ปรัชญา อภิปรัชญา ญาณวิทยา จิตวิทยา ตรรกศาสตร์
การพัฒนาความเป็นมนุษย์ ด้วยประสาทสุนทรียศาสตร์และ DICECS Cycle
นายแพทย์อุดม เพชรสังหาร
6วรรณกรรม และจิตรกรรม
ดังรายละเอียดที่ได้กล่าวถึงในตอนต้นแล้ว เกี่ยวกับงานวิจัยของ Dr. Johanna
Shapiro และ Dr. Jesse Prinz เรื่องการอ่านและวิจารณ์วรรณกรรม
การดูและวิจารณ์งานศิลปะ นำมาสู่การเกิดความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
ทำให้โรงเรียนแพทย์หลายแห่งในสหรัฐฯ อังกฤษ แคนาดา และออสเตรเลีย
บรรจุวิชาวิจารณ์วรรณกรรมและศิลปะเป็นวิชาสำหรับนักศึกษาแพทย์ และแพทย์ประจำบ้าน
ดนตรี
นับแต่ปี 2536 เป็นต้นมา
นักวิทยาศาสตร์เริ่มพบว่าดนตรีมีผลต่อความสามารถทางสติปัญญาของมนุษย์
โดยเฉพาะความสามารถทางด้านคณิตศาสตร์ คำว่า Mozart Effect
ได้ถูกนำเสนออย่างแพร่หลาย
และเป็นเหตุให้มีการศึกษาเรื่องดนตรีกับการพัฒนามนุษย์ในเชิงวิทยาศาสตร์มากขึ้น
และเริ่มมีการพบว่า ดนตรีทำให้เเกิดคลื่นสมองความถี่สูงที่เรียกว่า
คลื่นแกมมา (Gamma Band Activity) ขึ้น คลื่นสมองชนิดนี้มีความเกี่ยวข้องกับ
ความสามารถในเรื่องความจำ สมาธิ ความสามารถทางด้านภาษา
และความสามารถในการคิดแบบใช้เหตุผล
Dr. Laured J. Trainor และคณะ จากมหาวิทยาลัยแม็คมาสเตอร์ ประเทศแคนาดา
ได้รายงาน ในวารสาร Annals of the New York Academy of Sciences (2009) ว่า
การเล่นดนตรีจะกระตุ้นให้เซลล์สมองจำนวนมหาศาลเกิดการทำงานอย่างสอดคล้องกัน
เป็นผลให้เกิดคลื่นแกมม่า ซึ่งทำให้การทำงานของสมองในเรื่องการเรียนรู้
และการใช้สติปัญญา (Cognitive Function) ในหลายๆ ด้านดีขึ้น
แต่การเล่นดนตรีจะต้องเริ่มต้นก่อนอายุ 5 ขวบ จึงจะเกิดผลดังกล่าว
การเล่นดนตรีทำให้เกิดคลื่นแกมม่า และทำให้ศักยภาพของสมองเพิ่มขึ้น
Dr. Daniel Levitin (2005) แห่งมหาวิทยาลัยแม็คกิลล์ ประเทศแคนาดา
พบว่าการฟังดนตรีสามารถกระตุ้นการทำงานของนิวเคลียส แอ็คคัมเบน(Nucleus Accumben)
ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมอารมณ์ของคนเราได้
และนี่คือคำอธิบายว่าเพราะเหตุใดเราจึงมีความสุขเมื่อได้ฟังดนตรี<script async
src="//pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/adsbygoogle.js"></script>
<!-- center_2559 -->
<ins class="adsbygoogle"
style="display:block"
data-ad-client="ca-pub-2716469986870548"
data-ad-slot="8796964454"
data-ad-format="auto"></ins>
<script>
(adsbygoogle = window.adsbygoogle || []).push({});
</script>
การค้นพบของ Dr. Daniel Levitin นำมาสู่การใช้ดนตรีเพื่อรักษาโรคซึมเศร้า
หรือภาวะอารมณ์เศร้า และยังเปิดประตูไปสู่การวิจัยเพื่อการรักษาโรคติดเกม
และการติดยาเสพติด เพราะเราทราบมานานแล้วว่าการติดเกม หรือการติดยาเสพติดนั้น
เป็นเพราะเกมหรือยาเสพติดไปกระตุ้นนิวเคลียส แอ็คคัมเบน(Nucleus Accumben)
ทำให้เกิดความสุข เกิดความสนุก แต่เมื่อเล่นนานๆ หรือเสพยาไปนานๆ นิวเคลียส
แอ็คคัมเบน(Nucleus Accumben) จะถูกกระตุ้นมากเกิน
เมื่อหยุดเล่นเกมหรือหยุดยาจึงทำให้เกิดอารมณ์เศร้าหรือหงุดหงิด
เลยทำให้ไม่สามารถหยุดเล่นเกมหรือหยุดเสพยาได้
ดนตรีสามารถกระตุ้นการทำงานของ Nucleus Accumben (NAc) ได้
แต่ดนตรีสามารถทดแทนได้ จึงเกิดคำถามว่าดนตรีจะสามารถรักษาการติดยาเสพติด
หรือรักษาโรคติดเกมได้หรือไม่
ซึ่งขณะนี้นักวิจัยในหลายสถาบันกำลังค้นคว้าวิจัยเรื่องนี้กันอยู่
และบ้านเราก็กำลังมีปัญหาแบบนี้อยู่ เราหันมาใช้ดนตรีเพื่อแก้ปัญหากันจะดีหรือไม่
และการที่เด็กของเราได้สัมผัสกับดนตรีเด็กก็ได้รับผลดีในเรื่องอื่นๆ จากดนตรีด้วย
Dr. Charles J. Limb แห่งมหาวิทยาลัยจอห์น ฮ็อปกิ้นส์ พบว่า
การเล่นดนตรีแบบด้น หรือ Improvisation
จะทำให้สมองส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ทำงานเข้มแข็งขึ้น
ในอนาคตเราจำเป็นที่จะต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์เป็นอย่างมาก
เพราะมันคือหลักประกันในเรื่องความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ
และเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาที่เรามีอยู่ หากดนตรีสามารถช่วยได้
ก็แปลว่าเรามีทางออกให้กับปัญหาของเรา และวัฒนธรรมในการด้น ไม่ว่าจะเป็นการด้นกลอน
ด้นเพลง ก็เป็นศิลปะที่มีอยู่ในทุกท้องถิ่นของเราอยู่แล้ว
การด้นเพลง ทำให้สมองส่วนความคิดสร้างสรรค์ (สีเหลือง) ทำงานแข็งขันขึ้น
Frans Johansson เป็นผู้หนึ่งที่สนใจศึกษาเรื่องความคิดสร้างสรรค์
เขาได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของยุค Renaissance ซึ่งเป็นยุคที่ความรู้ใหม่ๆ
เกิดขึ้นในโลกมากที่สุดยุคหนึ่ง เขาพบว่า ความคิดสร้างสรรค์เกิดขึ้นจาก
การที่ความรู้หลายๆ แขนงมาเชื่อมเข้าหากัน และกระตุ้นให้เกิดความคิดใหม่ๆ
นำมาสู่การทดลอง และทดสอบใหม่ๆ ผลที่สุดก็ได้ความรู้หรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ
ขึ้นมาในโลก
ที่เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี เมื่อ 500 ปีมาแล้ว ตระกูลเมดิชี
ซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลในเมืองฟลอเรนซ์ในยุคนั้น ได้รวบรวมเอาความรู้แขนงต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็น การแพทย์ ศิลปะ สถาปัตยกรรม การเงิน เศรษฐกิจ ฯลฯ มาไว้ที่เมืองนี้
และเปิดโอกาสให้ผู้มีความรู้แขนงต่างๆ มาเรียนรู้และแลกเปลี่ยนความรู้กัน
จนทำให้เกิดความรู้ใหม่ขึ้นมากมายในโลกนี้
คนที่มีชื่อเสียงที่เรารู้จัก เช่น กาลิเลโอ กาลิเลอี ไมเคิล แองเจโล
ลีโอนาโด ดาวินชี
ต่างก็เรียนรู้และเติบโตจากเมืองนี้ทั้งสิ้นในที่สุดเราก็ขนานนามโลกในยุคนั้นว่าเป็น
ยุคแห่งการฟื้นฟูศิลปะวิทยาการของโลก หรือ Renaissance
บทเรียนจากประวัติศาสตร์ที่ Frans Johansson ได้นำเสนอค้นพบก็คือ
การเชื่อมตัวกันของศาสตร์ที่แทบจะไม่เกี่ยวข้องกันเลย เช่น
วิทยาศาสตร์เชื่อมกับศิลปะเชื่อมกับการเงิน การธนาคาร นำมาซึ่งความรู้ใหม่ๆ
ที่สามารถพลิกโลกได้
แต่ปัจจุบัน ระบบการศึกษาของเรากำลังแยกวิทยาศาสตร์ออกจากศิลปศาสตร์
แล้วสิ่งที่เรียกว่า ความคิดสร้างสรรค์ หรือความรู้ใหม่ๆ
จะเกิดขึ้นกับคนของเราได้อย่างไรFrans Johansson เขียนสิ่งที่เขาได้ศึกษา
ไว้ในหนังสือชื่อ Medici Effect
ทั้งหมดที่ผู้เขียนพยายามเล่ามาก็เพื่อที่จะบอกผู้อ่านให้ตระหนักว่าศิลปศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นวรรณคดี
ศิลปะ ดนตรี ที่สร้างความสุนทรีย์ให้แก่คนเรานั้น
สามารถสร้างคุณภาพให้แก่คนเราได้อย่างไร การที่เราลดความสำคัญของศาสตร์เหล่านี้ลง
หรือไม่ให้ความสำคัญ ย่อมหมายถึงคุณภาพที่อ่อนด้อยลงของคนของเรา
และความอ่อนด้อยที่ว่านี้จะกลายเป็นจุดอ่อนที่อันตรายยิ่งสำหรับอนาคตของประเทศเรา