ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
ชีวิตมนุษย์มีต้นกำเนิดในองค์พระผู้เป็นเจ้า ทุกชีวิตมนุษย์จึงมาจากพระเจ้าและเป็นของพระเจ้า ทุกชีวิตมนุษย์เป็นของขวัญล้ำค่าที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่โลก
บทนำ
บทที่ 1
บทที่ 2
บทที่ 3
บทที่ 4
บทส่งท้าย
52
53 54 55
56 57 58
59 60 61
62 63 64
65 66 67
68 69 70
71 72 73
74 75 76
77
59. เช่นเดียวกับผู้เป็นแม่ ก็ยังมีคนอื่นๆ
อีกด้วยที่มักจะเข้ามามีส่วนในการตัดสินใจเรื่องการให้เด็กที่อยู่ในครรภ์นั้นต้องตาย
คนแรกสุดที่จะต้องถูกตำหนิก็คือผู้เป็นพ่อของเด็ก
ไม่ใช่เพียงโดยทางตรงที่เขาบีบบังคับให้ฝ่ายหญิงไปทำแท้งเท่านั้น
แต่แม้โดยทางอ้อมด้วยที่เขามีส่วนกระตุ้นให้เธอจำต้องตัดสินใจทำเช่นนั้น
เมื่อเขาทิ้งเธอให้ต้องเผชิญปัญหาการตั้งครรภ์นั้นเพียงลำพัง
เช่นนี้เองที่ครอบครัวนั้นต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส
และต้องถูกลบหลู่ทั้งเรื่องธรรมชาติที่ให้ครอบครัวเป็นศูนย์รวมความรักและเรื่องกระแสเรียกที่ให้ครอบครัวเป็น
สักการะสถานแห่งชีวิต ด้วย อีกทั้งเราไม่อาจมองข้ามความกดดันต่างๆ
ที่บ่อยครั้งมาจากวงศาคณาญาติและมิตรสหายทั้งหลายด้วย
บางครั้งสตรีผู้นั้นต้องตกอยู่ภายใต้ความกดดันบีบคั้นรุนแรง
จนว่าเธอเกิดความรู้สึกทางจิตวิทยาให้ต้องไปทำแท้ง แน่นอนในกรณีเช่นนี้
ความรับผิดชอบทางศีลธรรมก็ตกอยู่กับผู้ที่มีส่วนกดดันทั้งโดยทางตรงหรือ
ทางอ้อมให้สตรีผู้นั้นต้องไปทำแท้งแพทย์และพยาบาลก็มีส่วนรับผิดชอบด้วยเช่นกันเมื่อนำเอาทักษะที่ต้องใช้เพื่อส่งเสริมชีวิตมาใช้ก่อให้เกิดความตายเช่นนี้...
แต่ความรับผิดชอบยังตกอยู่กับพวกที่ออกกฎหมายเช่นกันด้วย
ที่พวกเขาส่งเสริมและเห็นชอบอนุมัติกฎหมายทำแท้ง
และไปถึงขั้นที่ว่าพวกเขามีสิทธิ์มีเสียงในเรื่องนี้จัดการให้ผู้บริหารศูนย์ที่ให้การรักษาพยาบาลผู้ป่วยเปิดให้บริการทำแท้งด้วย
ความรับผิดชอบทั่วไปที่ร้ายแรงไม่น้อยกว่ากันก็ตกอยู่กับพวกที่สนับสนุนให้เผยแพร่ทัศนคติเรื่องการปล่อยเนื้อปล่อยตัวในการมีเพศสัมพันธ์กัน
(an attitude of sexual permissiveness) กับเรื่องการขาดความนิยมยกย่องความเป็นแม่
และความรับผิดชอบยังตกอยู่กับผู้ที่ควรจะได้กำหนด
แต่ก็ไม่ได้ทำนโยบายทางด้านครอบครัวและด้านสังคมแบบที่ช่วยสนับสนุนให้ครอบครัวทั้งหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งครอบครัวที่มีขนาดใหญ่กว่า
ด้วยการส่งเสริมครอบครัวเหล่านั้นเป็นต้นในเรื่องความจำเป็นทางด้านการเงินและการศึกษาประการสุดท้ายเราไม่อาจมองข้ามเรื่องเครือข่ายการสมคบคิดกัน
ซึ่งครอบคลุมไปถึงสถาบัน มูลนิธิและสมาคมต่างๆ ในระดับนานาชาติ
ที่ทำการรณรงค์กันอย่างเป็นระบบ
เพื่อให้มีการออกกฎหมายอนุญาตให้ทำแท้งได้และกระจายไปทั่วโลก ในกรณีเช่นนี้
การทำแท้งจึงเกินเลยความรับผิดชอบเป็นส่วนบุคคลของมนุษย์
และข้ามพ้นการเป็นอันตรายต่อมนุษย์แต่ละคน ไปสู่มิติเด่นชัดยิ่งทางด้านสังคม
การทำแท้งเป็นบาดแผลฉกรรจ์ที่ส่งผล กระทบต่อสังคมและวัฒนธรรมของมนุษย์
โดยผู้คนที่ควรจะเป็นผู้ส่งเสริมและปกป้องชีวิตมนุษย์เสียเอง
ดังที่ข้าพเจ้าได้เขียนไว้ในพระสมณสารถึงครอบครัวทั้งหลายว่า
เรากำลังเผชิญกับภัยคุกคามใหญ่หลวงล่วงละเมิดชีวิตมนุษย์
มิใช่คุกคามชีวิตมนุษย์แต่ละคนเท่านั้น
แต่คุกคามชีวิตอารยธรรมทั้งหมดของมนุษย์ด้วย
เรากำลังเผชิญกับสิ่งที่น่าจะเรียกได้ว่าเป็น โครงสร้างบาป (Structure of sin)
ที่ขัดขวางชีวิตมนุษย์ที่ยังมิได้เกิดมานั้น