ศิลปะ หัตถกรรม สถาปัตยกรรม ประติมากรรม สันทนาการ

สุนทรียศาสตร์กับการศึกษา

          คำว่า aesthetics มาจากคำว่า aisthetikos ซึ่งเป็นภาษากรีกตรงกับความหมายของคำว่า perceptive ในภาษาอังกฤษ ซึ่งหมายถึงการสำเหนียกหรือการกำหนดรู้ ซึ่งเป็นความหมายที่ไม่ค่อยตรงกับความหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เพราะสุนทรียะ หมายถึงความสวย ความงามทางภายนอกที่เป็นรูปธรรม ดังนั้นปรัชญาสุนทรียศาสตร์จึงเกี่ยวกับปัญหาของความงาม ความสวย โดยเฉพาะที่เป็นเรื่องของศีลปะ และเกี่ยวกับรสนิยมและมาตรฐานของค่านิยมในการตัดสินผลงานทางศิลปะ และเป็นทฤษฎีรวมทั้งเจตคติที่เกี่ยวกับสิ่งดังกล่าว คำว่า aesthetics ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกในปี 1750 โดย Baumgarten นำมาใช้เพื่อแสดงความรู้ของความรู้สึกในทางกาม โดยมุ่งที่ความงามให้เห็นความแตกต่างไปจากตรรกศาสตร์ ซึ่งตรรกศาสตร์จะมุ่งที่ความจริงหรือสัจจะ

ในปัจจุบัน สุนทรียศาสตร์เสมือนเป็นวิชาหนึ่งหรือศาสตร์หนึ่ง ที่มุ่งจะศึกษาในเรื่องต่อไปนี้

  1. งานทางศิลปะ
  2. ศึกษากระบวนการต่าง ๆ ของการผลิตและประสบการณ์ทางศิลปะ
  3. ศึกษาโฉมหน้าของธรรมชาติ และผลผลิตของมนุษย์ที่อยู่นอกขอบข่ายของงานศิลปะ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาความงาม ความน่าเกลียด ที่เกี่ยวกับรูปแบบและคุณภาพของความรู้สึก เช่นพระอาทิตย์อัสดง ภาพดอกไม้ชนิดต่าง ๆ

ความหมายตามแนวทางการศึกษา สุนทรียศาสาตร์หมายถึงทฤษฎีความงาม ที่มุ่งผลในเรื่องคุณลักษณะที่จะเป็นของความงาม วิธีที่จะรู้จักความงาม การวิเคราะห์ความงาม และการประเมินผลความงาม ในเรื่องของการศึกษา ที่เกี่ยวกับผลผลิตของการศึกษา Carritt ได้กล่าวไว้ในหนังสือทฤษฎีแห่งความงามของท่านว่า “มนุษย์ไม่ค่อยจะมีความจุใจต่อการสร้างความงาม หรือต่อความงามที่มนุษย์เข้าใจและสำนึกอยู่ ทั้งนี้เพราะมนุษย์ไม่เข้าใจว่าตนกำลังทำอะไรอยู่ และนี่เองที่มนุษย์จำเป็นต้องเข้าใจเสียก่อนว่า ความงามคืออะไร” ดังในเรื่องของการศึกษา ครูจำเป็นที่จะต้องปลูกฝังให้นักเรียนรู้ถึงความหมายของความงาม ให้รู้ว่าอะไรคือความงาม ทำอย่างไรจึงมีพฤติกรรมที่งาม เช่น ทำไมจึงต้องมีการห้ามเด็ดดอกไม้ในสวนสาธารณะ การขีดเขียนฝาผนังให้เปรอะเปื้อนเป็นพฤติกรรมที่งามหรือไม่

ค่านิยมทางสุนทรียศาสตร์เป็นเรื่องที่ประเมินหรือกำหนดได้ยากเพราะเป็นเรื่องส่วนบุคคล และเป็นค่านิยมทางอัตนัย ที่เกี่ยวข้องกับความชอบและไม่ชอบของมนุษย์ เช่น งานศิลปะชิ้นเดียวกัน บุคคลต่าง ๆ ย่อมตีความหมายในงานศิลปะชิ้นนั้นแตกต่างกัน และมีความคิดในเรื่องของความงามของศิลปะนั้นแตกต่างกันด้วย แต่ปัญหาที่อยู่ที่ว่า ความงามในทรรศนะของใครที่จะประทับใจหรือซาบซึ้งกว่า

คำตอบต่อคำถามจะลงความเห็นได้ยาก นอกจากเราจะยอมเชื่อว่ามีจุดมุ่งหมายในค่านิยมทางจริยศาสตร์ ซึ่งกรณีเช่นนี้เราอาจเลือกที่จะเชื่อได้เป็น 2 ประการด้วยกัน ประการแรก โดยการเชื่อในการตัดสินของผู้เชี่ยวชาญว่าอะไรคือความงาม ดังนั้น ในการประกวดความงามทั้งหลายจึงมีคณะกรรมการซึ่งถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องความงามที่ประกวดนั้น และได้ตัดสินร่วมกันโดยยอมรับเอาว่าความงามในกลุ่มคณะนั้นพึงเป็ฯเช่นนั้น ถ้าเป็นการตัดสินโดยคณะกรรมการหรือผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ ชุดออกไป

ประการที่สอง เราอาจตัดสินความงามโดยการตั้งเกณฑ์มาตราฐานและกำหนดคะแนนมาก-น้อยต่างกัน การใช้การตัดสินตามเกณฑ์มาตราฐานนี้ เป็นประโยชน์สำหรับผู้เริ่มหัดและเป็นมาตรฐานที่นับว่าทนทานต่อการวิจารณ์ เพราะการตั้งเกณฑ์มาตราฐานก็มักจะอยู่บนรากฐานของเหตุผลว่าอย่างไรจึงควรถือว่างาม หนังสือวรรณคดีก็ดี ศิลปะก็ดี หรือการดนตรีก็ดี จะถือตามเกณฑ์มาตราฐานทำนองนี้ ในการที่จะให้ความรู้แก่นักเรียนเกี่ยวกับการประเมินและความซาบซึ้ง การให้ความรู้จากคัมภีร์หรือตำรามาใช้ในการประเมินผลงานทางศิลปะก็จะทำให้ผลที่ได้แตกต่างกันมากเกินไป หรือการใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เพื่อการวินิจฉัยและประเมินความงามก็ไม่อาจทำได้ เพราะงานทางวิทยาศาสตร์กว้างขวางมากเกินกว่าที่จะมาเกี่ยวข้องกับการตัดสินทางศิลปะ

ปัญหาปรัชญาทางสุนทรียสาสตร์ได้เกิดขึ้นหลายศตวรรษแล้ว เช่นปัญหาว่า “ศิลปะควรเป็นตัวแทนของสิ่งใดสิ่งหนึ่งใช่หรือไม่หรืองานศิลปะควรเป็นผลผลิตจาดจินตนาการของผู้ผลิตหรือผู้สร้างขึ้นมาใช่หรือไม่”

ในทรรศนะแรก เราถือว่าศิลปะสะท้อนชีวิตจริงและสะท้อนประสบการณ์ของมนุษย์ เช่นสะท้อนภาพความเศร้าโศกเมื่อพระอาทิตย์กำลังอัสดง หรือภาพใบไม้เปลี่ยนสีและร่วงหล่นในฤดูใบไม้ร่วง หรอภาพความร่างเริงสดชื่นของชีวิตจากงานศิลปะเกี่ยยวกับดอกไม้หรือแจกันดอกไม้ ซึ่งทำให้เราเกิดความรู้สึกประทับใจและซาบซึ้งในความงามของสิ่งเหล่านั้นได้

ในอีกทรรศนะหนึ่ง ศิลปินจะแสดงความรู้สึกของตนเองเกี่ยวกับสภาพชีวิตต่าง ๆ ที่เขาสนใจออกมาเป็นงานศิลปะต่าง ๆ ด้วยความคิดของเขาเอง ด้วยแรงขับ และประสบการณ์ของเขาเองเขาอาจจะแสดงความรู้สึกต่าง ๆ เกี่ยวกับความงามความน่าเกลียดของโลก และบางทีก็แสดงให้เห็นว่าโลกควรจะเป็นไปในรูปแบบใด หรือควรจะเป็นอย่างไรตามความคิดของเขา ตามทรรศนะนี้ ศิลปินหรือผู้สร้างจะพึงพอใจในอิสระภาพทางความคิดของเขา ในการสร้างสรรค์งานของเขาอย่างไม่มีขีดจำกัด

งานของการศึกษาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสุนทรียศาสตร์จึงเกี่ยวข้องกับงานศิลปะต่าง ๆ โดยเกี่ยวข้องกับความรู้สึกและประสบการณ์ทางศิลปะ และมุ่งให้เกิดมโนธรรมเพื่อเสาะแสวงหาหลักการที่จะทำให้เกิดการสร้างสรรค์และความซาบซึ้งในความงามของสรรพสิ่ง ด้วยเหตุนี้หลักสูตรการเรียนการสอนจะขาดวิชาศิลปะหาได้ไม่

อ้างอิง :
เมธี ปิลันธนานนท์.2523.ปรัชญาการศึกษาสำหรับครู.กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานิช

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย