ศิลปะ
หัตถกรรม สถาปัตยกรรม ประติมากรรม สันทนาการ
บัว
คติความเชื่อเรื่องบัว
รูปแบบบัว
การใช้ฐานบัวกับอาคารพระอุโบสถและพระวิหาร
บัวองค์ประกอบเจดีย์ และพระปรางค์
การใช้ฐานบัวกับอาคารพระอุโบสถและพระวิหาร
การใช้ฐานบัวกับอาคารพระอุโบสถและพระวิหารที่มีฐานบัวเฉลียงชั้นลด และฐานบัวอาคารต่อเชื่อมกันพบว่า มีการใช้ฐานบัว 3 รูปแบบ คือ
- แบบแรก ใช้ฐานบัวรูปแบบเดียวกันแต่มีขนาดความสูงต่างกันต่อเชื่อมกันโดยตรง
- แบบที่สอง ใช้ฐานบัวที่มีรูปแบบใกล้เคียงกันต่อเชื่อมกันโดยตรง ซึ่งการต่อเชื่อมจะทำที่ใกล้มุมอาคาร หรือที่ผนังราวบันใดพระอุโบสถและพระวิหาร
- แบบที่สาม ใช้ฐานบัวที่มีรูปแบบใกล้เคียงกันต่อเชื่อมแบบลดรูปซึ่งการต่อเชื่อมจะทำที่ใกล้มุมอาคาร หรือที่ผนังราวบันใดพระอุโบสถและพระวิหาร
การใช้ฐานบัวกับอาคารพระอุโบสถและพระวิหาร ที่มีฐานบัวระเบียงและฐานบัวอาคาร แยกจากกัน พบว่ามีการใช้ฐานบัว 4 รูปแบบ ดังนี้
- แบบแรก ใช้ฐานบัวรูปแบบเดียวกันเป็นฐานบัวระเบียงและฐานบัวอาคาร
- แบบที่สอง ใช้ฐานบัวรูปแบบใกล้เคียงกันเป็นฐานบัวระเบียงและฐานบัวอาคาร
- แบบที่สาม ใช้ฐานบัวรูปแบบต่างชนิดกันเป็นฐานบัวระเบียงและฐานบัวอาคาร
- แบบที่สี่ ใช้ฐานบัวอาคารเพียงแบบเดียว ในกรณีที่อาคารนั้นไม่มีฐานบัวระเบียง ได้แก่ฐานบัวอาคารพระอุโบสถวัดราชโอรสฯ
ในการศึกษาครั้งนี้พบว่าไม่มีวัดใดเลยที่ใช้ฐานบัวรูปแบบเดียวกันทั้งหมด
เป็นทั้งฐานบัวระเบียง ฐานบัวอาคาร พระอุโบสถและพระวิหาร
ส่วนรายละเอียดต่างๆที่เป็นองค์ประกอบของฐานสิงห์ โดยเฉพาะส่วนที่เรียกว่า
กาบเท้าสิงห์ นมสิงห์ ซึ่งบางแห่งมี บางแห่งไม่มี ไม่มีกฎเกณฑ์ที่ตายตัว
และมีรูปแบบที่แตกต่างกันไป
กล่าวได้ว่าขาสิงห์ได้รับความนิยมมากในศิลปะอยุธยาตอนปลาย
และกลายมาเป็นรูปฐานเต็มสมบูรณ์ โดยเอาส่วนบนของฐานบัวมาประกอบขาสิงห์
พัฒนาเป็นทรงเพรียวสูงขึ้น มีการประดับประดาส่วนต่างๆของขา
ให้มีลวดลายสวยงามไปตามยุคสมัย แทนฐานบัวและฐานรูปแบบอื่นที่เสื่อมความนิยมลง
ฐานบัวบางแห่งเป็นฐานที่มีลักษณะแอ่นโค้ง ซึ่งนิยมในช่วงอยุธยาตอนปลาย
ต่อเนื่องมาจนถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น และไม่เป็นที่นิยมในสมัยต่อๆมา
ข้อสังเกต วัดที่ใช้ฐานบัวคว่ำเป็นฐานของอาคารพระอุโบสถ และพระวิหาร
คือวัดราชสิทธาราม และวัดราชโอรสารามนั้น
เป็นความนิยมในการนำเอาฐานบัวแบบเดิมกลับมาใช้
เพราะฐานบัวรูปแบบนี้มีปรากฏเป็นฐานบัววิหารมาแล้วหลายแห่งตั้งแต่สมัยสุโขทัย
คือฐานวิหารวัดช้างล้อม ฐานวิหารวัดเขาสุวรรณคีรี ศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย
ซึ่งปัจจุบันเหลือเพียงร่องรอยโกลนศิลาแลงของฐานพระวิหารให้เห็นอยู่
ในสมัยอยุธยาก็ยังพอมีหลักฐานที่เห็นอยู่ชัดเจน คือฐานรับเสาชายคาพระอุโบสถ
วัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี
ในสมัยรัตนโกสินทร์ก็ยังมีอีกหลายวัดที่มีฐานบัวรูปแบบบัวคว่ำนี้
และเป็นฐานบัวที่นิยมใช้ในช่วงรัชกาลที่ 3
แม้ว่ารูปแบบสิ่งก่อสร้างในรัชกาลของพระองค์จะเปลี่ยนไปในรูปแบบที่เป็นศิลปะแบบจีน
แต่ฐานบัวยังคงเป็นองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมที่มีความสำคัญอยู่เสมอ
บัวหัวเสา
พบว่าอาคารพระอุโบสถและพระวิหารในสมัยรัตนโกสินทร์ ช่วง รัชกาลที่ 1
รัชกาลที่ 5 มีบัวหัวเสารูปแบบต่างๆที่จัดกลุ่มได้จำนวน 6 รูปแบบ ได้แก่
- แบบกลมเรียบ
- แบบกลมลายใบเทศ
- แบบกลมบัวกลีบยาวชั้นเดียว
- แบบกลมกลีบบัวซ้อนสองชั้น
- แบบเหลี่ยมบัวกลีบยาวชั้นเดียว
- แบบเหลี่ยมกลีบบัวซ้อนสองชั้น
รูปแบบบัวหัวเสาในสมัยรัตนโกสินทร์ช่วง
ร. 1 - 5
ช่วงรัชกาลที่ 1 รัชกาลที่ 2
พบว่าบัวหัวเสาที่ใช้ประดับเป็นบัวหัวเสาแบบบัวกลีบยาวซึ่งเรียกว่าบัวจงกล
กลีบชั้นเดียว มีกลีบแซม และมีลวดลายที่กลีบบัว ใช้กับเสาเหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง
มีบัวคอเสื้ออยู่ระหว่างเสากับหัวเสา เป็นรูปแบบที่สืบทอดมาจากอยุธยาตอนปลาย
ซึ่งเป็นแบบที่นิยมอยู่ในขณะนั้น บัวหัวเสาในสมัยรัตนโกสินทร์
จะมีความนิยมตกแต่งหัวเสาด้วยการปิดทองประดับกระจกสีให้มีความสวยงาม
ซึ่งรูปแบบบัวหัวเสาในช่วงรัชกาลที่ 1 รัชกาลที่ 2
นี้จะมีรูปแบบโดยรวมที่คล้ายกัน
ช่วงรัชกาลที่ 3 รัชกาลที่ 4
พระอุโบสถและพระวิหารจะมีสองแบบ คือแบบมีบัวหัวเสา และแบบไม่มีบัวหัวเสา
พระอุโบสถและพระวิหารที่ไม่มีบัวหัวเสาประดับ
จะเป็นพระอุโบสถหรือพระวิหารที่สร้างหรือบูรณปฏิสังขรณ์อยู่ในช่วงรัชกาลที่ 3
เป็นส่วนใหญ่ (ยกเว้นวิหารยอดวัดพระศรีรัตนศาสดาราม)
เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่ศิลปะแบบจีนเข้ามามีบทบาทและเป็นศิลปะที่เป็นแบบพระราชนิยม
เนื่องจากพระองค์ทรงติดต่อค้าขายกับจีนมาก และทรงโปรดศิลปะแบบจีน
อาคารทางสถาปัตยกรรมในระยะนี้จึงนิยมก่อสร้างเป็นศิลปะแบบจีนเสียส่วนมาก
พระอุโบสถและพระวิหารซึ่งได้รับอิทธิพลจากศิลปะแบบจีน
จะมีเสาสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่รองรับโครงสร้างหลังคาโดยรอบ
ซึ่งเสาทรงนี้ไม่นิยมทำบัวหัวเสาประดับ บัวหัวเสาจึงเสื่อมความนิยมลงไปยุคหนึ่ง
ครั้นถึงรัชกาลที่ 4 พระองค์ทรงสร้างวัดที่พระอุโบสถและพระวิหารมีบัวหัวเสา
แต่เป็นบัวหัวเสาที่มีรูปแบบแตกต่างออกไปจากเดิมคือ
เป็นบัวหัวเสาที่ใช้กับเสากลมขนาดใหญ่เป็นเสารองรับโครงสร้างหลังคาโดยรอบ
บัวหัวเสาดังกล่าวมีรูปแบบของอิทธิพลตะวันตกเข้ามาผสมผสาน สองรูปแบบคือ
กลมเรียบแบบบัวหงาย และแบบกลมที่มีลวดลายพฤกษาพวกใบเทศตกแต่ง
วัดดังกล่าวได้แก่วัดมกุฏกษัตริยาราม และวัดโสมนัสวิหาร รวมทั้งวัดราชประดิษฐ์ฯ
ซึ่งเป็นวัดประจำรัชกาลของพระองค์ เป็นต้น
ช่วงรัชกาลที่ 5
พบว่ารูปแบบศิลปกรรมจะมีลักษณะผสมผสานศิลปะแบบตะวันตกมากขึ้น ดังเช่น วัดราชบพิธฯ
ซึ่งเป็นวัดประจำรัชกาลของพระองค์ เป็นการสร้างวัดที่มีรูปแบบที่เป็นคติแบบเก่า
แต่มีการผสมผสานการตกแต่งภายในด้วยศิลปะแบบตะวันตก
ซึ่งทำให้มีการกล่าวกันว่าภายนอกเป็นไทยแต่ภายในเป็นฝรั่ง
นอกจากนี้พระองค์ยังทรงสร้างวัดเทพศิรินทร์ฯ และวัดเบญจมบพิตรฯ
โดยเฉพาะวัดเบญจมบพิตรฯที่มีรูปแบบการสร้างที่ผสมผสานศิลปะไทยแบบอยุธยาและศิลปะแบบตะวันตกเข้าด้วยกัน
ซึ่งบัวหัวเสาที่ใช้ในช่วงรัชกาลของพระองค์จะเป็นบัวหัวเสาที่เป็นบัวกลีบยาว
กลีบซ้อนสองชั้น กลีบบัวปลายผายบานดูมีความอ่อนช้อยยิ่งขึ้น
ในรูปแบบที่เรียกว่าบัวกลีบขนุน
และยังมีวัดที่ดำเนินการก่อสร้างตามศิลปะแบบตะวันตกอีก เช่นวัดนิเวศธรรมประวัติ
บางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ข้อสังเกต บัวหัวเสาในสมัยรัชกาลที่ 5
จะนิยมบัวหัวเสาที่มีกลีบบัวซ้อนสองชั้นทั้งเสากลมและเสาเหลี่ยม
ซึ่งบัวหัวเสารูปแบบนี้เคยมีปรากฏมาแล้วในสมัยอยุธยาที่วัดกษัตราธิราช
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
เป็นบัวหัวเสาที่มีกลีบบัวซ้อนสองชั้นทั้งเสากลมและเสาเหลี่ยมอิงผนังด้านนอก
แต่ต่างกันที่ลักษณะและลวดลายของกลีบบัว
ดังนั้นจึงเป็นการนำเอาหัวเสารูปแบบเดิมกลับมาใช้อีก
แต่มีวิวัฒนาการทางรูปแบบที่เปลี่ยนไป