ศาสนา
ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม
การเดินทางของพุทธศาสนาสู่ประเทศไทย
พระพุทธศาสนาในประเทศไทย
เส้นทางติดต่อระหว่างอินเดียกับสุวรรณภูมิ
พุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ
พุทธศาสนาสมัยฟูนัน
พุทธศาสนาสมัยทวาราวดี
พุทธศาสนาสมัยศรีวิชัย
พุทธศาสนาสมัยลพบุรี
พุทธศาสนาสมัยลานนา
พุทธศาสนาลังกาวงศ์สู่ลานนา
พุทธศาสนาสมัยสุโขทัย
การปกครองคณะสงฆ์ และศิลปกรรม
พระมหาธรรมราชาลิไทกับพุทธศาสนา
พุทธศาสนาสมัยอยุธยา
พุทธศาสนาสมัยธนบุรี
พุทธศาสนาสมัยรัตนโกสินทร์
พุทธศาสนาสมัยทวาราวดี
ประมาณพุทธศตวรรษที่ 1116 ในจดหมายเหตุของสมณะจีนเฮี่ยงจัง ตรงกับพุทธศตวรรษที่ 12
กล่าวว่าถัดไปจากทิศตะวันออกของอินเดียทางมณฑลอัสสัม มีเทือกภูเขาใหญ่สีดำเทียมเมฆ
(คือทิวเขาอารกันโยมา) มีอาณาจักรชื่อ สิกหลี สักตกล้อ (ศรีเกษตร คือ พม่า)
ถัดอาณาจักรนี้ไปอีก มีอาณาจักรชื่อ ตุยล้อกัวตี่ คำจีนที่ว่านี้ ดร.
เซเดส์เป็นคนแรกที่สันนิฐานว่าตรงกับคำทวาราวดี
ต่อมาภายหลังได้พบจารึกกัมพูชาหลักหนึ่งออกชื่อเมือง ทวารกะเดย
ซึ่งสนับสนุนข้อสันนิฐานของ ดร. เซเดส์มาก อาณาจักรทวาราวดี
เป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ ตั้งอยู่ท่ามกลางพม่ากับขอม
เจริญขึ้นในขณะที่อาณาจักรฟูนันเสื่อมลง พวกมอญทางลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา
ประกาศตั้งเป็นอิสระภาพตั้งเป็นอาณาจักรทวาราวดีขึ้น
อาณาเขตเริ่มตั้งแต่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนใต้ (นครปฐมนั่นเอง)
แผ่เขตขึ้นไปตลอดภาคอีสานและทางใต้ถึงเมืองนครศรีธรรมราช
ได้พบจารึกภาษามอญโบราณหลายหลักในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และลุ่มแม่น้ำปิง
(แต่หนังสือของอาจารย์ วสิน อินทสระ กล่าวว่าทางตอนใต้แผ่ไปเมืองครหิ
จังหวัดสุราษฎร์ธานีปัจจุบัน และตอนบนของแหลมมลายู)
อาณาจักรทวาราวดีประชาชนนับถือนิกายเถรวาท ซึ่งมีความสัมพันธ์กับทางอินเดีย
เนื่องจากเคยเจริญมาก่อนในสมัยที่เป็นสุวรรณภูมิ
อาณาจักรนี้จึงเจริญอย่างรวดเร็วและมีอำนาจขึ้นมาภายหลัง
ใช่ว่าอาณาจักรทวาราวดีจะเผยแผ่อำนาจแค่เท่านี้
ยังแผ่อำนาจขยายขึ้นไปทางภาคอีสานทั้งภาค เช่น การขุดพบศิลปะวัตถุต่างๆ มากมาย
การขุดพบกรุสมบัติที่คูบัว จ. ราชบุรี พุทธศิลปะแบบทวาราวดี
ที่ภาคอีสานพบโบราณสถานเป็นเมืองเก่าชื่อ เมืองฟ้าแดดสูงยา หรือ กนกนคร
ได้พบพระพุทธรูป เสมาธรรมจักร ทำด้วยศิลา
อาณาจักรทวาราวดี มีความสัมพันธ์กับชาวพุทธอินเดียในลุ่มแม่น้ำคงคามาก
เพราะฉะนั้นพุทธศิลปะที่มีจึงลอกเลียนแบบของราชวงศ์คุปตะ
และศิลปะส่วนใหญ่ก็ค้นพบที่จังหวัดนครปฐมและสุพรรณบุรี หนังสือของ อาจารย์ วสิน
อินสระ กล่าวว่าในพุทธศตวรรษที่ 12
อำนาจของทวาราวดีขยายขึ้นไปถึงลพบุรีและแผ่ขึ้นไปทางเหนือของประเทศไทยปัจจุบันถึงลำพูน
ดังมีตำนานเล่าว่า พระนางจามเทวี
เป็นกษัตริย์เชื้อสายมอญจากลพบุรีขึ้นไปครองเมืองหริภุญไชย คือลำพูน
ได้อาราธนาพระสงฆ์ผู้ทรงพระไตรปิฎกไปประกาศศาสนา
พระเหล่านั้นล้วนเป็นพุทธสาวกฝ่ายเถรวาททั้งสิ้น
ทำให้ประชาชนชาวหริภุญไชยมั่นคงในพุทธศาสนาอย่างเถรวาทมาจนถึงสมัยปัจจุบัน
พุทธศิลป์
ในสมัยทวาราวดี มีตั้งแต่พระพิมพ์เล็กๆ
ไปจนถึงพระพุทธรูปใหญ่โต พุทธลักษณะของพระพุทธรูปที่มีขนาดใหญ่
คือเป็นพระประทับนั่งห้อยพระบาท จีวรไม่นิยมทำเป็นริ้ว แต่ทำเป็นแบบแนบพระวรกาย
ส่วนมากเป็นดินเผาและศิลา องค์หนึ่งอยู่ที่วัดพระปฐมเจดีย์ อีก 3 องค์อยู่ที่
จ.อยุธยา ยุคนี้เรียนแบบราชวงศ์คุปตะของอินเดีย สำหรับศิลป์ที่เมืองลำพูน
ได้แก่ สถูปวัดกู่กุด แม้พระป่าเลไลยก์ใน จ.สุพรรณบุรี
ซึ่งเป็นพระพุทธรูปนั่งห้อยพระบาทองค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ก็มีผู้สันนิฐานว่าความจริงมีอีกองค์หนึ่งอยู่ข้างใน เป็นศิลป์แบบทวาราวดี
ศิลป์ทวาราวดีที่ จ. ลำพูน เมื่อครั้งที่พระนางจามเทวีเป็นกษัตริย์ปกครอง
พระนางมีความเลื่อมใสพุทธศาสนามาก ได้สร้างวัดต่างๆขึ้น คือวัดอาภัททาราม
วัดปุพพาราม วัดพระคง วัดพระลอด วัดพระลี้รอด
เชื่อกันว่าพระเครื่องสกุลลำพูนที่เรียกกันว่าพระรอด สร้างขึ้นในสมัยนี้
นอกจากนี้ยังได้พบแผ่นศิลาจารึกเป็นภาษาบาลีว่า เย ธมฺมา
เขียนโดยอักษรคฤนถ์ที่ถ้ำเขางู จ. ราชบุรี
และภาพพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรดินเผาที่บ้านคูบัว จ. ราชบุรี
อนึ่ง ในถ้ำนี้ได้มีภาพบนผนังถ้ำเป็นพระพุทธรูปห้อยพระบาทเช่นกัน
แต่จารึกด้วยภาษาสันสกฤต กล่าวถึงฤษีสมาธิคุปตะผู้เป็นเจ้าของถ้ำ
จากหลักฐานชิ้นนี้เป็นที่สังเกตว่านิกายมหายานเริ่มมีบ้างแล้ว
ประกอบกับทั้งในสมัยคุปตะของอินเดียมหายานกำลังขยายตัว
ความเปลี่ยนแปลงงด้านศาสนาพราหมณ์ได้เป็นไปอย่างกว้างขวาง
เหตุการณ์นั้นได้กระทบกับพุทธศาสนาด้วย
นั่นคือมหายานได้ขยายตัวขึ้นแข่งกับฮินดูซึ่งแปลมาจากพราหมณ์
เลยทำให้มหายานเจริญขึ้นในอินเดีย และอาจจะกระจายเข้าสู่ทวาราวดีด้วย
แต่อย่างไรก็ตามจากหลักฐานต่างๆ นิกายเถรวาทยังคงเจริญในสมมัยทวาราวดี
นิกายมหายานนั้นพึ่งเจริญขึ้นอย่างแท้จริงเมื่อสิ้นสมัยทวาราวดีแล้ว