาที่พระเจ้าทรงกระทำไว้กับท่านอับราฮัมว่า
จงมองดูท้องฟ้า นับจำนวนดวงดาวเถิด
ถ้าท่านนับได้...ลูกหลานของท่านจะมีจำนวนมากมายเช่นนี้ (ปฐก 15:5)
แต่เหนืออื่นใดที่เห็นได้เด่นชัด ณ ที่นี้ก็คือ
ความแน่ใจที่ว่าชีวิตที่พ่อแม่ถ่ายทอดมาสู่บุตรนั้นมีต้นกำเนิดในพระเจ้า
เราเห็นสิ่งนี้ได้รับการยืนยันในพระคัมภีร์หลายตอน
ซึ่งกล่าวด้วยความเคารพรักถึงการปฏิสนธิ
ถึงการที่ชีวิตหนึ่งเติบโตเป็นรูปร่างขึ้นมาในครรภ์มารดา ถึงการให้กำเนิดบุตร
และถึงการเกี่ยวพันใกล้ชิดระหว่าง ณ
ขณะจิตนั้นที่เกิดเป็นชีวิตมนุษย์ขึ้นมากับการกระทำการของพระเจ้าองค์พระผู้สร้าง
เราได้รู้จักเจ้า ก่อนที่เราได้ก่อสร้างตัวเจ้าที่ในครรภ์
และก่อนที่เจ้าคลอดจากครรภ์ เราก็ได้เจิมเจ้า (ยรม 1:5) นั่นคือ
ชีวิตของมนุษย์ทุกคน นับแต่แรกเริ่ม ก็เป็นส่วนหนึ่งในแผนการของพระเจ้าแล้ว
จากความรู้สึกเจ็บปวดลึกๆ อยู่ภายใน ท่านโยบ
จึงหยุดพิศเพ่งดูผลงานของพระเจ้าผู้ทรงปั้นร่างกายของท่านขึ้นมาในครรภ์มารดา
ท่านจึงพบเหตุผลที่ทำให้ท่านวางใจในพระเจ้า
แล้วท่านก็แสดงความเชื่อนั้นออกมาว่าพระเจ้าทรงมีแผนการของพระองค์สำหรับชีวิตของท่าน
พระองค์ทรงสร้างข้าพระองค์ และบัดนี้พระองค์ทรงหันมาทำลายข้าพระองค์ ขอทรงระลึกว่า
พระองค์ทรงสร้างข้าพระองค์ด้วยดิน พระองค์จะทรงนำข้าพระองค์ให้กลับเป็นผงคลีดินหรือ
พระองค์มิได้ทรงเทพระองค์ให้แข็งเหมือนเนยแข็งหรือ
พระองค์ทรงห่มข้าพระองค์ไว้ด้วยหนังและเนื้อ
และทรงสนข้าพระองค์ด้วยกระดูกและเส้นเอ็น
พระองค์ทรงประทานชีวิตและความรักมั่นคงแก่ข้าพระองค์
และความดูแลรักษาของพระองค์ได้สงวนจิตวิญญาณของข้าพระองค์ไว้ (โยบ 10:8-12)
การแสดงออกถึงความหวาดหวั่นและความอัศจรรย์ใจต่อการที่พระเจ้าทรงเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ในครรภ์มารดานั้นมีขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าในบทเพลงสดุดีทั้งหลาย
ใครจะสามารถคิดไปได้อย่างไรกันว่า องค์พระผู้สร้างจะทรงยอมให้กระบวนการแม้แค่แวบหนึ่งของการเปิดรับชีวิตมนุษย์ แยกจากการกระทำการอันเปี่ยมด้วยพระปรีชาญาณและความรักของพระองค์ไปได้ และปล่อยให้เป็นไปตามใจชอบของมนุษย์ มารดาของบุตรทั้งเจ็ดนั้นไม่คิดเช่นนี้แน่ นางประกาศความเชื่อของนางในพระเจ้าผู้เป็นทั้งบ่อเกิดและผู้ประกันชีวิตนั้นนับแต่เริ่มปฏิสนธิ และทรงวางรากฐานความหวังแห่งชีวิตใหม่ หลังความตายไว้แล้ว แม่ไม่รู้ว่าเจ้ามาปฏิสนธิในครรภ์ของแม่ได้อย่างไร ไม่ใช่แม่ที่ให้เจ้าหายใจได้และมีชีวิต หรือจัดธาตุต่างๆ ที่ประกอบเป็นตัวลูกขึ้นมา ฉะนั้นพระเจ้าผู้สร้างโลกเป็นผู้ให้มนุษย์ทุกคนเกิดมา พระเจ้าจะเมตตาประทานลมหายใจและชีวิตคืนให้ลูก ก็เพราะลูกไม่นึกถึงตัวเอง แต่เห็นแก่บทบัญญัติของพระองค์ (2 มคบ 7:22-23)