ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม
พุทธปรัชญา
พระพุทธเจ้าหรือพระมานเดิมว่า เจ้าชายสิตถะ ผู้เป็นต้นกำเนิดของพุทธปรัชญา
แม้เจ้าชายสิทธัตถะจะทรงสุขสำราญเพียบพร้อมไปด้วยสมบัติ
และห้อมล้อมไปด้วยบริวารมากมายก็ตาม
แต่พระองค์ก็มิได้ทรงหลงหรือคลั่งไคล้อยู่กับสิ่งเหล่านั้น
พระองค์ทรงสนพระทัยในปัญหาต่าง ๆ อยู่เสมอ
ปัญหาที่กำลังคุกคามต่อประชาชนอยู่ในขณะนั้น ก็คือความทุกข์ยากของประชาชน
พระองค์ทรงคิดว่าปัญหาทั้งหลายมีทางที่จะแก้ได้
เจ้าชายสิทธัตถะจึงทรงตัดสินพระทัยออกผนวช ขณะที่พระองค์ทรงมีพระชนมายุได้ 29 พรรษา
เพื่อที่จะทำการค้นหาหนทางแก้ความทุกข์ยากทั้งปวง
หลังจากที่พระองค์ได้ทรงอธิษฐานการบวชในเพศของบรรพชิตแล้วพระองค์ก็เสด็จเข้าศึกษาในสำนักของคณาจารย์ที่มีชื่อเสียง
สำนักของอาฬารดาบสและอุทกดาบส
ก็เป็นสำนักหนึ่งที่พระองค์ได้เคยเข้าไปศึกษามาจนจบแล้ว
เมื่อพระองค์ได้ศึกษาค้นคว้าจากสำนักอาจารย์ต่าง ๆ แล้ว
พระองค์ก็พบว่าคำสอนและวิธีปฏิบัติของบรรดาอาจารย์เหล่านั้นมิใช่หนทางแห่งการดับทุกข์ได้หมดสิ้นดังนั้น
พระองค์จึงออกมาค้นหาสัจธรรมด้วยพระองค์เอง พระพุทธองค์เข้าสู่ปรินิพพาน ณ
เมืองกุสินารา เมื่อพระชนมายุได้ 80 พรรษา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6
ก่อนที่พระองค์จะเข้าสู่ปรินิพพาน พระองค์ได้ประทานปัจฉิมโอวาทว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอทั้งหลายให้รู้
สังขารทั้งหลายมีการเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดาเธอทั้งหลาย
จงยังกิจของตนและผู้อื่นให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด
พระพุทธเจ้ามิได้ทรงแต่ตั้งให้สาวกรูปใดเป็นศาสดาแทนพระองค์
โดยพระองค์ตรัสว่า พระธรรมวินัยเป็นศาสนาแทนพระองค์
การที่จะเห็นพระพุทธองค์นั้นก็คือการเห็นธรรมวินัย ดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า
ใครเห็นธรรมว่าเห็นเรา
ความหมายและหลักคำสอนพื้นฐานในพุทธปรัชญา
พุทธปรัชญา คือ หลักคำสอนเกี่ยวกับความจริง (สัจธรรม) และหลักปฏิบัติ
(จริยธรรม)
บางประการของพระพุทธศาสนาที่นำมาศึกษาวิเคราะห์ด้วยการใช้เหตุผลตามวิธีการของปรัชญา
ตามคำนิยามนี้หมายความว่า
พุทธปรัชญาจะจำกัดวงอยู่ในส่วนที่เป็นศาสนธรรมของพระพุทธศาสนาเท่านั้น
คัมภีร์ของพุทธปรัชญา
คัมภีร์ที่สำคัญของพุทธปรัชญาเรียกว่า พระไตรปิฎก
ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่รวมเอาหลักธรรมของพุทธปรัชญามารวมไว้เป็นหมวดหมู่
หลักธรรมเหล่านั้นมีทั้งหมด 84,000 พระธรรมขันธ์ นอกจากนี้
ยังมีหนังสือที่นักปราชญ์ทางพุทธศาสนาได้เขียนขึ้นมามากมาย เช่น
พระอรรถกถาจารย์ได้เขียนคำอธิบายข้อความในพระไตรปิฎกขึ้น เรียกว่า อรรถกถา
พระฎีกาจารย์ได้เขียนหนังสืออธิบายข้อความในอรรถกถาเรียกว่า ฎีกา
และพระอนุฎีกาได้เขียนหนังสืออธิบายฎีกาอีกต่อหนึ่ง เรียกว่า อนุฎีกา
นักปราชญ์ทางพุทธศาสนายังเขียนหนังสือเพื่ออธิบายอนุฎีกาอีก เรียกว่า โยชนา
นอกจากนี้ ก็ยังมีหนังสือที่แต่งขึ้นเพื่ออธิบายหัวข้อธรรมเฉพาะเรื่องอีกเรียกว่า
ปกรณ์วิเสส เช่น มงคลทีปนี วิสุทธิมรรค เป็นต้น
ซึ่งเป็นผลงานการรจนาของพระมหาเถระผู้มีความเชี่ยวชาญในศาสนาพุทธหลักธรรมในพระไตรปิฎกถือว่าเป็น
พุทธพจน์ หรือ พระบาลี คือเป็นถ้อยคำหรือคำพูดที่พระพุทธองค์ตรัสเอง
และถือว่าเป็นหลักฐานหรือข้อมูลขั้นที่หนึ่ง (ข้อมูลขั้นต้น)
ในการศึกษาหรือนำมาอ้างอิง แต่บางตอนอาจจะเป็นถ้อยคำหรือคำพูดของสาวกบ้าง
แต่พระพุทธองค์ก็ทรงรับรองอีกครั้งหนึ่ง
หลักธรรมในพุทธปรัชญาทั้ง 84,000
พระธรรมขันธ์ นี้ แบ่งออกได้เป็น 3 หมวดใหญ่ ๆ ตามลักษณะของคำสอน พระไตรปิฎก แปลว่า
ตะกร้า 3 หมายถึงการจัดหมวดหมู่ของหลักธรรมไว้เป็น 3
หมวดแล้วเรียกชื่อตามหมวดของหลักธรรมนั้น ๆ ได้แก่ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก
และพระอภิธรรมปิฎก และแต่ละหมวดก็การแบ่งย่อยออกไปอีก ดังรายละเอียด ดังนี้
พระวินัยปิฎก มีตัวข้อธรรมที่เรียกว่า พระธรรมขันธ์ ทั้งหมดมี 21,000
พระธรรมขันธ์ แบ่งออกเป็น 5 หัวข้อใหญ่ ๆ คือ
(1) อาทิกรรม (สุตตวิภังค์)
(2) ปาจิตตีย์ (ภิกขุณีวิภังค์)
(3) มหาวรรค
(4) จุลวรรค
(5) ปริวาร
พระสุตตันปิฎก มีหัวธรรมทั้งหมด 21,000 พระธรรมขันธ์
เป็นคำสอนที่ได้มาจากการบันทึกการเทศนาของพระพุทธเจ้า
รายละเอียดในแต่ละเรื่องจะบอกว่าพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ใด
มีใครเป็นผู้สดับธรรม ทรงแสดงธรรมเรื่องอะไร และเมือจบพระธรรมเทศนาแล้ว
ปรากฏผลอย่างไรบ้าง พระสุตตันตปิฎกแบ่งออกเป็น 5 คัมภีร์ใหญ่ ๆ คือ
(1) ทีฆนิกาย
(2) มัชฌิมนิกาย
(3) สังยุตตนิกาย
(4)
อังคุตตนิกาย
(5) ขุททกนิกาย
พระอภิธรรมปิฎก มีหัวข้อธรรมทั้งหมด 42,000 พระธรรมขันธ์
เป็นคำสอนเกี่ยวกับปรมัตถธรรมล้วน ๆ เป็นชั้นสูง ละเอียดลึกซึ้ง
การพรรณนาหรือการอธิบายไม่ระบุบุคคล สถานที่ และกาลเวลา แบ่งออกเป็น 7 คัมภีร์ คือ
(1) สังคณี
(2) วิภังค์
(3) ธาตุกถา
(4) ปุคคลบัญญัติ
(5) กถาวัตถุ
(6) ยมก
(7) ปัฏฐาน
พุทธธรรมที่สำคัญ
พระพุทธเจ้าไม่ทรงสอนอภิปรัชญาที่ขาดจากภาคปฏิบัติ
พระองค์จึงไม่ทรงเน้นเรื่องเกี่ยวกับปัญหาอภิปรัชญาในสมัยนั้นนิยมคิดกัน
แต่ทรงสอนเน้นในเรื่องการปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์เป็นสำคัญ
การที่พระองค์ทรงเพิกเฉยต่อปัญหาอภิปรัชญาก็ด้วยเหตุผลที่ว่า
การถกเถียงในเรื่องของโลกว่า เที่ยงหรือไม่? เป็นต้น
ตามทัศนะของพุทธเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์
ไม่เป็นไปเพื่อการพ้นทุกข์
ไม่ใช้เหตุที่จะนำมหาชนเข้าสู่จุดหมายปลายทางแห่งชีวิตอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม
แม้พระพุทธองค์ทรงไม่พยากรณ์ในเรื่องทั้งหลายดังกล่าว
แต่ในพุทธธรรมที่พระองค์ตรัสไว้ก็เป็นการตอบปัญหาในเรื่องอภิชญาอย่างชัดเจนอยู่ในตัวแล้ว
ซึ่งจะได้กล่าวถึงพุทธธรรมบางหัวข้อ เป็นต้นลำดับ ดังต่อไปนี้ ทุกข์เป็นสำคัญ
การที่พระองค์ทรงเพิกเฉยต่อปัญหาอภิปรัชญาก็ด้วยเหตุผลที่ว่า
การถกเถียงในเรื่องของโลกว่า เที่ยงหรือไม่? เป็นต้น
ตามทัศนะของพุทธเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์
ไม่เป็นไปเพื่อการพ้นทุกข์
ไม่ใช้เหตุที่จะนำมหาชนเข้าสู่จุดหมายปลายทางแห่งชีวิตอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม
แม้พระพุทธองค์ทรงไม่พยากรณ์ในเรื่องทั้งหลายดังกล่าว
แต่ในพุทธธรรมที่พระองค์ตรัสไว้ก็เป็นการตอบปัญหาในเรื่องอภิชญาอย่างชัดเจนอยู่ในตัวแล้ว
ซึ่งจะได้กล่าวถึงพุทธธรรมบางหัวข้อ เป็นต้นลำดับ ดังต่อไปนี้
อริยสัจ 4 (The Four Noble Truths)
อริยสัจ แปลตามอักษรว่า ความจริงอันประเสริฐ
ความจริงของท่านผู้ประเสริฐ (อริยะ) หรือ ความจริงอันทำให้บุคคลเป็นผู้ประเสริฐ
ดังนั้น ผู้ใดรู้แจ้งเห็นจริงในอริสัจ
ผลนั้นก็จะกลายเป็นพระอริยบุคคลหากจะกล่าวโดยสรุป
คำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมดอาจประมวลลงในอริยสัจ เป็นต้นว่า หลักขันธ์ 5
หลักไตรลักษณ์ หลักธรรมและหลักปฏิจจสมุปบาท เป็นอาทิ
ล้วนแต่เป็นเรื่องของทุกข์สัจทั้งสิ้น
การที่พระพุทธองค์ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ก็เพราะทรงตรัสรู้อริยสัจ 4 นี่เอง
ด้วยเหตุนี้ อริยสัจ 4 จึงมีความสำคัญมาก อาจกล่าวได้ว่า อริยสัจ 4
เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาทีเดียว