ศาสนา
ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม
การเดินทางของพุทธศาสนาสู่ประเทศไทย
พระพุทธศาสนาในประเทศไทย
เส้นทางติดต่อระหว่างอินเดียกับสุวรรณภูมิ
พุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ
พุทธศาสนาสมัยฟูนัน
พุทธศาสนาสมัยทวาราวดี
พุทธศาสนาสมัยศรีวิชัย
พุทธศาสนาสมัยลพบุรี
พุทธศาสนาสมัยลานนา
พุทธศาสนาลังกาวงศ์สู่ลานนา
พุทธศาสนาสมัยสุโขทัย
การปกครองคณะสงฆ์ และศิลปกรรม
พระมหาธรรมราชาลิไทกับพุทธศาสนา
พุทธศาสนาสมัยอยุธยา
พุทธศาสนาสมัยธนบุรี
พุทธศาสนาสมัยรัตนโกสินทร์
พุทธศาสนาลังกาวงศ์สู่ลานนา
ในรัชสมัยพระเจ้ากือนา (บาลีผูกศัพท์ว่ากิลนา) ทรงเป็นธรรมิกราช
ครั้งนั้นทรงส่งทูตไปอาราธนาพระอุทุมพรบุบผามหาสวามี
เป็นพระเถรชาวลังกาที่ชราภาพมากแล้ว ขณะนั้นได้ลัทธิลังกาวงศ์อยู่ที่นครพัน
(คือเมาะตะมะ) ให้มาเชียงใหม่ แต่ไม่สำเร็จ ท่านจึงส่งพระหลานชายคือ
พระอานันทเถระมาแทน
พระเจ้ากือนาจึงอาราธนาให้ท่านอานันทเถระทำการบวชกุลบุตรชาวเชียงใหม่
แต่พระอุทุมพรปฏิเสธ พระเจ้ากือนารับคำของพระอุทุมพรให้เชิญพระเถระ 2 รูป
ชาวสุโขทัยมาเป็นอุปัชฌาย์ คือ พระสุมนเถระ และพระอโนมทัสสีเถระ ทั้ง 2
รูปจึงได้จำพรรษาที่วัดพระยืน จังหวัดลำพูน ส่วนตัวท่านเองจะเป็นพระกรรมวาจาจารย์
เมื่อออกพรรษาพระเจ้ากือนาจึงพระราชทานอุทยานหลวงนอกเมืองเชียงใหม่ให้เป็นวัด
คือวัดสวนดอกในปัจจุบัน (บุปผาราม) อาราธนาพระสุมนะครอง
และเป็นสังฆราชองค์แรกแห่งราชอาณาจักรลานนาไทย ได้สร้างเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุ
ที่วัดสวนดอกไว้ด้วยเป็นศิลปแบบลังกาองค์แรกในเชียงใหม่
ต่อมาได้ทรงเสี่ยงช้างอัญเชิญพระบรมธาตุขึ้นไปบนยอดดอยสุเทวบรรพต
และสร้างเจดีย์ใหญ่บรรจุพระบรมธาตุ คือ พระธาตุดอยสุเทพในปัจจุบันนั่นเอง
ต่อมาพระเจ้าแสนเมืองราชโอรสได้สืบราชสมบัติ เมื่อพระเจ้ากือนาเสด็จสวรรคต
ทรงได้พระพุทธสิหิงค์มาจากเชียงราย และสร้างวัดพระสิหิงค์ไว้ประดิษฐาน
ปัจจุบันประดิษฐานที่พระที่นั่งพุทไธสวรรค์ในบริเวณพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ
พระเจ้าสามฝั่งแกน เป็นโอรสของพระเจ้าแสนเมือง
พระเจ้าสามฝั่งแกนไม่โปรดพุทธศาสนาเทาไร พระองค์ชอบไสยสาศตร์ ทรงสร้างวัดมุมเมือง
(มุมเมือง) จุดประสงค์ในการสร้างวัดมุมเมือง
1.เพื่อประดิษฐานพระแก้วมรกต
2.เพื่อเก็บผลประโยชน์จากวัดต่างๆ มาไว้ที่วัดมุมเมือง
จากการกระทำนั้นนั้นทำให้วัดต่างๆ เดือดร้อนเป็นอย่างมาก ทำให้พระเถระต่างๆ
ทิ้งเมืองเชียงใหม่ ไปลังกา คือพระเมธังกรเถระ พระญาณมงคลเถระ ท่านทั้ง 2
รวมทั้งพระมอญและพระเขมร ประมาณ 20 รูปจึงเดินทางไปลังกา
เพราะความไม่เป็นธรรมของพระเจ้าสามฝั่งแกน การไปลังกาของพระเหล่านี้ มีจุดประสงค์ 2
ประการ คือ
1. เพื่อไปศึกษาธรรมวินัย
2. เพื่อทำการอุปสมบทใหม่ โดยทำการอุปสมบทที่ อุทกสีมา (ใช้แม่น้ำเป็นเขตสีมา)
ชื่อแม่น้ำ กัลยาณีคงคา โดยมีพระธรรมสวามีเป็นอุปัชฌาย์
พระวันรัตเป็นพระกรรมวาจาจารย์
ภายหลังท่านเหล่านั้นได้เดินทางกลับมายังประเทศไทย
จึงนิมนต์พระชาวลังกามาด้วยคือ 1.พระอุตตมปัญญาสามี 2. พระวิกรมพาหุสามี ทั้ง 2
ท่านเมื่อได้ศึกษาพระธรรมวินัยแล้ว เมื่อมาอยู่เมืองไทยได้ตั้งนิกายขึ้นมาเรียกว่า
นิกายลังกาวงศ์ใหม่ขึ้นทางตอนเหนือของประเทศไทย
ช่วงนั้นลังกาวงศ์มีความเจริญรุ่งเรืองใน 3 ประเทศคือ ไทย มอญ-เขมร
ทำให้เชียงใหม่มีนิกาย 3 นิกาย คือ
1. นิกายเดิม
2. นิกายลังกาเก่า (พระสุมนเถระ)
3. นิกายลังกาใหม่
สมัยพระเจ้าติโลกราช ราชนัดดาของพระเจ้าแสนเมืองมา คณะสงฆ์แตกเป็น 3 นิกาย
คือ นิกายเดิม และนิกายที่ 2 ซึ่งสืบเนื่องมาจากพระสุมน นิกายที่ 3
คือนิกายลังกาวงศ์ใหม่ซึ่งเข้ามายังลานนาไทย
พวกลังกาวงศ์ใหม่ประพฤติเคร่งครัดกว่าพวกลังกาวงศ์เดิมซึ่งตั้งอยู่ที่วัดสวนดอก
พระเจ้าติโลกราชทรงเลื่อมใสมาก ทรงเข้าอุปถัมภ์
และทรงเสด็จออกผนวชในนิกายนี้ด้วยเป็นเวลา 7 วัน เมื่อ พ.ศ. 1995
พระเจ้าติโลกราชได้ทรงสถาปนาพระเมธังกรขึ้นเป็นพระสังราชแห่งลานนาไทย
พระองค์ได้ทรงสร้างวัดใหม่ขึ้น จำลองแบบวิหารพุทธคยา โลหปราสาท รัตนมาลีชื่อว่า
วัดโพธาราม คือ วัดเจดีย์เจ็ดยอดเดี๋ยวนี้
จุดประสงค์ในการทำสังคายนาคือ
1. เพื่อลดความขัดแย้ง ระหว่างนิกายลังกาวงศ์เก่า และนิกายลังกาวงศ์ใหม่
2. เพื่อความมั่นคงของพระธรรมวินัย (แต่จุดประสงค์จริงคือข้อแรก)
ในสมัยนี้ประมาณ พ.ศ. 2020
พระองค์โปรดให้ทำการสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ 1 ในเมืองไทยขึ้น ณ วัดโพธาราม
มีพระทินนะเป็นประธาน ทำอยู่ 1 ปีจึงสำเร็จ
และการศึกษาเจริญรุ่งเรืองที่สุดมากกว่าอยุธยา
มีพระเถระชาวเชียงใหม่รจนาปกรณ์เป็นภาษาบาลี เช่น พระสิริมังคลาจารย์
และพระรัตนปัญญา พระเจ้าติโลกราชเสวยราชย์อยู่ถึง 45 ปี และสวรรคตเมื่ออายุ 78 ปี
เป็นต้น
สมัยของพระเจ้าเมืองแก้ว พระองค์ทรงเลื่อมใสพุทธศาสนามาก
ทรงสืบสานเจตนารมณ์ของพระเจ้าลุง (พระเจ้าติโลกราช) ทรงสร้างวัดไว้เป็นจำนวนมาก
มีราชกิจที่ทรงกระทำประจำปีคือ พิธีบวชนาคหลวงและเป็นครั้งใหญ่ จำนวน 1200 รูป
ยุคของพระเมืองแก้วนี้ มีคัมภีร์ที่สำคัญเกิดขึ้นคือ
1.เรื่องปัญญาชาดก คือ ชาดก 50 เรื่อง เช่น สมุทโฆษชาดก
2.
คัมภีร์มังคลัตถทีปนี จักรวาฬทีปนี แต่งโดยพระสิริมังคลาจารย์ อธิบายมงคลสูตร 38
ประการ แต่งพระเวสสันดรทีปนี เป็นน้ำหนึ่งทีเดียว
3. พระญาณกิตติ
แต่งโยชนาพระวินัย (หนังสือประกอบ) พระวินัย และพระอภิธรรม 7 คัมภีร์
และโยชนาอภิธัมมัตถสังคหะ
4. พระรัตนปัญญาแต่ง ชินกาลมาลีปกรณ์
เป็นประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในลังกาและเมืองไทยโดยสังเขป เป็นต้น.
5. พระอุตตาราม แต่งวิสุทธิมรรคทีปนี (อธิบายวิสุทธิมรรค)
6. พระโพธิรังสี
แต่งคัมภีร์จามเทวีวงศ์ (เขียนยกย่องถึงความเลื่อมใสของพระนางจามเทวีในพุทธศาสนา)
(บทสวดพาหุง
ก็แต่งขึ้นในสมัยนี้ในเมืองไทยและพระลังกาได้นำไปใช้เป็นบทสวดที่ประเทศของตนเองด้วย)