ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
ชีวิตมนุษย์มีต้นกำเนิดในองค์พระผู้เป็นเจ้า ทุกชีวิตมนุษย์จึงมาจากพระเจ้าและเป็นของพระเจ้า ทุกชีวิตมนุษย์เป็นของขวัญล้ำค่าที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่โลก
บทนำ
บทที่ 1
บทที่ 2
บทที่ 3
บทที่ 4
บทส่งท้าย
52
53 54 55
56 57 58
59 60 61
62 63 64
65 66 67
68 69 70
71 72 73
74 75 76
77
64. ณ อีกปลายด้านหนึ่งของภาพชีวิตมนุษย์
มนุษย์ชาย-หญิงทั้งหลายพบว่า ตนกำลังเผชิญกับธรรมล้ำลึกเรื่องความตาย
ปัจจุบันเนื่องจากความเจริญที่ปิดรับความจริงโพ้นธรรมชาติ (the transcendent)
ประสบการณ์ของผู้กำลังจะตายจึงมีรูปลักษณ์ใหม่ๆ
เมื่อแนวโน้มที่มักจะตีคุณค่าชีวิตมนุษย์เพียงในแง่ที่ว่าชีวิตนั้นนำความพึงพอใจและความผาสุกมาให้หรือไม่เท่านั้น
ความทุกข์จึงดูเหมือนเป็นการถอยหลังที่ไม่อาจรับทนได้
เป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะหลีกหนีให้พ้น
ความตายถูกถือว่าเป็นสิ่งที่ ไร้ความหมาย (senseless) หากว่าจู่ๆ
มันเข้ามาขัดขวางชีวิตที่กำลังเปิดสู่ประสบการณ์ใหม่ๆ ในอนาคตของตนอยู่
แต่ความตายกลับกลายเป็น การปลดปล่อยอันชอบธรรม (rightful liberation)
เมื่อชีวิตนั้นถือว่าไม่มีความหมายอีกต่อไปแล้ว เนื่องจากมันเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
และต้องโชคร้ายตกอยู่ในความทุกข์ทรมานมากขึ้นที่มนุษย์ไม่อาจรับทนได้อีกต่อไป
ยิ่งกว่านั้น
เมื่อมนุษย์ปฏิเสธหรือไม่ยอมรับความสัมพันธ์พื้นฐานกับพระเจ้า
มนุษย์ก็คิดว่าตนเองเป็นมาตรการชี้วัดและควบคุมตนเอง
ตนมีสิทธิเรียกร้องให้สังคมให้ประกันแก่ตน
ซึ่งวิธีและเครื่องมือที่จะตัดสินใจเองว่าตนควรจะทำอะไรกับชีวิตของตนด้วยตัวเองอย่างเต็มที่
เป็นต้น ผู้คนในประเทศที่พัฒนาแล้วที่มักจะปฏิบัติเช่นว่านี้
กล่าวคือพวกเขารู้สึกว่าตนถูกกระตุ้นให้กระทำเช่นนี้จากความเจริญก้าวหน้าทางด้านการแพทย์
และเทคนิคต่างๆ ที่เจริญรุดหน้ารวดเร็วกว่าเมื่อก่อน
โดยการใช้ระบบและเครื่องมือที่ล้ำยุคทันสมัย
วิทยาศาสตร์และวงการแพทย์ในปัจจุบันก็ไม่สามารถไม่เพียงแค่จัดการกับกรณีต่างๆ
ที่ก่อนหน้านี้ถือว่าไม่อาจรักษาได้
และช่วยลดหรือกำจัดความเจ็บปวดให้หายไปได้เท่านั้น
แต่ยังสามารถรักษาให้คงอยู่หรือช่วยชะลอชีวิตให้ยืนยาวอยู่ต่อไปได้แม้อยู่ในสภาพอ่อนแอที่สุดก็ตาม
กลับใช้เครื่องมือช่วยให้คนป่วยที่อวัยวะพื้นฐานทางร่างกายหยุดทำงานโดยกระทันหันนั้นฟื้นกลับมาทำงานได้ใหม่
และใช้วิธีการพิเศษต่างๆ ช่วยให้มีการปลูกถ่ายอวัยวะให้แก่มนุษย์ได้
ในบริบทที่ว่ามานี้ ก็มีการประจญให้มนุษย์คิดใช้วิธีกระทำการุณยฆาต
กล่าวคือ เพื่อจะควบคุมความตายและนำความตาย อย่างสงบ
มาให้ชีวิตของตนหรือชีวิตของผู้อื่นก่อนเวลาอันควร
ในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นตรรกะที่สมเหตุสมผลและมีมนุษยธรรมนั้น
เมื่อพิจารณากันให้ใกล้ชิดแล้ว
ก็จะเห็นได้ว่าเป็นสิ่งที่ไร้เหตุผลและไร้มนุษยธรรมเป็นอย่างยิ่ง
เรากำลังเผชิญกับอาการอันน่าเป็นห่วงยิ่งอีกอย่างหนึ่งของ วัฒนธรรมแห่งความตาย
ซึ่งกำลังก้าวรุดหน้าอย่างมาก เป็นต้น ในสังคมที่เจริญรุ่งเรืองแล้ว
ซึ่งชี้วัดถึงการมีทัศนคติอันสลวนจนเกินไปกับเรื่องของการมีประสิทธิภาพเป็นสำคัญ
และเป็นทัศนคติที่มองเห็นว่าการมีผู้สูงอายุ
และผู้พิการมากขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ทนรับไม่ได้ และเป็นภาระเกินไป
ผู้คนพวกนั้นมักจะถูกครอบครัวของตนและสังคมปล่อยให้อยู่โดดเดี่ยว
เพราะสังคมนับรวมผู้เป็นมนุษย์เฉพาะบนพื้นฐานมาตรการชี้วัดในเรื่องประสิทธิภาพการให้ผลผลิต
(productive efficiency) เป็นสำคัญซึ่งตามมาตรการเช่นนี้
ชีวิตที่เสื่อมถอยไร้ความหวังใดๆ แบบนั้นย่อมไม่มีคุณค่าอันใดเลย