ปรัชญา อภิปรัชญา ญาณวิทยา จิตวิทยา ตรรกศาสตร์
บทวิพากษ์ลัทธิอำนาจเบ็ดเสร็จ
ตามทัศนะนักปรัชญาสำนักเหตุผลนิยม
ผศ.ดร.ณกมล ปุญชเขตต์ทิกุล
กระบวนทัศน์และแนวคิดนักปรัชญาสำนักเหตุผลนิยม
วิถีทัศน์และแนวคิดลัทธิอำนาจเบ็ดเสร็จ
ลัทธิอำนาจนิยม กับการปรับตัวเชิงอำนาจ สู่อำนาจแบบเหตุผลนิยม
ตามกรอบความคิดเชิงปรัชญา
วิถีทัศน์และแนวคิดลัทธิอำนาจเบ็ดเสร็จ(กลุ่มที่นิยามด้วยเกณฑ์)
กล่าวสำหรับคาร์ลตัน เฮยส์แล้ว(Carlton Hayes)
เขาเรียกลัทธิอำนาจเบ็ดเสร็จว่าเผด็จการ (Dictatorial totalitarianism)
ซึ่งเขาถือว่าเป็นรูปการปกครองใหม่ที่ต่อต้านอารยธรรมตะวันตก
เขาสรุปลักษณะการปกครองแบบใหม่นี้ไว้อย่างน้อย 4 ประการด้วยกัน อาทิเช่น
การผูกขาดอำนาจทั้งหมดภายในรัฐไว้จึงเรียกว่าเบ็ดเสร็จ อำนาจบัญชาการหรือการยุติใดๆ
ล้วนอาศัยความสนับสนุนจากมวลชน การรักษารูปแบบการปกครองนี้
อาศัยเทคนิคใหม่ทางด้านการศึกษาอบรมและการโฆษณาชวนเชื่อ การใช้อำนาจ
และกำลังในการดำเนินการปกครอง
คาร์ล ฟริดดรีช(Carl Friedrich)
แสดงกลุ่มลักษณะของลัทธิอำนาจเบ็ดเสร็จไว้หลายข้อด้วยกัน อาทิเช่น
เป็นอุดมการณ์ที่กล่าวถึงรายละเอียดเกี่ยวกับการนำไปปฏิบัติรวมทั้งการกำหนดจุดมุ่งหมายขั้นสุดท้ายของมนุษยชาติ
ประกอบด้วยพรรคของมวลชนเพียงพรรคเดียว มีผู้เผด็จการเป็นผู้นำ
และมีการจัดการปกครองลดหลั่นกันลงไป ถือหลักการปกครองเดียวกัน
ไม่มีฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง มีตำรวจลับควบคุมและสนับสนุนการดำเนินงานของพรรค
ผูกขาดควบคุมการสื่อสาร
ควบคุมกำลังทัพทั้งหมดและควบคุมหน่วยงานทางเศรษฐกิจจากส่วนกลาง
เกี่ยวกับประเด็นนี้เขาเองก็เคยเสนอคำว่าลัทธิอำนาจเบ็ดเสร็จดังนี้คือ
คำว่าลัทธิอำนาจเบ็ดเสร็จหมายถึงกลุ่มความคิด มิใช่เป็นความคิดเดียว
คำนี้มีความหมายรวมถึงคำใกล้เคียงด้วย อาทิเช่น อัตตาธิปไตย เผด็จการ
ในแง่ปฏิบัติการปกครองแบบลัทธิอำนาจเบ็ดเสร็จมีได้หลายแบบและหาใช่แบ่งแยกรัฐบาลแบบที่เป็นแบบลัทธิอำนาจเบ็ดเสร็จกับแบบอื่นๆ
ได้ คำที่ใช้อธิบายความหมายเมื่อนำมาใช้ในภาษาทั่วไปมีความหมายเชิงศีลธรรม อาทิเช่น
คำว่า ตำรวจลับ คนทั่วไปเมื่อได้ฟังแล้วจะเกิดความรู้สึกไม่ดีต่อลัทธินี้
และแนวคิดของกลุ่มที่นิยามด้วยแก่น หากพิจารณาเกณฑ์ที่ฟริดดริชกำหนดไว้
ประเทศที่ใช้ลัทธิอำนาจเบ็ดเสร็จก็อาจมีแต่เฉพาะรัสเซียสมัยสตาลิน
หากไม่เคร่งครัดว่าต้องใช้เกณฑ์ทุกข้อก็อาจมีหลายประเทศที่เข้าข่าย อาทิเช่น
ประเทศคิวบา ยูโกสลาเวียและประเทศไทยในบางยุคสมัย
ด้วยเหตุนี้การใช้เกณฑ์ในการกำหนดความหมายจึงยังมีข้อบกพร่องอยู่
ถ้าการปกครองของประเทศใดมีลักษณะแก่นแม้จะมีองค์ประกอบอื่นไม่ครบถ้วนก็ตัดสินได้ว่าประเทศนั้นปกครองด้วยลัทธิอำนาจเบ็ดเสร็จ
ชาปิโร กำหนดลักษณะแก่นของลัทธิอำนาจเบ็ดเสร็จไว้อย่างน้อยสามข้อด้วยกัน อาทิเช่น
เป็นสังคมมวลชนคืออำนาจการปกครองมาจากมวลชน
รัฐมีสิทธิควบคุมสังคมในทุกด้านโดยเด็ดขาดและรัฐมีสิทธิควบคุมเรื่องเกี่ยวกับศีลธรรมและมโนธรรมทั้งหมด
เมื่อพิจารณาจากลักษณะแก่นทั้งสามชนิดดังกล่าวจะเห็นว่ารัฐชนิดนี้รวบอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง
โดยไม่มีฝ่ายค้านและที่จริงแล้วความเป็นสังคมมวลชนเป็นสภาวะที่เป็นเงื่อนไขล่วงหน้าเท่านั้นมิใช่แก่นแท้
ความคิดแก่นที่แท้คือการให้ผู้ปกครองมีสิทธิควบคุมดูแลและกำหนดทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่ผู้ใต้ปกครอง
โรเบิร์ต ออร์
สรุปลักษณะแก่นของรัฐแบบนี้เพียงประการเดียวคือเป็นสังคมระดมอำนาจ
เพราะเขาคิดว่าลัทธินี้เกิดจากระบบการระดมกำลังเข้าเป็นกองทัพเพื่อทำสงคราม
ลักษณะแก่นดังกล่าวทำให้กำหนดลักษณะอื่นๆ ตามมาได้
คือการให้มีพรรคของคนระดับหัวกะทิเพียงพรรคเดียว ทำหน้าที่ควบคุมสิ่งต่างๆ คือ
การควบคุมสังคมมวลชนอันได้แก่บุคคลลำดับล่างๆ
จุดหมายสำคัญคือการต่อสู้กับศัตรูภายนอกได้แก่รัฐอื่นและศัตรูภายใน อาทิเช่น
ความยากจน และควบคุมเศรษฐกิจ จากลักษณะนี้เองจะเห็นได้ว่า
รัฐได้ที่ระดมอำนาจทุกด้านทั้งเศรษฐกิจ การเมือง การศึกษา
เพื่อให้รัฐมีอำนาจเด็ดขาดเพียงฝ่ายเดียว