ปรัชญา อภิปรัชญา ญาณวิทยา จิตวิทยา ตรรกศาสตร์

ปรัชญาสาขาคุณวิทยา

ความหมายของค่านิยม
ความเกี่ยวข้องกันระหว่างคุณวิทยากับค่านิยมและลักษณะต่าง ๆ ของค่านิยม
ค่านิยมของลัทธิปรัชญากลุ่มลัทธิจิตนิยมกับการศึกษา
ค่านิยมของปรัชญากลุ่มลัทธิสัจนิยมกับการศึกษา
ค่านิยมของปรัชญากลุ่มลัทธิปฏิบัตินิยมกับการศึกษา
จริยศาสตร์กับการศึกษา

ค่านิยมของลัทธิปรัชญากลุ่มลัทธิจิตนิยมกับการศึกษา

Butler ได้จัดแบ่งทฤษฎีค่านิยมของลัทธิจิต นิยมออกเป็น 3 ลักษณะ คือ

  1. ค่านิยมที่มนุษย์มีความปรารถนาและพึงพอใจจะเป็นค่านิยมที่ฝังราก นั่นคือถือว่าเป็นค่านิยมที่มี อยู่โดยแท้จริง
  2. ค่านิยมเรื่องชีวิตมนุษย์เป็นสิ่งกว้างใหญ่ เพราะปัจเจกบุคคลครอบครองค่านิยมและพึงใจในค่านิยมเหล่านั้นต่าง ๆ กัน
  3. ทางสำคัญทางหนึ่งที่ทำให้บุคคลรู้ค่านิยมก็คือ การปฏิบัติของบุคคลนั้น ๆ ที่เกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กับส่วนต่าง ๆ และทั้งหมดของสิ่งแวดล้อม

         ค่านิยมที่มนุษย์มีความปรารถนาและพึงพอใจ จะเป็นค่านิยมที่มีอยู่โดยแท้จริงซึ่งชี้ให้เห็นว่า การที่มนุษย์สามารถรู้ว่าวัตถุมีอยู่ในโลกนี้เป็นการมีอยู่ชั่วคราว และไม่มีคุฯค่าอะไรสำหรับมนุษย์ ตัวอย่างเช่น บ้าน เป็นที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นข้อเท็จจริงสำหรับมนุษย์ แต่ความคิดที่ว่า “ไม่มีที่ใดเหมือนเช่นบ้าน” ก็มิได้เป็นค่านิยมสำหรับทุกคนที่จะยึดถือ ดังนั้นบ้านอาจไม่ใช่ค่านิยมที่แท้จริงจากประสบการ์สำหรับทุกคนที่มีบ้านก็ได้ ปรัชญาฝ่ายนี้จึงมุ่งที่จะชี้หรือแนะว่า การมีอยู่เป็นอย่างหนึ่ง และค่านิยมเป็นอีกอย่างหนึ่งปรัขญาเมธีฝ่ายลัทธินิยมเห็นว่า ค่านิยมไม่ใช่เหมือนหมอกที่มีตอนเช้ามืด พอสายหน่อยหมอกนั้นก็หายไป หรือมี่ค่านิยมในวันนี้ พอวันรุ่งขึ้นก็หายไปหมดไป แต่ฝ่ายลัทธิจิตนิยมจะเชื่อมั่นว่า ค่านิยมจะฝังรากคงอยู่ถาวร เพราะถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของความแท้จริง ถ้าเราพึงใจในค่านิยมนั้นไม่ใช่เพราะอารมณ์และความอ่อนไหวที่มากระตุ้นหรือเร้าความรู้สึกของเรา เพื่อทำให้เกิดความรู้สึกและความปรารถนาขึ้น แต่เป็นเพราะสิ่งต่าง ๆ ที่เราให้กับมันเป็นสิ่งที่มีอยู่หรือเป็นอยู่ของมันเองและฝังรากอยู่ในทุกโครงสร้างของสากลหรือจักรวาลทั้งหมด Wilbur Urban ได้กล่าวสนับสนุนเรื่องค่านิยมและการมีอยู่ของค่านิยมไว้ดังนี้

“ข้าพเจ้ายึดถือว่า จะไม่มีอะไรมีอยู่ได้ถ้าปราศจกคุณค่า และจะไม่มีคุณค่าอะไรเลยถ้าไม่มีการมีอยู่ ความแท้จริงไม่ใช่ทั้งจิตใจและวัตถุ แต่จะเป็นของเขตของความคิดและสรรพสิ่งแยกจากกันได้กับข้อเท็จจริงและคุณค่า”

ค่านิยมเรื่องชีวิตมนุษย์เป็นสิ่งกว้างใหญ่ เพราะปัจเจกบุคคลมีค่านิยมและความพึงพอใจในค่านิยมต่าง ๆกัน อันเนื่องมาจากประสบการณ์ของแต่ละบุคคล ดังที่ Urban ได้กล่าวว่า ค่านิยมที่ฝังรากเป็นสิ่งที่มีอยู่ และในขณะเดียวกันท่านก็เชื่อว่าหลักการของค่านิยมกับปัจเจกบุคคลมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด จากองค์ประกอบ 2 ประการนี้ Berkeley ได้กล่าวไว้ในทฤษฎีความรู้ของท่านว่า วัตถุต่าง ๆ มิได้มีอยู่เพื่อคนใดคนหนึ่ง จนกว่าผู้นั้นจะได้รับรู้และเข้าใจหรือมีสัญชาน (perception) ต่อวัตถุทุกสิ่งที่มีอยู่ไม่ว่ามนุษย์จะมีความรู้และความเข้าใจต่อวัตถุเหล่านั้นหรือไม่ก็ตาม Berkeley ได้กล่าวไว้อีกว่า

“ค่านิยมมีอยู่เฉพาะเมื่อปัจเจกบุคคลปฏิบัติการปรับตัวต่อสิ่งซึ่งบุคคลคิดว่ามีคุณค่าต่อตนเองเท่านั้น และเฉพาะเมื่อบุคคลมีประสบการณ์ด้านอารมณ์ที่พึงพอใจในค่านิยมนั้น ๆ อย่างไรก็ตามพระเจ้ามีอยู่จริง ดังนั้นในนามของพระเจ้า ผู้มีความเพียบพร้อมและสมบูรณ์ ค่านิยมทางบวกจึงเป็นสิ่งที่มีอยู่ รับรู้ได้ และพึงใจได้”

อย่างไรก็ตามทฤษฎีค่านิยมของฝ่ายลัทธิจิตนิยม ลักษณะที่สองนี้ในส่วนที่ไม่เกี่ยวกับความเชื่อในเรื่องของพระเจ้านั้น Leighton ได้เสนอแนวคิดที่หน้าสนใจดังนี้

“ค่านิยมต่าง ๆจะเป็นจริงเฉพาะต่อเมื่อหรือบุคคลที่รู้สึกต่อมัน ไม่มีสัจจะ (truth) ความงาม หรือความดีใด ๆ เป็นสิ่งที่คงอยู่หรือมีอยู่อย่างจริงจัง แต่จะมีสัจจะเป็นรูปธรรมเท่านั้นที่มีอยู่หรือคงอยู่ เช่นความรู้สึกที่มีต่อสรพสิ่งว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่งาม ก็เพราะบุคคลพึงพอใจต่อสิ่งดีต่าง ๆ ในสรรพสิ่งเหล่านั้น ดังนั้นจึงถือว่าปัจเจกบุคคลเป็นทั้งสภาพหรือสถานะ และเป็นผู้วัดค่านิยมได้อีกด้วย”

และด้วยเหตุนี้ค่านิยมจึงเป็นเรื่องใหญ่ที่มนุษย์พึงพอใจในสิ่งเดียวกันต่าง ๆ กัน มีประสบการณ์ในสิ่งเดียวกันต่างกัน และที่สุดจะมีค่านิยมในสิ่งเดียวกันต่างกันนั่นเอง

ทฤษฎีค่านิยมของกลุ่มลัทธิจิตนิยม ลักษณะสุดท้ายคือ การปฏิบัติของบุคคลเกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กับส่วนย่อยต่าง ๆ ทั้งหมดของสิ่งแวดล้อมซึ่งหมายถึงการใช้ความพยายามที่จะรู้ถึงคุรค่าอย่างสมบูรณ์ที่สุดเพื่อทำให้ชีวิตดีที่สุด โดยยึดว่าความสัมพันธ์เกี่ยวข้องที่เป็นความจริงสุดท้าย คือความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับส่วนต่าง ๆ ทั้งหมดหรือบางส่วน ดังนั้น ปัจเจกบุคคลสามารถขยายประสบการณ์ของตนออกไป มีการแบ่งปันค่านิยมที่มีอยู่ โดยมองปัจเจกบุคคลอื่น ๆ ว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่สัมพันธ์กันอย่างกลมกลืนกับส่วนทั้งหมดของโลกมนุษย์ ค่านิยมเช่นนี้จะเห็นได้ชัดเจนในลักษณะของค่านิยมของสังคมต่าง ๆ ซึ่งเกิดขึ้นจากปัจเจกบุคคลมีค่านิยมรวมกันเป็นส่วนรวมของสังคมและมีผลที่จะชักจูงหรือแบ่งปันค่านิยมไปยังบุคคลอื่น ๆ ค่านิยมในทางศาสนาก็เกิดขึ้นเพราะการปฏิบัติของปัจเจกบุคคลต่อพระเจ้าและแบ่งปันหรือขยายค่านิยมออกไปในกลุ่มศาสนิกชนด้วยกัน

ในส่วนที่เกี่ยวกับการศึกษา ค่านิยมกลุ่มลัทธิจิตนิยมจะยึดถือเอาว่านักเรียนควรจะต้องไดรับการสอนให้มีค่านิยมในเรื่องของความอดทนและการดำรงชีวิตอยู่ด้วยตัวเอง เน้นในเรื่องจิตและวิญญาณที่เชื่อว่ามีอยู่ในตัวบุคคล และเน้นให้นักเรียนระลึกว่าความชั่วมิได้มีผลต่อตนเองหรือสังคมหรือต่อมนุษย์ชาติเท่านั้น แต่ยังมีผลถึงวิญญาณทุกดวงในจักรวาลด้วย ค่านิยมของนักเรียนจะมีนัยสำคัญฯก็ต่อเมื่อได้ทำให้เกิดความสัมพันธ์กับจิตและวิญญาณที่เป็นอมตะ ซึ่งหมายถึงว่า ค่านิยมในเรื่องความดีความงามจะมีผลถึงจิตและวิญญาณซึ่งไม่รู้จักตาย แม้ร่างกายจะดับสิ้นไปแล้วก็ตาม

ปรัชญาฝ่ายนี้ถือว่าความเลวเป็นเพียความดีที่ยังไม่สมบูรณ์ในตัวของนักเรียนที่ขาดการร่วมประสานงานของระบบต่าง ๆ สำหรับครู ฝ่ายลัทธิจิตนิยมนี้จะเชื่อว่าไม่มีนักเรียนที่เลวจริง ๆ หรือเลวไปทั้งหมด แต่เป็นเพราะนักเรียนที่เราเห็นว่าเลวเหล่านั้นยังอยู่ห่างไกลจากความเป็นระเบียบและการประสานความสัมพันธ์ของระบบต่าง ๆที่เป็นพื้นฐานของศีลธรรมเท่านั้น ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของครูที่จะทำให้นักเรียนได้เข้าใจระเบียบเบื้องต้นของศีลธรรม และให้นักเรียนได้เข้าอยู่ภายในระบบของศีลธรรม

Plato ได้กล่าวไว้ว่า “การจะมีชีวิตที่ดีได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในสังคมที่ดี” และ Hegel ก็ได้กล่าวคล้ายคลึงกันด้วยว่า “ปัจเจกบุคคลจะมีความเข้าใจแลปฏิบัติกรรมดีต่าง ๆ ที่เขาได้เป็นส่วนหนึ่งของสภาพนั้น ๆ” ดังนั้นครูในแนวปรัชญาฝ่ายนี้จึงมีหน้าที่ที่จะจัดสภาพแวดล้อม ระบบ ระเบียบและสังคมที่อยู่ในขอบเขตของศีลธรรมให้กับนักเรียนของตน และครูยังต้องระลึกไว้ด้วยว่า ไม่มีใครอยากจะเห็นตัวเองทำผิด เมื่อนักเรียนกระทำผิดไป ครูพึงถามนักเรียนว่า “อะไรจะเกิดขึ้นถ้าทุกคนประพฤติผิดเช่นนั้น และการประพฤติผิดเช่นนี้ตนกำลังทำตัวอย่างที่ดีให้เพื่อนร่วมชั้นทำเป็นตัวอย่างหรือเปล่า” ขณะเดียวกันครูก็จะต้องตั้งคำถามตนเองด้วยว่า “ตัวครูเองได้เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับนักเรียนของตนเองได้ปฏิบัติตามด้วยหรือเปล่า”

สำหรับแนวคิดของฝ่ายลัทธิจิตนิยมนี้ส่วนใหญ่จะยึดหลักของศาสนาเป็นรากฐาน หรืออย่างน้อยก็มาจากรากฐานของความเชื่อว่าชีวิตเป็นสิ่งนิรันดร ซึ่งหมายถึงจิตและวิญญาณจะคงอยู่แม้ร่างกายจะดับสูญแล้วนั่นเองอย่างไรก็ตาม สำหรับครูที่นิยมฝ่ายปรัชญากลุ่มลัทธิจิตนิยมนี้น่าจะยึดแนวคำกล่าวของ Herman H. Hom ซึ่งกล่าวไว้อย่างน่าฟังดังนี้

“ไม่มีมนุษย์ผู้ใดเป็นได้มุกอย่าง……เป้าประสงค์ของมนุษย์มิได้สิ้นสุดลงที่การสิ้นชีพหรือการที่มนุษย์มีชีพเพียงแค่บนพื้นพิภพที่เขาอาศัยอยู่เท่านั้น…..ความรักของปรัชญาเมธีก็คือสัจจะความรักของศิลปินก็คือความสวยงาม ความรักของนักบุญก็คือธรรมะ……. มีสิ่งต่าง ๆ ที่มนุษย์จะต้องเรียนรู้และศึกษาค้นคว้าเพื่อให้เกิดความรู้มากขึ้น ……. มนุษย์ไม่มีการจำกัดความตั้งใจที่เขาจะรู้มากขึ้นหรือพึงใจที่จะรู้ ไม่มีการจำกัดความก้าวหน้าของสิ่งที่มนุษย์ไม่รู้…… มนุษย์มีแผนการสร้างสะพานข้ามความตายจากชีวิตในโลกนี้กับชีวิตหน้า ซึ่งถือว่ามนุษย์ไม่มีการสิ้นสุด”

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย