ศิลปะ หัตถกรรม สถาปัตยกรรม ประติมากรรม สันทนาการ

คอนแชร์โต

(Concerto)

บทเพลงคอนแชร์โต (Concerto)

บทเพลงที่1 : เชลโลคอนแชร์โต ประพันธ์โดย อันโทนิน ดโวชาร์ค (Antonin Dvorak)

เป็นที่น่ายินดีที่จะมีการนำเสนอคอนเสิร์ตที่จะมีบทเพลง เชลโลคอนแชร์โต ที่ดีที่สุดบทหนึ่งให้เราได้ฟังกันในวันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ.2545 ห้อง 101 อาคาร 3 คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คอนเสิร์ตนี้จะนำเสนอเชลโลคอนแชร์โต ประพันธ์โดย อันโทนิน ดโวชาร์ค (Antonin Dvorak) นักประพันธ์เพลงเอกชาวเชค (Czech) ผู้ที่จะเดี่ยวเชลโลให้เราฟังคือ Dr.Tess Remy-schumacher ส่วนวงดุริยางค์ที่จะบรรเลงสอดรับสนับสนุนคือวงดุริยางค์กรมศิลปากร อำนวยเพลงโดย ผู้อำนวยเพลงดาวรุ่งของเราในปัจจุบัน เชลโลซึ่งจะเป็นเครื่องดนตรีเอกในบทเพลงดังกล่าว เป็นซอชนิดหนึ่ง ลำตัวใหญ่โตพอสมควร ในการบรรเลง ผู้บรรเลงจะนั่งบนเก้าอี้ ตั้งซอกับพื้น มือซ้ายโอบกอดลำคอของซอเพื่อเปลี่ยนตำแหน่งจองนิ้ว ขึ้นลงให้ได้เสียงสูงต่ำตามต้องการ ส่วนมือขวาก็ถือคันชัก เพื่อสีคันชักไปบนสายเสียง

ท่าทางในการบรรเลงซอชนิดนี้ จะดูราวกับผู้บรรเลงโอบกอดเครื่องดนตรีของเขาราวกับคนรัก แล้วทั้งคู่คือเชลโลและคนสี ก็จะร่วมมือกันสร้างสรรค์เสียงสวรรค์ สู่ผู้ฟังอย่างสอดประสานกลมกลืน ราวกับเป็นจิตวิญญาณดวงเดียวกัน เชลโลเป็นซอที่ได้รับการพัฒนามาจนสมบูรณ์ทั้งในแง่ของน้ำเสียงและกลไกตั้งแต่สมัยบาโรก และเป็นที่นิยมตลอดมานับเป็นร้อยๆปี เพราะสามารถใช้เป็นเครื่องบรรเลงประกอบก็ได้ เล่นในวงก็ได้ และยังนำมาบรรเลงเดี่ยวได้อย่างโลดโผนวิจิตรพิสดาร มีน้ำเสียงทุ้มไพเราะในทุกช่วงเสียง เสียงของเชลโลนั้นเปรียบได้กับเสียงผู้ชายที่ทุ้มนุ่มนวลเดินมา หน้าตาบุคลิกหล่อเหลาเป็นพระเอก สำหรับเชลโลคอนแชร์โตของดโวชาร์คนั้น ดโวชาร์คประพันธ์ขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1894 และอุทิศให้เพื่อนนักเชลโลของท่านชื่อ Hanus Wihan นำออกแสดงรอบปฐมฤกษ์ที่กรุงลอนดอน เมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ.1896

โดยมีนักเชลโลเอก Leo Stern เป็นผู้บรรเลงแนวเดี่ยว และดโวชาร์คเป็นผู้อำนวยเพลงให้วงดุริยางค์ด้วยตนเอง ประสบความสำเร็จได้รับการยกย่องมาจนทุกวันนี้ว่าเป็นเชลโลคอนแชร์โตบทที่ดีที่สุดบทหนึ่งในบรรดาวรรณคดีของเพลงเชลโลทั้งหลาย และนับเป็นคอนแชร์โตบทที่ไพเราะโรแมนติกที่สุดบทหนึ่ง เพราะแรงบันดาลใจใหญ่หลวงอย่างหนึ่งในการรังสรรค์บทประพันธ์ชิ้นนี้ของดโวชาร์ค คือข่าวคราวความป่วยไข้ปางตายของหญิงสาวที่อยู่ในดวงใจของท่านมาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ เธอคือ โจเซฟินา เคานิตโซวา (Josefina Kaunitzova) ในกระบวนที่สองซึ่งเป็นลีลาช้าตกภวังค์นั้น ดโวชาร์คดูจะอุทิศทั้งกระบวนนี้ให้เธอเพียงผู้เดียวกระบวนนี้เรียกได้ว่าเป็นJosefina'sSongเลยทีเดียว

บทเพลงที่ 2 : เปียโนคอนแชร์โต หมายเลข 12 ของโมสาร์ท

เป็นบทเพลงที่มีมนต์เสน่ห์ บทหนึ่งที่ไม่น่าพลาดในการฟัง เปียโนคอนแชโต หมายเลขที่ 12 ในบันไดเสียง A เมเจอร์ ผลงานลำดับที่ 414 (K.414) หรือ 385p โดยท่านโมสาร์ทได้ประพันธ์ขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ในปี ค.ศ. 1782 ในกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ขณะท่านอายุได้ 26 ปี เพลงบทนี้เป็นเพลงสำหรับเดี่ยวเปียโน ประชันกับวงออเคสตรา ซึ่งประกอบด้วยเครื่องเป่า โอโบ บาสซูน ฮอร์น และเครื่องสายได้แก่ ไวโอลิน วิโอลา เชลโล และดับเบิลเบส

เพลงบทนี้ประพันธ์ไว้ด้วยกันสามท่อน ตามแบบแผนการประพันธ์บทเพลงประเภทคอนแชโต ซึ่งมีอัตราจังหวะ เร็ว-ช้า-เร็ว ดังต่อไปนี้

1. Allegro ท่อนนี้เป็นท่อนที่สนุกสนาน ร่าเริง เริ่มด้วยเสียงวงออเคสตรานุ่มๆ และค่อยๆ ดังขึ้นเป็นลำดับ ด้วยคอร์ด และเสียงที่สอดประสานกันได้อย่างพอดี มีการใช้การ ดัง เบา สลับกันสร้างสีสันให้กับเพลง ทำให้เกิดความไพเราะ จากนั้นเปียโนก็เริ่มบรรเลงเดี่ยว โดยใช้ทำนองเหมือนกับวงออเคสตราในตอนแรก และก็มีคลอเสียงของวงออเคสตรา จากนั้นมีการรับ-ส่ง เสียงเปียโนกับวงออเคสตราด้วย ก่อนจบท่อน โมสาร์ทยังได้ประพันธ์ท่อน cadenza ซึ่งเป็นการแสดงโชว์ความสามารถของผู้บรรเลง โดยมีเฉพาะเครื่องดนตรีเอก (เปียโน) จะไม่มีการบรรเลงของออเคสตราเลย

2. Andante ท่อนนี้โมสาร์ทใช้กุญแจเสียง D เมเจอร์ เริ่มด้วยวงออเคสตราบรรเลงในทำนองที่ช้า อ่อนหวาน และมีเสียงเปียโนเข้ามาภายหลัง ท่อนนี้ได้เข้ามาเปลี่ยนจังหวะสนุกๆ ของท่อนแรก โดยเป็นท่วงทำนองที่ไพเราะ คอร์ดแต่ละคอร์ดนั้นทำให้เราสัมผัสหรือ จินตนาการถึงภาพของโลกตะวันตกในยุคก่อนๆ การที่ผู้คนมีจิตใจที่รื่นรมย์ กำลังนั่งฟังและชมการแสดงดนตรีอย่างมีความสุขในโรงละคร ช่างเป็นการพักผ่อนที่หาไม่ได้ในยุคปัจจุบัน

3. Allegretto สำหรับท่อนนี้ โมสาร์ทได้ใช้จังหวะเร็ว เหมือนว่าปลุกผู้ฟังจากการเคลิบเคลิ้มกับเสียงดนตรีในท่อนก่อนหน้า โดยการนำโดยวงออเคสตรา เครื่องสาย และเครื่องเป่า และตามด้วยการบรรเลงสลับกัน และการหยอกล้อของเสียงของของวงออเคสตรา และเปียโนอีกเช่นเคย ทำนองของท่อนนี้ฟังแล้วให้ความสนุกสนาน สดใสไพเราะไม่แพ้ท่อนแรก และส่งท้ายก่อนจบเพลงด้วยท่อน cadenza และจบลงด้วยคอร์ดจากเครื่องเป่าอย่างนิ่มนวลซึ่งทำให้ผู้ฟังประทับใจไม่รู้ลืม

บทเพลงที่ 3 : อารันฮูเอซคอนแชร์โต (Aranjuez Concerto) กีตาร์คอนแชร์โตของ โยอาคิน โรดริโก (Joaquin Rodrigo)

อารันฮูเอซคอนแชร์โต (Aranjuez Concerto) กีตาร์คอนแชร์โตของ โยอาคิน โรดริโก (Joaquin Rodrigo) คือเพลงที่มีเครื่องดนตรีเดี่ยว ประชันกับวงดุริยางค์ ซึ่ง อารันฮูเอซคอนแชร์โต ก็มีกีตาร์เป็นเครื่องดนตรีเดี่ยว และสำหรับเพลงสเปนแล้ว ก็ไม่มีเสียงและลีลาของเครื่องดนตรีใดที่จะเป็นสเปนมากไปกว่ากีตาร์ ซึ่งเป็นทั้งเครื่องดนตรีพื้นเมืองสเปน และพัฒนามาใช้ในดนตรีสเปนอีกหลากหลายประเภท รวมทั้งดนตรีคลาสสิกสเปนแกลยาร์โด เดล เรย์ นักกีตาร์ผู้โชว์ฝีมือเดี่ยวให้เราฟังกัน ในคอนเสิร์ตกรุงเทพครั้งนี้เสริมว่า “ แม้ว่าเพลงคอนแชร์โตจะให้ภาพและมีความหมายดั้งเดิม ออกไปในเชิงเพลงประชัน แต่สำหรับตัวผม เวลาที่เล่นเดี่ยวในเพลงคอนแชร์โต ผมมักคิดไปในเชิงการผสมผสาน การบรรเลงร่วมและบรรเลงรับกันระหว่างเครื่องเดี่ยว กับวงดุริยางค์ ซึ่งก็โชคดีที่ผมได้ผู้อำนวยเพลง คือ มาเอสโตร อ็องเตรอม็องต์ ที่มีแนวคิดในเรื่องนี้เหมือนกัน คือเราไม่แข่งขันกันบนเวที เราร่วมือกัน และโดยเฉพาะกีตาร์เป็นเครื่องเดี่ยวที่ต้องนับว่ามีเสียงเบา เมื่อเทียบกับเครื่องเดี่ยวอีกหลายชนิด ถ้าทางวงและผู้อำนวยเพลง มีแต่แนวคิดเรื่องการตอบโต้ หรือการประชัน กีตาร์ก็เสร็จแน่ และผมก็ไม่ค่อยชอบใช้ไมโครโฟนมาขยายเสียง เมื่อไม่ต้องห่วงเรื่องการประชัน ผมก็มีสมาธิ ที่จะมุ่งนำเสนอแนวดนตรีของผมเอง ได้เต็มที่ และอุ่นใจว่ามีวงคอยรับสนับสนุนอยู่ ”สำหรับอารันฮูเอสคอนแชร์โต ที่บรรเลงให้เราฟังกันในคอนเสิร์ตที่กรุงเทพ แกลยาร์โด เดล เรย์ กล่าวว่า “ เพลงบทนี้เปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของสเปน ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสเป็นผู้เดี่ยวกีตาร์ในเพลงบทนี้ โดยเฉพาะในคอนเสิร์ตที่มาแสดงให้ผู้ชมผู้ฟังชาวเอเชียได้ชมกัน ผมรู้สึกว่าความเป็นเอกลักษณ์ของจิตวิญญาณสเปน ดูจะมีความหมายยิ่งขึ้นเมื่อได้รับการสื่อสารและแสดงออกในบรรยากาศ และวัฒนธรรมที่แตกต่างไปอย่างมาก จากวัฒนธรรมของเรา เช่นในสังคมเอเชีย หน้าที่ของผมในฐานะผู้เดี่ยวคอนแชร์โตบทสำคัญของชาวสเปนบทนี้ ก็คือพยายามนำเอาจิตวิญญาณสเปนในเพลงบทนี้ ออกมาให้ผู้ชมผู้ฟังต่างวัฒนธรรมได้รับรู้ และสัมผัส ”

บทเพลงที่ 4 : Concerto No.1 for Piano and Orchestra in B-Flat Minor Opus. 23 ของปีเตอร์ อิลิค ไชคอฟสกี้

เปียโนคอนแชร์โต้ ในบันไดเสียง บี-แฟลทไมเนอร์ โอปุสที่ 23 บทนี้ เขียนขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคมปี 1874 เรียบเรียงเสียงประสานเสร็จสมบูรณ์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 1875 เปียโนคอนแชร์โตบทนี้และบทโหมโรงแฟนตาซีโอเวอร์เจอร์ (Fantasy overture) Romeo and Juliet นั้น ได้รับการยอมรับว่าเป็นผลงานที่สำคัญลำดับต้นๆ ของเขาเลยทีเดียว เพราะว่าตัวเขานั้นไม่ใช่นักเปียโนอาชีพแต่มีความกระตือรือร้นที่จะประพันธ์บทเพลงคอนแชร์โตให้ได้ เขาได้รับคำแนะนำจากเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งคือ Nicholas Rubinstein ทั้งคู่คบกันมานาน 9 ปีกว่า เพื่อนคนนี้คอยให้ความช่วยเหลือเขาอยู่เสมอๆ และเป็นเจ้าของบ้านที่เขาอาศัยอยู่ด้วย

Rubinstein เป็นนักเปียโนฝีมือดีที่สุดในมอสโคว์ และยังเป็นผู้ก่อตั้งสถาบันการดนตรีแห่งกรุงมอสโคว์อีกด้วย ไชคอฟสกี้ได้บอกเรื่องนี้แก่สหายสนิทของเขาที่ห้องเรียนของสถาบันหลังการแสดงคอนเสิร์ทในช่วงคริสต์มาสต์อีฟที่นำบทประพันธ์ของเขาออกแสดง ผู้ที่บรรเลงเปียโนในวันนั้นคือ Rubinstein ซึ่งเรื่องนี้ได้กลายเป็นเรื่องใหญ่พอ ๆ กับตัวผลงานเลยทีเดียว

หลังจากที่ไชคอฟสกี้บรรเลงกระบวนแรกของคอนเเชร์โตบทนี้จบลง เขารอฟังความเห็นหรือคำแนะนำอยู่แต่สหายนักเปียโนของเขาก็ไม่ได้กล่าวคำพูดใดๆ ออกมาเลย เขาจึงบรรเลงต่อไปจนจบเพลงก็ยังไม่มีความเห็นใดๆ อยู่ดี ไชคอฟสกี้จึงถามขึ้นว่า "ใช้ได้มั้ย ?

Rubinstein เริ่มวิจารณ์คอนแชร์โตบทนี้อย่างเงียบๆ แต่เหตุการณ์กลับค่อยๆ ตึงเครียดขึ้นตามลำดับเมื่อ Rubinstein เรียกบทเพลงบทนี้ว่าคอนแชร์โต้ที่ไร้ค่าและไม่เหมาะที่จะนำมาบรรเลง ท่วงทำนองที่ไม่เป็นธรรมชาติและดูโฉ่งฉ่าง ที่แย่กว่านั้นองค์ประกอบของบทเพลงนั้นแย่มากๆ มีรายละเอียดหยุมหยิมเกินไป ธรรมดาเกินไป ไม่น่าสนใจ มีท่วงทำนองที่คล้าย ๆ กับงานของคนอื่น จับโน่นผสมนี่ มีที่พอใช้ได้อยู่เพียง 2-3 หน้าเท่านั้นที่เหลือสมควรทำลายทิ้งซะหรือไม่ก็เอาไปเรียบเรียงขึ้นใหม่ทั้งหมด นอกจากนั้น Rubinstein ยังเล่นเปียโนเพลงนี้แบบตลกๆ ล้อเลียนอีกทำให้เขาเคืองมาก ความเป็นเพื่อนของทั้งสองถึงจุดสิ้นสุด เมื่อ Rubinstein กล่าวว่า ที่เขาวิจารณ์เช่นนั้นในฐานะเพื่อน ไม่ได้ต้องการสร้างศัตรูแต่อย่างใด

 

ไชคอฟสกี้ลุกออกไปจากห้องนั้นด้วยความโกรธสุดขีดเกินกว่าที่จะพูดอะไรได้อีกแล้ว Rubinstein รีบตามไปทันทีเพราะรู้ตัวว่าทำให้เพื่อนสนิทของเขาต้องผิดหวังเพียงใด Rubinstein เรียกเขาเข้าไปนั่งปรับความเข้าใจอีกห้องหนึ่ง และอธิบายซ้ำกับเขาถึงความไม่สมบูรณ์ของคอนแชร์โตบทนั้น โดยชี้ให้เห็นว่าเปียโนคอนแชร์โต้บทนั้น มีหลายจุดที่ต้องแก้ไข และสัญญากับเขาว่าถ้าแก้ไขได้ทันเวลา จะนำเปียโนบทนี้ออกแสดงให้ประชาชนได้ฟังทันที แต่มันสายเกินไป ไชคอฟสกี้ปฏิเสธที่จะแก้ไขแม้แต่ตัวโน้ตเดียว

เขาทำตามที่พูดเอาไว้เช่นนั้นจริงๆ และเสาะหานักเปียโนคนอื่นมาเล่นแทน ในที่สุดเขาได้พบกับนักเปียโนฝีมือดีชาวเยอรมัน Hans Von Bulow (เป็นผู้บัญญัติศัพท์คำว่า The Great 3’ B หรือ 3 B ผู้ยิ่งใหญ่แห่งวงการดนตรีคลาสสิคคือ Bach, Beethoven, Brahms) ผู้ซึ่งชื่นชอบในฝีมือการแต่งเพลงของเขาและปรารถนาที่จะได้แสดงเปียโนคอนแชร์โตบทนี้ ซึ่งนำออกแสดงเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 1875 ที่เมืองบอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา

Bulow ได้เขียนถึงคอนแชร์โต้บทนี้เอาไว้อย่างชื่นชมว่า มีความเป็นเอกลักษณ์ สง่างาม เปี่ยมพลัง ชัดเจนลงตัว มีโครงสร้างทางดนตรีที่สมบูรณ์แบบ และมีสไตล์ที่โดดเด่น

ต่อมา Rubinstein ได้ยอมรับความผิดพลาดของเขาโดยดุษณี และได้นำคอนแชร์โต้บทนี้ออกแสดงทั่วยุโรป ไชคอฟสกี้ก็เช่นกัน เขายอมที่จะแก้ไขบางส่วนของเพลงนี้อย่างเงียบๆ โดยเพิ่มเติมบางส่วนของบทเพลงในปี 1889 และบางทีเขาอาจได้รับการสนับสนุนจากนักเปียโน Edward Dannreuther ซึ่งนำบทเพลงนี้ออกแสดงครั้งแรกที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

บทเพลงที่ 5 : ไวโอลิน คอนแชร์โตสังคีตมงคล" ผลงานประพันธ์เพลงของ ดร.ณรงค์ฤทธิ์ ธรรมบุตร

ครั้งแรกในประวัติศาสตร์วงการดนตรีเมืองไทย กับการแสดงไวโอลินคอนแชร์โตเต็มรูปแบบของดนตรีไทยร่วมสมัย ร่วมสัมผัสสุนทรีย์แห่งดนตรีกับ “ การแสดงคอนเสิร์ตไวโอลินคอนแชร์โตสังคีตมงคล ”เฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา นำเสนอบทเพลงสุดพิเศษครั้งแรก “ ไวโอลิน คอนแชร์โตสังคีตมงคล ” ผลงานประพันธ์เพลงของ ดร.ณรงค์ฤทธิ์ ธรรมบุตร นักประพันธ์เพลงชาวไทยที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยการเดี่ยวไวโอลินของ “ คาริน-เรกีน่า ฟลอไรย์ ”นักไวโอลินชื่อดังชาวออสเตรีย และวงดุริยางค์ซิมโฟนีกรุงเทพ พร้อมการขับร้องประสานเสียงบทเพลงพระราชนิพนธ์ของคณะนักร้องประสานเสียงชื่อดัง “ เดอะเรโซแนนซ์ ” ที่จะแสดงในวันที่ 16 กรกฎาคมนี้ เวลา 20.00 น หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดยรายได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ สมทบทุนมูลนิธิอานันทมหิดลรศ.ธงทอง จันทรางศุ ประธานคณะกรรมการจัดงานคอนเสิร์ตไวโอลินคอนแชร์โตสังคีตมงคล

กล่าวว่า การแสดงคอนเสิร์ตไวโอลินคอนแชร์โตสังคีตมงคลในครั้งนี้ นำเสนอบทประพันธ์เพลงคลาสสิกสดุดีพระเกียรติคุณอันยิ่งใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเป็นเพลงเดี่ยวไวโอลินประชันกับวงออร์เคสตร้า ในลักษณะเพลงไวโอลินคอนแชร์โต ซึ่งเป็นรูปแบบบทเพลงชั้นสูงของดนตรีคลาสสิก บทเพลงเฉลิมพระเกียรติ บทนี้มีชื่อว่า ไวโอลินคอนแชร์โตสังคีตมงคล (Violin Concerto Sankitamankala) ซึ่งครั้งนี้นับเป็นไวโอลินคอนแชร์โตบทแรกของวงการดนตรีคลาสสิกร่วมสมัยของไทยเชื่อว่าการแสดงคอนเสิร์ตไวโอลินคอนแชร์โตสังคีตมงคล ในวันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคมนี้ ซึ่งจะจัดขึ้นเพียงรอบเดียวจะเป็นที่ประทับใจและจดจำรำลึกอยู่ในหัวใจของผู้ชมผู้ฟังทุกคน เนื่องด้วยการเตรียมการและความพร้อมในทุกส่วนของการแสดง ตั้งแต่การฝึกซ้อมอย่างเต็มที่สำหรับการอัญเชิญบทเพลงพระราชนิพนธ์ชุดกินรีสวีทมาบรรเลงโดยวงออเครสตร้าชั้นแนวหน้าของไทย คือวงดุริยางค์ซิมโฟนีกรุงเทพ(Bangkok Symphony Orchestra หรือ BSO) โดยมีพลเรือตรีวีระพันธ์ วอกลาง เป็นผู้อำนวยเพลง ตามมาด้วยการขับร้องประสานเสียงที่มีน้ำเสียงไพเราะหาฟังได้ยากจากคณะเดอะเรโซแนนซ์ (The Resonance) นำโดยคุณสุธีศักดิ์ ภักดีเทวา และส่วนสำคัญยิ่งอีกส่วนหนึ่งของงานในครั้งนี้ก็คือการรับฟังและรับชมบทเพลงเดี่ยวไวโอลินคอนแชร์โตสังคีตมงคล ซึ่งนอกจากจะเป็นบทเพลงไวโอลินคอนแชร์โตเต็มรูปแบบบทแรกของวงการดนตรีร่วมสมัยของไทยแล้ว ยังเป็นการบรรเลงรอบปฐมฤกษ์ของเพลงนี้ด้วย ศิลปินเดี่ยว (Soloist) ในการบรรเลงบทเพลงไวโอลินคอนแชร์โตสังคีตมงคลคือ นักไวโอลินชื่อก้องชาวออสเตรียมิสคาริน-เรกีน่า ฟลอไรย์ ดร.ณรงค์ฤทธิ์ ธรรมบุตร ผู้ประพันธ์ไวโอลินคอนแชร์โตสังคีตมงคล เผยถึงเนื้อหาของบทประพันธ์เพลงนี้ว่า “ คอนแชร์โตสังคีตมงคลเป็นคอนแชร์โตสำหรับไวโอลินเดี่ยวร่วมกับวงออร์เคสตราเฉลิมพระเกียรติที่ประพันธ์ขึ้นโดยนักประพันธ์เพลงชาวไทย บทเพลงนี้มีแบบแผนที่สละสลวยสวยงามในแบบดนตรีคลาสสิกร่วมสมัย และมีแนวเดี่ยวไวโอลินที่สลับซับซ้อนโลดโผนเต็มไปด้วยเทคนิคการบรรเลงขั้นสูง มีการผสมผสานระหว่างดนตรีคลาสสิกตะวันตกและดนตรีไทยอย่างกลมกลืน โดยยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของดนตรีไทยและเทคนิคการประพันธ์เพลงขั้นสูงของดนตรีคลาสสิก คอนแชร์โตสังคีตมงคลประกอบด้วยกระบวนที่มีลีลาการบรรเลงแตกต่างกัน 3 กระบวนในแบบฉบับของคอนแชร์โตแบบดนตรีคลาสสิก และผู้ประพันธ์ได้ใช้เพลงพื้นบ้านจากหลายภาคของประเทศไทย ทำให้บทเพลงมีลีลาจังหวะ ทำนองการประสานเสียง และการเรียบเรียงเสียงประสานสำหรับวงออร์เคสตราที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ”

กระบวนที่ 1 เริ่มต้นด้วยบทนำสั้น ๆ ของวงออร์เคสตรา ติดตามด้วยทำนองสำคัญของไวโอลิน ทำนองนี้มีบทบาทสำคัญหลายครั้งในกระบวนที่ 1 จากนั้นสำเนียงเพลงพื้นบ้านจากภาคต่าง ๆ ได้ผสมผสานเข้ามา อย่างไรก็ตาม ทำนองพื้นบ้านเหล่านี้ได้แตกย่อยและคงไว้แต่เพียงกลิ่นอายของบรรยากาศเพลงพื้นบ้านเท่านั้น มิได้นำมาใช้ทั้งทำนอง ในช่วงกลางของกระบวนจะเป็นช่วงคาเดนซา (Cadenza) ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ไวโอลินเดี่ยวได้แสดงบทบาทกลเม็ดเด็ดพรายอย่างเต็มที่ จากนั้นวง ออร์เคสตราจะเข้ามารับช่วงต่อคล้ายคลึงกับในช่วงแรกของกระบวนในช่วงจบไวโอลินและวงออร์เคสตราจะประชันกัน เพื่อนำกระบวนที่ 1 จบลงอย่างสนุกสนานกระบวนที่ 2 เริ่มต้นด้วยส่วนหนึ่งจากบทเพลงสาธุการเพื่อความเป็นสิริมงคล จากนั้นไวโอลินจะเข้ามาบรรเลงทำนองหลัก บรรยากาศของท่อนนี้จะอ่อนหวาน แต่ก็แฝงไว้ด้วยความหนักแน่นเมื่อกระบวนได้คลี่คลายออกไป ในช่วงท้ายของกระบวนผู้ฟังจะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่สงบของวัด จากเสียงของกลุ่มเครื่องตีที่บรรเลงเสมือนระฆังใหญ่เล็กเป็นฉากหลังกระบวนที่ 3 เป็นกระบวนที่สนุกสนาน บทเพลงเริ่มต้นด้วยไวโอลินบรรเลงสลับกับวงออร์เคสตราด้วยทำนองและจังหวะจากเพลงพื้นบ้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากภาคอีสาน ผู้ประพันธ์ได้ดัดแปลงลีลาทำนองของแคนให้เป็นแนวสำคัญของไวโอลิน โดยกำหนดให้ไวโอลินทำหน้าที่เป็นโน้ตโดรนคล้ายคลึงกับบทบาทของแคนในการบรรเลงเพลงพื้นบ้าน บทเพลงจะจบลงด้วยการผสมผสานทำนองเพลงพื้นบ้านจากทุกภาคด้วยความยิ่งใหญ่เต็มไปด้วยพลังของความสามัคคีและมิตรภาพ

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย