ปรัชญา อภิปรัชญา ญาณวิทยา จิตวิทยา ตรรกศาสตร์>>
จริยธรรมในสังคมไทย
ความจริงจริยธรรมของชนต่าง ๆ
ในโลกที่แบ่งกันออกเป็นชาติหรือสังคมนั้น ๆ ก็ขึ้นอยู่กับศาสนาที่ชนเหล่านั้นนับถือ
จริยธรรมาของชนแต่ละชาติหรือคนแต่ละสังคมก็จะขึ้นอยู่กับระบบศีลธรรมของศาสนาที่ชนเหล่านั้นนับถือเป็นส่วนใหญ่
ยกตัวอย่างเช่น จริยธรรม
ในยุโรปนั้นก็ขึ้นอยู่กับระบบศีลธรรมของศาสนาคริสต์ที่เชื่อถือว่ามีพระผู้เป็นเจ้า
และพระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้กำหนดชีวิตของมนุษย์ตลอดจนความประสงค์ที่จะให้มนุษย์ทำอย่างไร
การกระทำใด ๆ
ก็ตามตรงกับความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าก็ถือว่าเป็นการกระทำที่ถูก การกระทำใด ๆ
ก็ตามที่ไม่ตรงต่อความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าก็ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิด
ถ้าอยากจะรู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าก็ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิด
ถ้าอยากจะรู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าประสงค์อะไรก็ต้องไปดูที่คัมภีร์ของศาสนา คือ
คัมภีร์ไบเบิล ศาสนาอิสลามผมก็เข้าใจว่าเช่นเดียวกัน
จริยธรรมคือการกระทำที่ถูกความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า
ถ้าผิดจากนั้นแล้วถือว่าเป็นผิดทั้งสิ้น เช่น เมื่อพระคัมภีร์ไบเบิลบอกว่า
ผู้ชายจะต้องมีเมียคนเดียวจริยธรรมของยุโรปทั้งกะปิก็เป็นเรื่องของการมีเมียคนเดียวไปหมดตลอดจนระบบของกฎหมาย
ใครมีเมียสองคนเป็นโทษทางอาญา เหล่านี้สังคมไม่ยกย่อง ไม่นับถือ
และจริยธรรมนั้นมันก็มีการเผยแพร่เข้ามาได้ในที่ซึ่งไม่มีรากฐานในทางศาสนา
ศาสนาพุทธไม่ได้บอกแน่ชัดว่าคนควรจะมีเมียคนเดียวหรือมีเมียหลายคน
เราก็ไปเอาจริยธรรมของฝรั่งมา มาเขียนกฎหมายแพ่งบรรพ 5 มันก็เกิดเป็นปัญหา คือ
อันที่จริงก็มีเมียหลายคนนั่นแหละแต่ออกหน้าคนเดียว แค่นี้มันก็ผิดจริยธรรมแล้ว
เป็นการกล่าวเท็จ เป็นการหน้าไหว้หลังหลอก เป็นการปิดบังอะไรลึก ๆ ลับ ๆ ต่าง ๆ
ซึ่งมันไม่ควรจะมีในชีวิตของคนที่มีจริยธรรม
เพราะเหตุว่าเราไปถือจริยธรรมของคนอื่นเขาเอามาเป็นของเราเข้า
จริยธรรมของสังคมไทยก็ขึ้นอยู่กับระบบศีลธรรมของพระพุทธศาสนา
ซึ่งคนไทยเรานับถือมาเป็นเวลาช้านานเป็นพัน ๆ ปี เมื่อขึ้นอยู่กับพระพุทธศาสนา
จริยธรรมในสังคมไทยจึงมีปัญหาเสียแล้ว ในขั้นแรกเลยทีเดียว
อย่างจริยธรรมที่ขึ้นอยู่กับระบบ หรือ Morality ของศาสนาอื่นนั้นเขาไม่มีปัญหา
เพราะ ถูก ผิด ดี-ชั่ว
เขาบอกเหมือนกันหมดเป็นระดับเดียวพระเจ้าต้องการอะไรหรือไม่ต้องการอะไรรู้กันทีเดียว
ทำผิดความประสงค์ของพระเจ้าเป็นบาปเป็นของไม่ดี ทำถูกเป็นลูก เป็นบุญกิริยา
สำหรับพระพุทธศาสนานั้นท่านมีระบบศีลธรรม 2 ระดับ คือ ระดับโลกุตระ และระดับโลกียะ
ซึ่งไม่เหมือนกันเป็นอันขาด
อย่างนี้ต้องดูที่หัวใจพระศาสนาท่านอาจารย์ก็คงรู้ว่าหัวใจของพระศาสนาคืออะไร
เพื่อเป็นเครื่องเตือนความจำ จะได้ยกเรื่องในตำนาน ดังนี้
พระอัสชิท่านมาบวชในพระพุทธศาสนา บวชกับพระพุทธเจ้าแล้วก็ออกไปบิณฑบาต ก็มีคน ๆ
หนึ่งชื่อว่าสารีบุตร ซึ่งต่อมาได้เป็นเอกอัตรสาวกของพระพุทธเจ้าก็มาถามว่า
ท่านเป็นสมณะเห็นมีความสำรวมงดงาม มีวัตรปฏิบัติที่น่าเลื่อมใสนับถือ
ท่านนับถือศาสนาอะไรใครเป็นอาจารย์ พระอัสชิก็บอกว่าเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้า
บวชในศาสนาของพระพุทธเจ้า พระสารีบุตร ซึ่งตอนนั้นยังไม่บวชก็ถามว่า
แล้วพระพุทธเจ้าตรัสสั่งสอนอะไร พระอัสชิก็บอกว่า
ท่านก็เพิ่มจะร่ำเรียนยังไม่รู้แจ้งชัดอะไรหรอกแต่ก็พอจะบอกได้
ก็พูดเป็นภาษาบาลีสองวรรคซึ่งแปลเป็นไทยแล้วมีใจความดังนี้
วรรคแรกกล่าวว่า ธรรมทั้งหลายนั้นมีเหตุ
พระคถาคตได้ตรัสรู้เหตุเหล่านั้นแล้ว และได้ทรงทราบถึงทางที่จะดับเหตุเหล่านั้นด้วย
ดับเหตุแห่งธรรมทั้งหลายคือความทุกข์ ดับเหตุแห่งทุกข์นั้นด้วย
พระมหาสมณะท่านตรัสไว้ก็มีเพียงเท่านี้ คือ เรื่องของเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง
และการดับซึ่งเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง
ท่านตรัสรู้และท่านสอนในสิ่งที่จะดับทุกข์ไว้วรรคที่สองบอกว่า เราจะไม่ทำบาปทั้งปวง
จงทำกุศลทั้งปวงจงทำจิตใจให้บริสุทธิ์ เหล่านี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
เหล่านี้เป็นพหูพจน์
สรุปแล้วพระพุทธเจ้าของเราสอนให้รู้ทุกข์ ตรัสรู้อริยสัจ
สอนให้รู้ทุกข์ สอนให้รู้ทางที่จะดับทุกข์นั้น ส่วนการไม่ทำบาปทั้งปวง
ทำกุศลทั้งปวง ทำจิตให้บริสุทธิ์นั้น ฤาษีพราหมณ์
ที่ไหนเขาก็สอนกันมันเรื่องของศีลธรรมสากล
แล้วที่นี้นี่แหละครับสองวรรคมันก็สองระดับ ระดับแรกเป็น โลกุตรธรรม เป็นขั้นปรมัต
เป็นหลักปรัชญาของพระพุทธศาสนาว่าด้วยการพ้นทุกข์
พระพุทธเจ้าเสด็จออกบรรพชาเพื่อแสวงหาความรู้เกี่ยวกับความทุกข์และทางที่จะพ้นทุกข์
และเมื่อตรัสรู้แล้วก็รู้ว่าทุกข์คืออะไร คือทุกข์ในอริยสัจ
เหตุแห่งทุกข์นั้นมาจากไหนก็ตรัสรู้
ทางที่ระดับทุกข์นั้นเป็นอย่างไรก็ได้ตรัสสั่งสอนไว้
นี่คือระบบศีลธรรมของพระพุทธศาสนามีอยู่ใน Reality
ของปรัชญาทุกชนิดเราจะต้องตัดสินใจลงไปว่าอะไรคือความดี อะไรคือความชั่ว
เพื่อจะได้รับเป้าหมายของการกระทำของแต่ละบุคคลว่าบุคคลนั้นเป็นผู้กระทำความดีหรือไม่
หรือเป็นผู้กระทำความผิดความชั่ว
เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสสั่งสอนอย่างนี้เราจะต้องดูให้ดี
ดูว่าโลกุตรธรรมนั้นอะไรคือความดี ความดีในโลกกุตรธรรมไม่มีอื่น
นอกจากความดับแห่งทุกข์การกระทำทุกอย่างของบุคคลนั้นถ้าไปทำในทางที่จะให้ทุกข์ดับแล้วเป็นความดีทั้งสิ้น
และพระพุทธเจ้าตรัสสั่งสอนอีกเหมือนกันว่าสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นมีแต่ทุกข์ไม่มีอะไรอื่นนอกจากทุกข์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรานี้
เพราะฉะนั้นตามระเบียบศีลธรรมหรือ Morality
ของพระพุทธศาสนาในขั้นแรกทีเดียวแล้ว
การกระทำสิ่งใดให้เกิดหรืออะไรให้เกิดเป็นการกระทำผิดทั้งสิ้น
ผิดหมดไม่ว่าจะสร้างบ้านสร้างเมือง สร้างโรงเรียน สร้างมหาวิทยาลัย สร้างคน
ตั้งระบอบการปกครองอะไรมันเกิดทั้งนั้น เมื่อเกิดแล้วเป็นทุกข์ทั้งนั้นผิดทั้งนั้น
การกระทำที่ถูกมีอย่างเดียวคือการทำให้ดับอะไรที่มีอยู่แล้วมันก็ทุกข์ดังมันเสีย
อะไรที่ยังไม่เกิดก็อย่าให้มันเกิด เพราะเกิดแล้วมันจะเป็นทุกข์
ดับมันที่เหตุมันจะได้หมดทุกข์ นี่คือ Morality ของศาสนาพุทธในขั้นโลกุตร
ถ้าเราถือเอา Morality ระดับนี้เป็นหลักแหล่งจริยธรรมของสังคมแล้ว
สังคมตั้งอยู่ไม่ได้ ในที่สุดจะไม่มีบ้าน ไม่มีเมือง ไม่มีวัดวาอาราม
ไม่มีอะไรเหลือ พวกที่บวชอยู่ในวัดนั่งอยู่ตามป่าตามเขา
สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วครองจีวรสีแก่ ๆ นั่นแหละ
ถ้าพวกเราดับขึ้นมาบ้างบางท่านก็อดตาม ใครจะเอาอะไรไปใส่บาตรท่านมันดับก็หมด
นี่เป็นระบบศีลธรรมของศาสนาพุทธในขั้นพื้นฐานจริง ๆ
แต่หากว่าเคราะห์ดีพระอิสชิท่านกล่าวถ้อยคำสองวรรคต่อไป คือ
พระพุทธเจ้าทั้งหลายท่านก็สอนกันมาว่าให้ทำและอย่าไปทำบาปทั้งปวง ทำแต่ความดี
ทำจิตให้บริสุทธิ์
วรรคหลังนี้เป็นโลกียธรรมคือว่าให้ทำความดีแล้วอย่าทำบาปศาสนาพุทธก็สอนว่าอะไรคือความดีในโลกียธรรม
การกระทำที่ถือว่าดีคือ การกระทำที่เกิดผลดีเป็นวิบากการกระทำที่เป็นชั่วเป็นผิด
คือ การกระทำที่เกิดผลดีเป็นวิบากการกระทำที่เป็นชั่วเป็นผิด
คือการกระทำที่เกิดผลร้ายเป็นวิบาก
เป็นเรื่องของกรรมซึ่งไม่มีใครหนีได้เป็นกฎเกณฑ์ที่ถือกันว่าเป็นเรื่องแน่นอน
ถ้าแค่นี้มันก็ต้องเป็นหลักของจริยธรรมขึ้นมาได้
เราก็ต้องดูที่ผลของการกระทำการกระทำใด ๆ
ก็ตามที่เกิดเป็นผลร้ายแก่ตัวเองหรือบุคคลอื่นแล้วก็ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดไม่ควรกระทำ
แต่ถ้าหากว่าการกระทำใด ๆ ที่เกิดผลดีแก่ตนเองเป็นผลดีแก่คนอื่น
หรืออย่างน้อยก็ไม่เดือดร้อนแก่คนอื่นแล้วถือว่าเป็นการกระทำที่ถูก
ถ้าหลักโลกีธรรมนี้ ก็พอจะรับเอามาเป็นกฎเกณฑ์ของจริยธรรมของสังคมได้
อันแรกรับไม่ได้ถ้ารับเข้าแล้วฟังเราจะได้สังคมของพรอรหันต์ซึ่งจะมีอายุไม่นาน
ในที่สุดดับหมด ถ้าถือจริยธรรมขึ้นกับโลกียธรรมแล้วอยู่กับไปได้ สร้างบ้าน
สร้างเมือง มีลูกมีเมีย มีลูกมีเต้า มีครูอาจารย์ มีสังคม มีระบบเศรษฐกิจ
มีนักเรียน มีการสร้างสรรค์ทุกอย่างได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างสรรค์ในทางที่ดี
ซึ่งก็ตรงกับที่พระพุทธเจ้าและพระศาสนาอื่น ๆ สอนไว้ หลักโลกียธรรมพระท่านเรียกว่า
พระโอวาทสาม ก็ถือว่าเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเหมือนกัน
นี่ปัญหาจริยธรรมของไทยมันเกิดเสียตั้งแต่แรกว่าจะเอาอันไหน
จะทำให้ดับหรือทำให้เกิด อันแรกบอกว่าดับดี อันที่สองไม่พูดอย่างนั้น
พูดว่าทำความดีให้เกิดจะว่าขัดกันมันก็ขัดแต่ขณะเดียวกันมันก็เป็นคำสั่งสอนของศาสนาพุทธ
ตั้งแต่โบราณมาสังคมไทยได้ตัดสินใจที่จะถือเอาโลกียธรรมนั้นเป็นหลักของจริยธรรมของสังคม
คือ สอนไม่ให้คนทำชั่วทำบาปทั้งปวง สอนให้คนดำเนินชีวิตด้วยการกระทำความดีทั้งปวง
และทำจิตใจให้บริสุทธิ์ นี่เป็นหลักของจริยธรรมของไทยมาตั้งแต่แรก
เพราะเขาตัดสินกันมาแต่ก่อนกาลเวลานักหนาแล้วว่า
หลักปรมัตหรือโลกุตรนั้นจะนำเอามาใช้สำหรับคนที่ยังเป็นผู้ครองเรือนนั้นเห็นจะไม่ได้เป็นการสร้างบ้านสร้างเรือน
แต่การสร้างบ้านสร้างเมืองนั้นจำเป็นจะต้องทำ เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์
จริงอยู่ไม่ได้เถียงหลักปรมัต ทุกคนเชื่อว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ดี
ตรัสรู้ชอบและที่ตรัสไว้ในเรื่องทุกข์และเหตุแห่งทุกข์ก็เป้นความจริงอย่างยิ่ง
ซึ่งไม่มีอะไรเจือปนเลย นอกจากความจริงเป็นสัจจะที่แท้จริง
และเมื่อเราเกิดมาในโลกที่มีความทุกข์อย่างนี้ เราก็เลือกเอาอีกชั้นหนึ่งคือ
โลกียธรรมนั้นเอามาเป็นจริยธรรมของเรา
ในสมัยก่อนรู้สึกว่าการศึกษาพระพุทธศาสนาในขั้นวิปัสนา
ซึ่งจะนำไปสู่ความรู้แจ้งเห็นจริงในโลกุตรธรรมนั้นท่านระมัดระวังกันมากที่สุด
ถือว่าเป็นการศึกษาขั้นสูง
พระพุทธศาสนาในเมืองไทย แต่ก่อนสอนทางด้านโลกียธรรม
สอนให้คนประพฤติดีประพฤติชอบ
ให้ละเว้นความชั่วและในด้านนี้พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสรู้สั่งสอนไว้มาก
เรียกว่าภาคคีหิตปฏิบัติ คือ เป็นการปฏิบัติของผู้ครองเรือน
สอนให้หมดว่าให้ทรัพย์โดยสุจริต รักษาทรัพย์อย่างไร มีลูกมีเมียควรจะเลี้ยงอย่างไร
คนที่อยู่ในสังคมเดียวกันควรจะปฏิบัติด้วยกันอย่างไร ควรจะมีความกตัญญูต่อบิดามารดา
ควรจะคบมิตรอย่างไร ตลอดจนควรจะไปเที่ยวที่ไหน หรือไม่ไปที่ไหน
ที่อยู่ทั้งสิ้นในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งไทยเราก็รับเอามาเป็นหลักจริยธรรม
และนอกจากนั้นคนไทยมีประเพณีให้กุลบุตรไปบวชเรียนหนึ่งพรรษาเมื่อครบอายุบวชคือ 20
ปีบริบูรณ์
การที่เข้าไปอยู่ในสังคมของพระสงฆ์ซึ่งมีวัตรปฏิบัติเป็นที่งดงามทำให้คนไทยเรานั้นรู้มารยาท
รู้จรรยามารยาท คือ จริยธรรมนั่นเอง
เมื่อสึกออกมามีครอบครัวก็ปฏิบัติตามที่ได้ร่ำเรียนมา
ตลอดจนสอนแก่บุตรภรรยาหรือลูกหลานต่อไปให้ถือเช่นนั้น
จะเห็นได้จากว่าคนไทยเรามีระเบียบ มีจริยธรรม เอาปลีกย่อยสุด การกินอาหาร
ถ้าใช้มือเปิบจะต้องไม่ให้เปื้อนเกิน 1 องคุลี
แล้วก็ต้องเปิบเข้าปากหรือต้องใช้ช้อนตักเข้าปาก
คนไทยเราไม่เอามือปาดข้าวแล้วมาป้าย หรือไม่ปั้นเป็นก้อนโยนแล้วอ้าปากรับ
ซึ่งทั้งหมดนี้ห้ามไว้ในเสขิยวัตร ในพระวินัยหมวดที่เรียกว่า
เสขิยวัตรทั้งเรื่องคือ สมบัติผู้ดีที่พระพุทธเจ้าท่านสั่งสอนลูกศิษย์ท่านไว้
เราก็เอามาใช้ในระบบผู้ครองเรือนของเราจะกินจะอยู่มันก็สนุก ไม่เคี้ยวจั้บ ๆ
ไม่เคี้ยวสูด ๆ บอกไว้หมดห้ามไว้หมดเป็นมารยาท เป็น Table Maner ของคนไทย
ซึ่งทุกวันนี้ไปใช้ได้ทั่วโลก
คนไทยไปกินข้าวกับฝรั่งมังค่าที่ไหนไม่มีผู้ใดรังเกียจ
เพราะเราเป็นคนมีความสุภาพในการกินอาหาร ซึ่งได้มาจากพระพุทธศาสนาโดยตรง
นอกจากนั้นแล้วความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่
ระหว่างผู้มีอาวุโสมากกับผู้อาวุโสน้อยระหว่างศิษย์กับอาจารย์
ระหว่างลูกกับบิดามารดาตลอดจนไปจนการครองเรือนรักษาความสะอาดไม่โยนขยะมูลฝอยออกจากหน้าต่าง
ก็เป็นเรื่องที่พระท่านทำอยู่ในหมวดเสขิยวัตรทั้งนั้น
คนไทยไปบวชก็ได้เล่าเรียนก็รู้ขนบธรรมเนียมประเพณี
รู้สมบัติผู้ดีของพระพุทธเจ้าก็เอามาใช้
ที่พระพุทธเจ้าต้องทรงบัญญัติข้อบังคับหรือวินัยต่าง ๆ
ในหมวดเสขิยวัตรนี้ก็เพราะว่า เมื่อเริ่มตั้งศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าไม่ทรงถือวรรณะ
เปิดโอกาสให้ทุกคนสักแต่ว่าเป็นมนุษย์แล้วมาบวชเรียนในพระศาสนาได้คนที่มาบวชเรียนในศาสนามาจากชนชั้นต่าง
ๆ ของสังคม กิริยามารยาทความเป็นอยู่ไม่เหมือนกันเมื่อเข้ามาอยู่ด้วยกัน
ถ้าหากว่าไม่ทรงบัญญัติไว้แล้ว
ความแตกแยกต้องเกิดจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ในระหว่างพระสงฆ์จึงได้ทรงกำหนดจริย
คือมารยาทหรือจะเรียกสมบัติผู้ดี
หรืออะไรก็ที่ให้พระสงฆ์ถือเสมอเหมือนกันหมดสงฆ์ก็อยู่ร่วมกันได้เป็นสุขและอยู่ต่อมาจนถึงทุกวันนี้
การที่คนไทยเราไปบวชไปเรียนก็ได้จริยออกมาจากพระศาสนาเอามาใช้ในชีวิตประจำวัน
เพราะฉะนั้นกริยามารยาทของคนไทย ความสำรวม ความสงบ เข้าผู้เข้าคน
ซึ่งเรามีอยู่ทุกวันนี้มาจากพระพุทธศาสตรโดยสิ้นเชิง
และเป็นที่รับรองของชาติอื่นภาษาอื่นอีกมากมาย ไปไหนไม่มีผู้ใดรังเกียจ
เขายินดีต้อนรับและในที่สุดแม้แต่คนในเมืองไทยซึ่งเขานับถือศาสนาอื่นเขาไม่ได้ผู้ใดรังเกียจ
เขายินดีต้อนรับและในที่สุดแม้แต่คนในเมืองไทยซึ่งเขานับถือศาสนาอื่นเขาไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ
แต่เมื่อเขาเป็นคนไทยเขาก็ย่อมจะรับจริยธรรมของไทย
ซึ่งความจริงเราได้มาจากศาสนาพุทธนี้เอาไปใช้เพื่อจะอยู่ในสังคมไทยได้ด้วยกันด้วยความสงบสุข
ด้วยความสามัคคีมีผลกว้างไกลไปถึงเพียงนี้ แต่ปัญหามันยังไม่หมด
ผมได้เรียนท่านอาจารย์แล้วว่า แต่ก่อนนี้ท่านระมัดระวังกันมากในการศึกษาด้านโลกุตร
ท่านเลือกคนที่จะมาปฏิบัติธรรม แต่เดี๋ยวนี้ไม่เป็นอย่างนั้น เดี๋ยวนี้คล้าย ๆ
กับว่าไอ้การโฆษณาประชาสัมพันธ์สมัยใหม่มันเข้าไปแทรก
สำนักวิปัสนาตั้งขึ้นเป็นดอกเห็ดทั่วพระราชอาณาจักร ไปไหนเจอแต่ถ้ำเจอแต่เขา
เจอแต่สำนักวิปัสสนา เจอแต่พระอาจารย์จีวรสีแก่ ๆ นั่งสอนวิปัสสนานับลมหายใจเข้าออก
พองหนอยุบหนอ เรียกว่าณาณสมาบัติ แปลว่าอะไรก็ไม่รู้ มันทำให้เกิดความสับสนทางใจ
มีหลายสิทธิด้วยกัน เพราะเสรีภาพโดยทางนับืถอตามรัฐธรรมนูญ
ในพระศาสนาเองก็เริ่มจะลำบากเริ่มจะมีปัญหา
เนื่องมาจากการปฏิบัติธรรมที่ไม่ระมัดระวังทุกองค์คล้าย ๆ
กับจะเป็นอรหันต์ไปหมดแล้ว ตรัสรู้ทุกข์อริยาสัจสอนวิปัสสนา
สอนให้ฆราวาสอย่างผมซึ่งมีกิเลสตัณหา
มีบาปมีกรรมให้เข้าสู่ทางของพระอรหันต์ซึ่งหลายคนที่เขาอยู่อย่างผม
เขาก็ไปเรียนแล้วเขาก็มาคุยว่าเขาสำเร็จแล้วเขาดีขึ้นทั้ง ๆ ที่ไม่ได้บวชได้เรียน
คือความจริงผมไม่เชื่อว่าคนจะเป็นพระอรหันต์ได้โดยไม่ต้องบวช นั่งอยู่กับบ้านเฉย ๆ
ก็สำเร็จได้ผมไม่เชื่อ แค่โสดาบันก็ยากแล้ว ก็เมื่อเป็นเช่นนี้แหละครับ
ปัญหามันจึงเกิดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ศาสนาพุทธนั้นเป็นหลักของจริยธรรม
ทุกวันนี้ศาสนาพุทธเริ่มจะสลายลงด้วยการปฏิบัติธรรมแปลก ๆ เวลานี้มีหลายสิทธิ
ซึ่งบางสิทธิไม่ขึ้นต่อคณะสงฆ์แล้ว
เพราะว่าสิทธิบางลัทธิขั้นต้นบวชในนิกายธรรมยุติสี่เดือน
ลาออกจากธรรมยุติไปบวชเป็นมหานิกายอีก 3 เดือน แล้วก็ไม่เป็นทั้งธรรมยุติ
ทั้งมหานิกาย เป็นพระเฉย ๆ ไม่อยู่ใต้บังคับใครทั้งสิ้น
สั่งสอนไปเทศน์ถึงในวัดพระแก้วมีคนนับถือ นิมนต์ไปเทศน์สอนว่าบาปบุญไม่มีในโลกนี้
ทำอะไรไปแล้วไม่มีวิบากไม่มีหรอกนรก สวรรค์ อย่าไปเชื่อ
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับปัจจุบันคำสอนเช่นนี้ในพระพุทธศาสนาบอกไว้ชัดว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ
คือ สอนไม่ให้มีอดีต ถือปัจจุบันเป็นเกณฑ์
ปัจจุบันนี่ก็ไม่ใช่ผลของอดีตทำอะไรวันนี้ผลก็จะไม่เกิดในอนาคตว่ากันมาตามสบายเอาปัจจุบันเป็นใหญ่อย่างนี้ก็มี
บางสิทธิบอกว่านอนห้องเดียวกันกับผู้หญิงไม่บาป นอนห่าง ๆ กันใครจะว่า
บางสิทธิบอกว่าผู้หญิงจับเนื้อต้องตัวได้ไม่บาปใจบริสุทธิ์เสียอย่าง
หลวงพี่นั่งสูบบุหรี่อยู่สีกาไปถึงบอกหลวงพี่ขอต่อบุหรี่ที่หยิบบุหรี่จากปากหลวงพี่ไปต่อแล้วเอากลัลมายัดใส่ปากหลวงพี่ใหม่ทำได้
บางสิทธิเกือบจะไม่รู้ว่าใครเป็นผู้หญิง ผู้ชาย Unisex พระนวดชี ชีนวดพระ
ไม่บาปไม่กรรม บางสิทธิ บอกให้ก็ได้อยู่ราชบุรีนี่
ทั้งวัดบอกฆ่าสัตว์ไม่เป็นบาปถ้าฆ่ากินฆ่าฉันแล้วไม่เป็นบาปเป็นความดีเสียอีกจะได้ไม่เบียดเบียนชาวบ้านเรื่องนี้มีข่าวมาถึงกรุงเทพฯ
พระผู้ใหญ่ในมหาเถรสมาคมท่านก็สงสัยว่าจะไม่จริงไม่น่าจะเป็นไปได้
ก็ส่งพระอนุจรคือพระในวัดของท่านไปดูสังเกตการณ์
ให้จาริกไปที่วัดนั้นแล้วให้ไปขอนอนค้างคืน พระรูปนั้นท่านก็ไป
เสร็จแล้วยังไม่ถึงค่ำเลยท่านเปิดออกจากวัดนั้นกลับมากรุงเทพฯ ท่านอยู่ไม่ได้
ท่านค้างไม่ได้เพราะมันมีเหตุการณ์สยดสยองเกิดขึ้น
ท่านบอกว่าตอบบ่ายพระในวัดนั้นลงวิดบ่อเอาปลาขึ้นมาแกง
ผมรู้สึกว่าเหตุเหล่านี้ทั้งหมดมันเกิดขึ้นจากเสรีภาพในการนับถือศาสนาและปฏิบัติศาสนกิจอย่างหนึ่งซึ่งแต่ก่อนเหล่านี้ทั้งหมดมันเกิดขึ้นจากเสรีภาพในการนับถือศาสนาและปฏิบัติศาสนกิจอย่างหนึ่งซึ่งแต่ก่อนเหล่านี้ทำไม่ได้
เพราะพระท่านมีอำนาจมีกำลังมีพระเจ้าแผ่นดินเป็นอำนาจของพระที่จะกำจัดสิ่งที่ท่านเห็นว่าผิดโดยโทษทางอาญา
หรือด้วยพระราชอำนาจของพระเจ้าแผ่นดินซึ่งรุนแรงไม่มีใครกล้า แต่สมัยนี้
ระบอบประชาธิปไตยทุกคนมีเสรีภาพโดยทั่วไป
ความจริงศาสนาพุทธที่จะเป็นหลักจริยธรรมของคนที่ครองเรือนหรือคนที่อยู่ในสังคมนั้นมีมากมายเหลือเกิน
พระพุทธเจ้าได้ตรัสสั่งสอนไว้ทั้งสิ้น
ทางด้านผู้ปกครองแผ่นดินก็ได้สั่งสอนธรรมมะที่เรียกว่า ทศพิธราชธรรมที่เรียกกว่า
สังคหวัตถุ จักรวรรดิวัตร
บางคนที่อยู่ใต้การปกครองก็มีธรรมแห่งการครองเรือนมากมายอย่างที่ผมได้เรียนท่านอาจารย์มาแล้ว
เพราะฉะนั้นก็พอจะสรุปได้ว่า
จริยธรรมของไทยเรานี้ขึ้นอยู่กับโลกียธรรมของศาสนาพุทธ
เราถือกันว่าถ้าเราทำถูกทำดีแล้วเราจะต้องได้ดี
ไอ้ที่ว่าทำดีได้ดีนั้นเป็นหลักศาสนาพุทธเช่นเดียวกัน
ตั้งมั่นปฏิบัติทำความดีก็เพื่อให้เกิดผลดี เป็นหลักปฏิบัติสืบเนื่องกันมาช้านาน
แต่ถ้าจะว่าไปกฎเกณฑ์ของจริยธรรมของสังคมไทยเมื่อสืบเนื่องมาจากศาสนาพุทธ
ก็มาลงสรุปได้ว่าสืบเนื่องมาจากศีล 5 และธรรม 5
ศีล 5 คือ ไม่ฆ่าสัตยว์ตัดชีวิต ไม่ลักทรัพย์ ไม่ผิดผัวผิดเมียผู้อื่น
ไม่กล่าวเท็จ และไม่เสพย์สุราเมรีย์ นี่ทุกคนรู้ ๆกันหมด
และอบรมสั่งสอนกันมาโบราณเต็มที่
จนในที่สุดในขณะที่ผิดศีลล่วงศีลเหล่านี้ข้อใดข้อหนึ่ง
ใจคนที่จะล่วงศีลจะต้องนึกทุกทีว่าบาปนะ
แต่ถึงบาปก็เอานะไม่เป็นไรกินก่อนจ่ายทีหลังหรือการรับศีลนั้นพอพระให้ศิลเสร็จเอามือลงก็ขาดศีลกันแค่นั้น
แต่เอาเถอะยังรู้ว่ามีศีล พ่อแม่ ปู่ย่า ตายายท่านก็บอกว่าให้รับเถอะ
มันจะรับน่านเท่าไหร่ก็ช่างจนมีคำพูดในภาษาไทยเก่า ๆ ว่า
การรับศีลนั้นเพียงแต่ช้างกระดิกหูก็พอขอให้รับเถอะ
แล้วเพียงช้างกระดิกหูพริบเดียวแล้วมันจะขาดก็ช่างมันยังดีกว่าไม่รับเลย คือศีล 5
นี้เป็นหลักของจริยธรรมของไทยซึ่งกระจายออกไป
ที่คนโบราณเขาสั่งสอนมาจะสัมพันธ์ในศีล 5 ทั้งนั้น อะไรผิดอะไรถูก
อะไรดีไม่ดีมันจะอยู่ในศีล 5 เกือบจะทั้งสิ้น
นอกจากกิริยามารยาทที่เราได้มาจากศาสนาพุทธ อย่างที่ผมเรียนมาแล้ว
แต่ว่าเราพูดกันอยู่เสมอว่า คนดีจะต้องมีศีลธรรมไม่ใช่ว่าคนดีจะต้องมีศีล
ผู้มีศีลเราหมายถึงพระ แต่ผู้มีศีลธรรมนั้นเราหมายถึงฆราวาส คนนั้นเขาดีคนนี้เขาดี
เพราะเขามีศีลธรรมแต่ใจของเราทั้งปวงไปเพ่งอยู่ที่ศีล
ธรรม 5
ของศาสนาพุทธนั้นเกือบจะไม่มีใครผิดใครนำไปปฏิบัตินึกว่าถ้าไม่ล่วงศีลก็ดีพอแล้ว
ส่วนธรรมอีก 5 ข้อ ซึ่งควบคู่ไปกับศีลนั้นไม่มีใครสนใจ ธรรมข้อแรกในธรรม 5
ที่คู่กับศีลปาณาศีลข้อ 1 คือ เมตตา เอาละดีแล้วไม่ฆ่าสัตว์
แต่มันต้องเมตตาต่อสัตวอีกด้วย คนไทยเราไม่ฆ่าสัตว์แต่ชอบการทรมานสัตว์
ใครทรมานสัตว์ก็ไม่ว่าจับสัตว์ป่ามามัดผูกขังกรงทรมานจริงอยู่ไม่ฆ่าสัตว์แต่ขังให้มันอดจนตาย
เพราะไม่รู้ว่าสัตว์บางอย่างที่จับมานั่นมันกินอะไร ขังกรงไว้ดูเล่นเฉย ๆ
จนมันอดตายไปคาที่ก็ไม่มีใครคิดช่วยเหลือบางทีขาดน้ำ ขาดอาหาร มัดคอ มัดเท้า
ทรมานด้วยประการทั้งปวงก็ยังทนกันได้
เพราะรู้แต่ศีลรู้ว่าไม่ฆ่าสัตว์เท่านั้นเป็นพอส่วนธรรมข้อที่ควบกับศีลข้อ 1
เมตตานั้นไม่มีใครรู้จัก คนที่มาจากต่างประเทศ
มาเมืองไทยด้วยความเลื่อมใสว่าเป็นเมืองของพระพุทธศาสนาแลเห็นคนในเมืองไทยเบียดเบียนทอดทิ้งกันเอง
และเห็นคนในเมืองไทยเบียดเบียนสัตว์ด้วยการขาดความเมตตาแล้วเขาช้อค
เขาบอกว่านี่หรือเมืองพระพุทธศาสนา จริงอยู่ไม่ฆ่าสัตว์ปล่อยให้เจ๊กฆ่า แขกฆ่า
แต่กินแล้วใครจะทรมานสัตว์ไม่สนไม่เดือดร้อน
ไม่ขวยขวายหาทางที่จะช่วยเพราะขาดเมตตาธรรมที่เป็นคู่อยู่กับศีลข้อ 2 คือ อทินนา
ได้แก่ การไม่ลักทรัพย์นั้นได้แก่ สัมมนาอาชีพ มีเหตุผลรับกัน คือ
ถ้าเราไม่ลักขโมยเขาเราก็ต้องมีอาชีพอันสุจริตไม่งั้นก็ต้องไม่ลักเขากินท่านบอกไว้ชัด
แต่ไม่มีใครรู้ไม่มีใครสนใจไม่ลักไม่ขโมยเป็นพอ แต่ถ้าคอรัปชั่นเล็ก ๆ น้อย ๆ
หรือใหญ่ ๆ
ไม่เป็นไรมันไม่ได้ขโมยนี่เขาเอาสินบนมาได้ด้วยความเต็มใจก็รับอย่างนี้มันไม่ใช่สัมมาอาชีพ
แต่เพราะเขาไม่รู้ธรรมเรายอกปฏิบัติโดยนึกว่าไม่ได้ลักไม่ได้ขโมย
ไม่ได้งัดกำปั่นหลวงนี่ เงินที่ได้ก็ไม่ใช่เงินหลวง เงินใครเขาเอามาให้ก็ไม่รู้
แลกเปลี่ยนกับการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ มันก็รับไว้ได้หมด
นี่แหละครับก็ขาดธรรมอีกเช่นเดียวกับ ข้อ 3 ศีลบอกว่า อย่าไปผิดผัวเมียผู้อื่น
ธรรมข้อ 3 ท่านบอกว่าให้มีศรัทธาและสันโดษ
เมื่อไม่ผิดผัวผิดเมียผู้อื่นแล้วต้องมีความรักความพอใจในผัวในเมียของตนเองด้วย
ไม่ใช่ถือบริสุทธิ์ล่ะ
ไม่ได้มีเมียน้อยไม่มีบ้านเล็กบ้านอื่นแต่ว่าก็ห่างเหินกะอียายแก่ที่บ้านแตะไม่ต้องไม่ดูไม่แล
เจอหน้าเช้าด่าอย่างนั้นมันก็ไม่ถูกมันมีแค่ศีลมันไม่มีธรรมนี่ครับมันก็ไปไม่รอด
ศีลข้อ 4 บอกว่าอย่างกล่าวเท็จ ธรรมข้อ 4 บอกว่าให้มีสัจจะ
เมื่อไม่กล่าวเท็จต้องยึดสัจจะเป็นหลักของชีวิตอีกด้วย พูดอะไรทำอะไรต้องจริงเสมอ
มีสัจจะถือในสัจจะไม่ผิดไม่พลาด
ไอ้นี่ก็คิดเอาเองว่ามันทำได้แค่ไหนเราไม่โกหกแต่เลี่ยงได้ต่าง ๆ นานา
พูดไปมันก็เกิดความเข้าใจผิดอยู่ได้นั่นเอง และศีลข้อ 5 ไม่เสพสุราเมรัย ธรรมข้อ 5
ก็คือ ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทเรื่องนี้เพราะสุรามันทำให้เกิดความประมาท
สักแต่ว่าไม่กินเหล้าแล้วประมาทมันก็ไอ้เท่ากันนั่นแหละมันต้องมีธรรม 5 ด้วย
มันถึงจะครบเครื่องมันถึงจะเป็นคนดีขึ้นมาได้
ปัญหาของเราคือสอนแต่ศีลเราให้แต่ศีล ธรรม 5
ที่ควบคู่กับศีลไม่มีใครคิดไม่มีใครรู้เด็กไม่รู้ผู้ใหญ่บางคนก็ไม่รู้หรือรู้แล้วไม่ลึกซึ้งไม่ได้เอามารวมกันเป็นหมวดเป็นหมู่ว่ามันควบคุ่กันอย่างไรปัญหามั้นก็ยิ่งเกิดอยู่เรื่อย
ๆ
จริยธรรมของเรามีกันมาช้านาน
ถ้าท่านทั้งหลายได้ไปอ่านวรรณคดีจะเห็นว่าเขาสอนลูกสอนเต้ากันอย่างไร
ตลอดจนกฤษณาสอนน้องก็เป็นจริยธรรม สอนการประพฤติปฏิบัติของภรรยาซึ่งควรจะมีต่อสามี
และไอ้มีผัวเปลี่ยนกันมาคนละวันนั้นก็ไม่ได้ผิดจริยธรรมของคนโบราณ
คนสมัยก่อนเขาถืออ่ามีกันได้ ธิเบตทุกวันนี้เขาก็ยังมี
เพราะฉะนั้นมันก็เป็นจริยธรรมซึ่งปรากฏออกมาแต่โบราณ
ในสมัยก่อนจริยธรรมของสังคมไทยมันเป็นจริยธรรมของไทยแท้
ซึ่งสืบเนื่องมาจากพระพุทธศาสนาอย่างที่ผมได้กล่าวมาแล้ว
แต่ว่าทุกวันนี้มันไม่เหมือนแต่ก่อน ความใกล้ชิดสนิทสนมกับคนในสังคมอื่น
กับอารยธรรมอื่น วัฒนธรรมอื่นและจริยธรรมอย่างอื่นมีมากขึ้น
สรุปความแล้วชีวิตคนในเมืองไทยทุกวันนี้ได้เปลี่ยนไปมาก
ไม่เหมือนกับชีวิตของคนในสมัยก่อน
เมืองไทยสมัยก่อนเป็นเมืองไทยที่เกือบจะเรียกว่าไม่มีปัญหาหรือมีปัญหาน้อยที่สุด
ปัญหาของสังคมเกือบจะไม่มี จะมีแต่ปัญหาเอกชนส่วนตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ
ปัญหาซึ่งต่างคนต่างเห็นแก่ได้
แต่ทุกวันนี้ปัญหาที่เกิดมันเป็นปัญหาของสังคม
ชีวิตมันเปลี่ยนไปอย่างยิ่งใหญ่วัฒนธรรมไทย เดิมนั้นเกือบจะรักษาไม่ได้
เพราะไม่มีอะไรจะรองรับ
ผมมีความเห็นว่าที่เราเรียกว่าวัฒนธรรมไทยนั้นมันเป็นวัฒนธรรมของความเหลือเฟือ
ประเทศไทยเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์เรามีของกินของใช้มากมายเหลือเฟือ
วัฒนธรรมของไทยตั้งอยู่บนสิ่งเหล่านี้ดูแค่สำหรับไทย
แต่ก่อนคนไทยเรากินข้าวกับข้าวไทยมากมายหลายอย่าง ห้าอย่าง เจ็ดอย่าง แกงจืด
แกงเผ็ด น้ำพริก ปลา ผัก เครื่องเคียงไม่ใช่เฉพาะคนที่มีฐานะดี
ระดับชาวบ้านเขาก็เคยรับประทานอย่างนั้น แต่ทุกวันนี้ชีวิตมันเปลี่ยนไป
กับข้าวอย่างเดียวจะกินกะข้าวนี่คิดแล้วคิดอีก ของมันแพงขึ้น
แต่กินเอะอะก็ผัดถั่วงอกเคยใส่หมู่ใส่กุ้ง ใสเต้าหู้ ต่อมาลดกุ้งเหลือเต้าหู้กับหมู
ขึ้นราคาน้ำมันลดหมู เหลือเต้าหู้เหลือแต่ถั่วงอก
มันรักษาไม่อยู่ครับวัฒนธรรมของไทย เพราะรากฐานของวัฒนธรรมมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว
ที่เราเคยพึงพาอาศัยกันมีการให้กันฟรี ทำอะไรให้กันฟรี มีการทำกับข้างแลกกันกิน
มีงานการไปช่วยกันทำน่ะมันทำไม่ได้แล้ว เพราะชีวิตมันเปลี่ยนไป
ความจำเป็นยิ่งยวดเกี่ยวักบว่าทุกคนจะต้องหาใส่ปากใส่ท้องตีนถีบปากกัดกันอยู่ไม่เว้นแต่ละวันนั้นมันไม่อำนวยให้มีการให้เปล่า
ๆ อีกแล้ว จะไปให้มีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
ไปสอนให้เด็กบอกว่าเอ็งต้องเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนบ้าน
ให้พี่ให้น้องเด็กมันถามว่าเอาอะไรไปเอื้อ แล้วเราจะตอบมันว่าอย่างไร
ทุกวันนี้มันอัตคัตไปทุกอย่าง ไอ้นี่เป็นหลักสำคัญที่น่าวิตกเป็นอย่างยิ่ง
จะโทษเป็นความผิดของใครก็ไม่ได้ โลกทุกวันนี้มันเป็นอย่างนี้
เมื่อเป็นอย่างนี้มันต้องเกิดผลคือความเห็นแก่ตัว
คนที่อยู่ในโลกทุกวันนี้ถ้าไม่เห็นแก่ตัวแล้วเกือบจะอยู่ไม่ได้
มันจะต้องเลี้ยงตัวก่อนนี่ครับ ทำอะไรมันต้องคิดถึงตัวหรือต้องคิดถึงคนที่ใกล้ตัว
ต้องคิดถึงลูกเราเมียเรา คนอื่นช่างมันก่อนเถอะ ถ้าไม่คิดอย่างนั้นอยู่ไม่ได้ คือ
มัวไปทำตัวเป็นพระโพธิสัตว์หรือเป็นหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช แล้วพัง
นั่งแต่ทำให้ผู้อื่นมันทำไม่ได้หรอกในที่สุดก็ต้องเลิก แต่ชีวิตอื่นมันทำไม่ได้จริง
ๆ มันต้องเห็นแก่ตัวก่อน และเมื่อชีวิตมันเปลี่ยนในทางเศรษฐกิจ
ในทางสังคมมันก็อยู่ไม่ได้หรอก ความเห็นแก่ตัวมันลอยขึ้นมา
มันมาควบคุมทุกอย่างรวมทั้งจริยธรรมด้วย
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งอิทธิพลจากตะวันตกเข้ามา ไหลบ่าเข้ามาอย่างไม่มีใครทัดเทียมได้
และอิทธิพลของตะวันตกนั้น คือ อะไร คืออิทธิพลของความเห็นแก่ตัวเพียงอย่างเดียว
เท่านั้น โลกตะวันตกผ่านสงครามโลกครั้งที่สอง เขาต่อสู้กับอะไร
เขาต่อสู้กับลัทธินาซี เขาต่อสู้กับฮิตเลอร์ซึ่งไม่ให้เสรีภาพแก่ใคร
ไม่ชอบใครเอาไปฝังเอาไปฆ่า คนนับจำนวนล้าน ๆ ถูกฆ่าอย่างทารุณ
เพราะการใช้อำนาจอย่างบ้างคลั่งของลัทธินาซี เขารบทำสงครามขึ้นมา
ยอมเสียสละเพื่ออะไร เพื่อเสรีภาพ เขาสอนกันมาอย่างนั้น ยอมเสียสละเพื่ออะไร
เพื่อเสรีภาพ เขาสอนกันมาอย่างนั้น
ยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อเสรีภาพเขาชนะสงครามเมื่อชนะสงครามแล้วทุกอย่างมันก็ขึ้นแก่เสรีภาพ
ใครจะมาห้ามอะไรไม่ได้แล้ว
ทุกคนต้องมีเสรีภาพใครจะผิดลูกผิดเมียใครที่ไหนเป็นเสรีภาพ ฉายหนังโป๊ในโรงหนังใหญ่
ๆ ห้ามไม่ได้เป็นเสรีภาพ
หนังสือทางเพศทางกามารมณ์รวมทั้งรูปถ่ายโจ่งแจ้งวางขายกันข้างถนนไม่ผิดศีลธรรมอีกต่อไปเป็นเรื่องของเสรีภาพ
คนหนุ่มคนสาวจะแต่งตัวอย่างไรก็ได้จะปกปิดร่างกายหรือไม่ปกปิด
จะแก้ผ้าเดินเป็นเรื่องเสรีภาพจะทำงานอย่างไรหรือไม่ทำอย่างไร
จะเป็นฮีปปี้เท่าไหร่เป็นเรื่องของเสรีภาพใครห้ามใครไม่ได้
สังคมตะวันตกเมื่อยึดเสรีภาพแล้วก็ต้องปล่อยให้มีเสรีภาพเป็นสังคมที่เรียกว่า
Permissive Society สังคมที่ยอมหมดไม่มีอะไรขัดขวางใครทั้งนั้น
แล้วเสรีภาพนั้นเมื่อใช้กันไป ๆ
ในที่สุดก็เกิดความเห็นแก่ตัวไม่มีข้อผูกมัดอะไรทั้งสิ้น
เมื่อไม่เคารพนับถือกฎเกณฑ์ของสังคมหรือจริยธรรมของสังคม
ถือเอาแต่ใจตัวเป็นเกณฑ์อย่างเดียวแล้ว ความเห็นแก่ตัวมันก็งอกเงย
จนในที่สุดไม่มีใครกวาดล้างได้ เป็นเรื่องของการเห็นแก่ตัวทั้งสิ้น
ในโลกมนุษย์ทุกวันนี้ความเห็นแก่ตัวเริ่มไหลบ่าเข้ามา
ความเห็นแก่ตัวนั้นมีหลายอย่างและโดยมากนักจะอ้างเหตุผลสวยหรู
มีการต่อต้านสงครามโดยเฉพาะสงครามเวียดนามในอเมริกา บอกว่าเพื่อสันติภาพ
ความจริงคนที่ต่อต้านมันเห็นแก่ตัวมันกลัวถูกเกณฑ์ไปรบ
มันกลัวตายทั้งนั้นและมันก็บ้างว่าเพื่อสันติภาพ มันต่อต้านนั่นเอง
กันเองจะในที่สุดรัฐบาลก็ต้องยอมแพ้ ต้องแพ้สงคราม ต้องเลิก ต้องถอนทหาร
มันมาจากความเห็นแก่ตัว
ทุกวันนี้เราพูดกันว่าเมืองไทยกำลังมีการเรียกร้องให้รักชาติ
ให้มีขบวนการต่าง ๆ นาน ผมว่าก็ดี แต่ว่าที่ทำกันนั้นก็เพราะอะไร
เพราะเกิดความรู้สึกมองเห็นแล้ว ถ้าไม่ทำกันอย่างนี้
ถ้าบ้านเมืองมีศึกสงครามจะไม่มีใครเสียสละ ไปตายให้ใครมันจะเอาตัวรอดมันจะหนีกันหมด
ทุกวันนี้จึงต้องตั้งขบวนการต่าง ๆ ลูกเสือชาวบ้าน สุรสีห์ ส.ป.ท.
อาสาป้องกันหมู่บ้านรักษาประเทศชาติเต็มไปหมดจนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
มองเครื่องแบบไม่รู้ว่าเครื่องแบบอะไร ไม่รู้ใครเป็นเจ้าของ ไม่รู้ว่าใครรับผิดชอบ
ไม่ใช่จะตำหนินะครับ มันเกิดจากความจำเป็น
เพราะท่านผู้หลักผู้ใหญ่ที่ท่านทำอะไรเหล่านี้ท่านต้องเห็นแน่นอนว่า
ไอ้ลัทธิความเห็นแก่ตัวนั้นมันเข้ามาหนักแล้ว
ถ้าไม่ต่อต้านไว้แล้วมันจะเป็นอย่างไรต่อไป เด็กทุกวันนี้ก็ขาดจริย
นี่เป็นเรื่องของท่านอาจารย์จะต้องไปพิจารณา
ไอ้ที่มันเรียกร้องไม่ยอมเข้าชั้นเรียนจะมุ่งกางเกงยีน นี่เพราะอะไร
ถ้าไม่ใชีความเห็นแก่ตัวไม่ฟังแล้วครูบาอาจารย์มันอยากจะนุ่งกางเกงยีนส์ก็จะนุ่ง
หรือทำสิ่งอื่นทำอะไรทุกอย่างเรียกโน่นเรียกนี่เรียกให้แก่ตัว
ปัญหาสังคมเกิดขึ้นจากความเห็นแก่ตัวนั้นเท่าไหร่
ที่นี้ว่าโดยทั่วไปแล้ว
สังคมของเรามันเกิดอีไอ้เศรฐกิจที่ตั้งอยู่บนระบบการเงินขึ้นมาอีก คือ
เศรษฐกิจทางการเงินเป็นของสำคัญของชีวิต มีเงินเสียอย่างทำอะไรได้ทั้งนั้น
คนแต่ก่อนเขาชอบปลูกต้นไม้ชอบทำสวน ได้การทำสวนปลูกต้นไม้
ต้นไม้ดอกไม้ผลนั้นข้อสำคัญมันอยู่ที่เราได้ทำเองจะปลูกกุหลาบกี่ต้นเราได้ปลูกของเราเอง
ไปหาพันธุ์มาเอง ฟักฟูจนมันเติบโตเห็นดอกเห็นดวงเราก็สบายใจ
นั่นมันเรื่องของคติแต่ก่อน เดี๋ยวนี้มันไม่เป็นอย่างนั้น
มีเงินเสียอย่างบอกจะเอาสวนกุหลาย พรุ่งนี้ดอกกุหลาบบานพรึบเต็มบ้าน
มีคนที่เขามีอาชพีเอาใจเศรษฐีแบบนี้
ไปจ้งเขาได้และเมื่อเขาเอามาปลูกดอกเต็มบ้านแล้วเจ้าของก็ไม่ต้องดูอะไร
เขามาคอยดูแลให้เสร็จ คนมีเงินก็คอยดูดอกกุหลาบ
ไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับดอกกุหลาบทั้งสิ้น เช่าดอกกุหลาบเขามาดู
เงินมันเข้ามาแทรกจนกระทั่งเรื่องเล็กที่สุด
ชีวิตทั่วไปเกี่ยวกับเงินทั้งสิ้นอยากได้อะไรเราก็เอาเงินเข้าทุ่ม
แล้วเราก็ได้ตามความประสงค์ เมื่อทำสำเร็จแล้วเราก็ได้รับเงินตอบแทน
จ่ายเงินไปเงินต้องได้ รับตอบแทนและเมื่อได้รับเงินตอบแทนแล้ว
เงินนั่นเองเป็นมาตรฐานวัดความดีของมนุษย์ ในสังคมทุกวันนี้ใครมีเงินมาก็ว่าดี
คนบางคนอาจชั่วช้าใคร ๆ ก็รู้ว่ามีความชั่วอย่างไร
หากินไม่สุจริตอย่างไรก็ได้แต่ซุบซิบพูดกันลับหลัง ไปงานไปการพอเขาเดินอาด ๆ
เข้ามาก็เห็นไหว้เขาหมด เพราะเขามีเงิน แล้วก็ไอ้ที่ไหว้เขาเคารพเขานั่นเพราะอะไร
เพราะมันมีจุดอยู่ในหัวใจเรามันมีความหวังเพราะเราไม่รู้ว่าเราจะต้องการเงินจากเขาเมื่อไหร่
ไหว้เขาไว้ก่อนดีกว่า วันดีคืนดีอาจจะขอสตางค์เขาได้
ไอ้ที่จะขอนั้นไม่ใช่เอามาใส่พกใส่ห่อ
เอาละเป็นอาจารย์ใหญ่อยู่ที่โรงเรียนเห็นคนทุจริตที่มีเงินเดินมาไหว้นอบน้อม
นึกว่าไม่เป็นไรหรอกไหว้มันไปก่อนเถอะ
แต่ยอมทำเพราะเงินมันเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตที่นี่ไอ้การถือเงินเป็นหลักเอาเงินเป็นเกณฑ์มันก็แพร่หลายไปหมดไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับการติดต่อกันระหว่างบุคคล
ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับคามเห็นดีเห็นชั่วในสังคมมันไปจนถึงกิจการบริหารบ้านเมือง
บริหารประเทศ มันกลายเป็นเรื่องของเงินไปหมด
ตำแหน่งใหญ่โตที่วิ่งเต้นอยากเป็นนักก็เพราะเป็นแล้วมันจะได้เงิน
ไม่ไช่เป็นเพื่อจะไปรับใช้ใคร
คนทุกวันนี้มองกิจการทุกอย่างเมื่อเกิดอะไรขึ้นมาไม่ได้มองว่าเราจะให้อะไรกับสิ่งนี้ได้บ้าง
ยกตัวอย่างนี่แหละครับพูดกันว่าเป็นประชาธิปไตย
คนมองประชาธิปไตยไม่ได้คิดว่าถ้าเป็นประชาธิไตยแล้วเราจะให้อะไรแก่ประชาธิปไตยได้บ้าง
เช่น
เรามีความรู้ความสามารถที่จะทำให้เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยอย่างไรบ้าง
ถึงคราวสมัครผู้แทนเราก็ไปสมัครให้เขาโขกให้เขาสับ ให้เขาด่า
ต้องทนเอาเพื่อให้เรามีระบอบประชาธิปไตย
คนเราไม่คิดอย่างนั้นแต่คิดว่าเป็นประชาธิปไตย เราจะได้อะไรจากประชาธิปไตยบ้าง
เราได้สิทธิได้อำนาจ
เราจะมีทางทำมาหากินอะไรจากประชาธิปไตยบ้างแล้วก็ไปสมัครผู้แทนไปทนให้โขกให้สับให้ด่าไปจ่ายเงินทองมากมาย
ซื้อเสียงซื้อคะแนนนิยมเพื่อได้มาแล้วจะได้อยู่ใกล้ที่ที่จะล่วงควักอะไรจากระบอบประชาธิปไตยเข้าตัวได้มาก
มันกลายเป็นอย่างนั้นไปหมดไม่ว่าจะอะไรทั้งสิ้น เรานึกว่าจะได้อะไรจากสิ่งนี้บ้าง
ที่ว่าได้อะไรนั้นก็คือ ได้เงินคิดเป็นบาทเป็นสตางค์
คนแต่ก่อนนั้นนมัสการพระก็มีพระพุทธรูปมาตั้ง
พระพุทธรูปเป็นนิมิตรหมายของพระรัตนตรัย ลงกราบก็กราบพระรัตนตรัย
พระพุทธรูปจะทำด้วยโลหะ ด้วยไม้ ด้วยหิน ด้วยเงิน
ด้วยทองเหมือนกันหมดจะงามไม่งามให้มีลักษระเป็นพระพุทธรูปเท่านั้นก็กราบด้วย
ความบริสุทธิ์ใจเขาทำกันมาอย่างนั้นทุกวันนี้ไม่แล้วครับ
ไปดูเถอะตามบ้านตามช่องพระพุทธรูปจะต้องเป็นพระอู่ทองบูชาเงินแล้วได้เงินได้ทอง
พระนี้ถ้าจะให้ครบต้องมีสามองค์ ต้องมีเชียงแสนอีกองค์เพราะอะไร
เพราะแสนจะได้เงินแสน จะต้องมีสุโขทัยอีกองค์เพราะสุขจะได้ความสุข
ไหว้พระเพื่อประโยชน์ไหว้พระเพื่อว่าเราได้อะไรจากพระบ้าง
ไม่มีแล้วที่จะไหว้พระเพื่อความบริสุทธิ์ เพื่อความเลื่อมใสศรัทธา
ไหว้เพื่อให้อยู่ในทางที่ถูก ที่ชอบ ชำระกิเลสจากตัวไม่มีแล้ว
แม้แต่ไหว้พระก็เพื่ออย่างนี้ พระสงฆ์ก็เช่นเดียวกันที่ขึ้นไปหาพระอาจารย์ทั้งปวง
ไปหาอะไร ไปหาสตางค์องค์ไหนท่านดี ท่านทำให้อาชีพรุ่งเรืองให้สตางค์มาก
องค์ไหนท่านเสกท่านเป่าอะไรให้สตางค์มาก
องค์ไหนท่านด่าแม่ให้แล้วกลับมารวยก็ไปให้ท่านด่าอีก
ก็เพราะอะไรอยากให้สตางค์จากท่านทั้งนั้น พระบางรูปชราภาพมาก
น่าจะปล่อยให้ท่านได้อยู่อย่างมีความสุข
เกิดมีสปอนเซอร์มีอย่างเทียมบุญอย่างกับแชมป์โลก
มีพระลูกศิษย์คอยเอ้าหลวงปูว่าอย่างนั้นหลวงปู่ว่าอย่างนี้
หลวงปู่ไปนั่งที่นั่นหลวงปู่ไปนั่งที่นี่คนก็นับถือไปตลอด
จนราชการแผ่นดินทุกอย่างมันก็เป็นอย่างนี้ เป็นเรื่องของสตางค์
ไปตลอดจนการค้าระหว่างประเทศ
ท่านอาจารย์ทั้งหลายคงไม่ทราบว่าเมืองไทยเราเดี๋ยวนี้มันเป็นอย่างนี้
ค้าขายกับต่างประเทศเกือบจะไม่มีใครเขาเชื่อเต็มทีแล้ว พอเขามาซื้อสินค้าตกลงกัน
สมมติว่าซื้อข้าวเกวียนละ 3,000 บาท ทำสัญญาล่วงหน้าอีก 6 เดือน
จะต้องส่งไปให้เขาระหว่าง 6 เดือนนั่นราคาตลาดโลกขึ้น ถ้าส่งไปขาย 3,000 บาทขาดทุน
ก็เอาเงินทุ่มหาทางให้รัฐบาลสั่งห้ามเอาข้าวออกเลย พ่อค้านั้นจะว่าเขาผิดก็ไม่ได้
เขาไม่ผิดที่รัฐบาลห้ามไม่ให้ผมส่งออก ผมก็ขายคนอื่นในราคาที่สูงกว่า
หรือถ้าเผื่อราคาต่ำกว่า 3,000 บาท ก็ห้ามออกได้อีกเหมือนกันเพราะถ้าส่งไหมันขาดทุน
มันอยู่ที่เจ้าของพนักงานที่จะสั่งเข้าสั่งออก
นี่แหละเป็นปัญหาจริยธรรมทั้งหมดที่มีอยู่
นอกจากนั้นระบบสังคมทุกวันนี้ เนื่องจากความลำบากยากเข็ญเนื่องจากความขาดแคลน
คนยิ่งจะทำทุกอย่างเพื่อจะให้ได้เงิน แต่เมื่อไอ้การหาเงินมันแตกต่างกัน
บางคนหาได้มากบางคนหาได้น้อย มันก็ทำให้เกิดความแตกแยกเกิดการแบ่งชั้น
เกิดมีริษยาเข้ามาแทรกแซง คนมีน้อยอิจฉาคนมีมากคนมีมากเห็นคนมีน้อยเป็นศัตรู
เพราะไม่มีจริยธรรมอะไรที่รักษาไว้แล้ว
ความเมตตากรุณาเห็นอกเห็นใจกันมันหมดไปแล้วมันเหลือแต่ความเห็นแก่ตัวว่าใครจะได้เงินมากใครจะได้เงินน้อยคนได้น้อยก็ต้องอิจฉาคนได้มากก็เกิดเป็นการแบ่งชนชั้น
ทุกวันนี้ท่านอาจารย์จะได้ยินเสมอว่าใครรวยแล้วไม่ดีทั้งสิ้นคนมีเงินนี่คบไม่ได้
ต้องจนถึงจะดีแล้ววิเศษหมดทำอะไรไม่ผิดคนมั่งมีนี่เลวจริง ๆ
ครับฟังเสียงพูดเถอะครับ ด่าดันทั่วไปหมดเพราะอะไรถึงเป็นคนเลวก็เพราะมีอัฐ
ความจริงคนที่เขาจะมีทรัพย์ได้นั่นเขาต้องเสียสละต้องอดทน
ต้องใช้ทรัพย์ในทางที่ถูกมาเป็นเวลาช้านานกว่าจะมีทรัพย์
ไอ้คุณสมบัติเหล่านี้ไม่ม่ใครนึกถึงกลายเป็นความเลวหมดเพราะมีเงินอยู่ในกระเป๋าต้องเลว
ส่วนคนที่ไม่มีเงินในกระเป๋านั้นเป็นเพราะหาไม่ได้หรือเพราะความใช้เงินไม่เป็นของตนเองก็เป็นความดีหมด
ไอ้เรื่องทรัพย์นี่มันก็เกี่ยวกับจริยธรรม พ่อ แม่ ปู่ า ตา ยาย
สอนเรามาให้อดให้ออมให้มัธยัสถ์ไม่ให้ฟุ่มเฟือย ให้รู้จักสำรวมให้รู้จักรักษาทรัพย์
มันเรื่องของจริยธรรมทั้งสิ้น และเมื่อทำอย่างนั้นแล้วผลดีมันเกิด
มันก็มีความมั่งคั่งพึ่งตัวเองได้ไม่ต้องเดือดร้อนไม่ต้องกู้ยืมใครเขาไม่ต้องยากจนไม่ต้องอดต้องอยาก
แต่ก็กลายเป็นความเลวไปหมด เพราะจริยธรรมเหล่านี้ มันหายไป
ความจริงท่านอาจารย์ครับไอ้นี่มันง่ายที่สุด
สมมติว่าเอาเงินมาให้ผมร้อยล้านผมก็มั่งมีเท่านั้นน่ะขอเวลาอีก 3 วันเท่านั้น
ผมก็จนอีกได้มันไม่ยากหรอกครับ ใช้มันและประเดี๋ยวมันก็จน
การประณามกันระหว่างคนมีคนจนมันไม่ทำให้อะไรดีขึ้นจะไม่ทำให้คนจนร่ำรวยขึ้นและจะไม่ทำให้คนมีเขาเสียหายอะไรมันมีแต่จะทำลายกัน
ความแตกต่างในสังคมระหว่างคนที่มีกับคนที่จน ก็เพราะความขาดจริยธรรมต่าง ๆ
ที่จะรักษาแต่ละฝ่ายของสังคมให้กลมกลืนกันได้นั้นมันหมดไป
คนแบ่งออกเป็นสองพรรคเหมือนน้ำกะทิ
ทิ้งเอาไว้มันเกิดเป็นหัวกะทิอยู่ข้างบนหางกะทิอยู่ข้างล่าง
เหตุการณ์บ้านเมืองก็ปั่นป่วนขึ้นมา อยู่ ๆ โอเปคขึ้นราคาน้ำมั้นรัฐบาลไทยไม่ดูดี ๆ
ไม่ฟังอีร้าอีรม ขึ้นภาษีน้ำมันตูมเลยโยภาระให้คนใช้น้ำมัน
หัวกะทิมันก็ยิ่งลอยสูงขึ้นเท่านั้น
ทุกวันนี้เมืองไทยจะอยู่ไปมันอยู่ที่โอเปคแล้วไม่ใช่ตัวเราเอง แล้ว
อีกห้าหกเดือนโอเปคขึ้นราคาน้ำมันอีกที
หัวกะทิก็จะรวมตัวกันเห็นได้ชัดว่าอะไรเป็นหัวกะทิอะไรเป็นหางกะทิ
ใครที่จะเขาจะมาแก้ก็แก้ง่าย
มาถึงเอาทัพพีหัวกะทิโยนทิ้งไม่มีปัญหาเหลือแต่หางกะทิทั้งหลายสบายมากไม่มีอะไรอีกต่อไป
ทั้งหมดมันก็อยู่ในเรื่องของจริยธรรมนั่นแหละครับ
จริยธรรมในการปกครองแผ่นดินจริยธรรมในการครองชีพ จริยธรรมในการปฏิบัติตน
ในที่สุดเมื่อมันชาดก็เกิดเป็นปัญหาคอรัปชั่นเกิดความไม่ซื้อสัตย์โจรผู้ร้ายชุกชุม
ทุกคนก็ห่างอยู่ทางด้านที่มีจริยธรรมดีทั้งนั้น
แต่เมื่อทำผิดแล้วก็ซัดกับโจรมาถามว่า ทำไมถึงขโมยมา บอกว่า
ผมไม่มีกินจึงไปขโมยเขาความจริงผมเป็นคนมีศีลมีสัตย์ไม่อยากลักอยากขโมยใคร
นี่เป็นความสัตย์ความจริงแต่ลูกเมียมันอดก็ไม่รู้จะทำอย่างไรให้การเป็นเสียงเดียวกันทั้งนั้นครับ
และก็มาถึงยาเสพติดก็เพราะอะไร
เพราะไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้ต้องเอาหยูกเอายากเข้าช่วยความดีที่จะยึดมันไม่มีกลุ้มใจขึ้นมาก็นึกอะไรที่มันจะระงับความรำคาญ
ความกลุ้มใจ ความทุกข์โศก ฉีดเข้าไปเข็มเดียวมันก็ผิด
ติดแล้วก็อยากจะลองดีอยากอะไรไม่มีขอบเขตในหัวใจ ไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด
ในที่สุดก็เกิดปัญหาทางเพศทางอะไรทุกอย่าง
มันมาจากความเห็นแก่ตัวซึ่งงอกเงยขึ้นในโลกมนุษย์ทุกวันนี้
และความเห็นแก่ตัวนี้มันเป็นสิ่งที่ลบล้างจริยธรรม
ถ้าจะถามในขั้นสุดท้ายว่าแล้วเราจะทำอย่างไรเพื่อจะส่งเสริมจริยธรรม
มันจะต้องดูที่เหตุเมื่อเหตุของความเสื่อมทางจริยธรรมมันอยู่ที่ความเห็นแก่ตัวแล้ว
เราต้องทำให้ความเห็นแก่ตัวนั้นมันลดน้อยลงไป
ท่านที่เป็นครูบาอาจารย์จะไปสอนเด็กให้มีจริยธรรมดีขึ้น
ก็ต้องไปทำให้เด็กหมดความเห็นแก่ตัวเสียก่อน
ไปล้างความเห็นแก่ตัวจากเด็กให้เบาบางลงไป ถ้าหมดไปก็ดีไม่หมดก็ให้มันบางลงไปหน่อย
อย่าให้มันจับหนาอย่างทุกวันนี้
แล้วจริยธรรมจะได้มีโอกาสที่จะตั้งที่จะฟักตัวขึ้นมาดำรงชีวิตต่อไปได้
ถ้าโลกเรายังเป็นโลกของความเห็นแก่ตัวอย่างทุกวันนี้ในทุกระดับแล้ว ผมรับตรง ๆ
ผมไม่มีหวังหรอกในเรื่องจริยธรรมหรือศีลธรรมหรืออะไร
มาพูดกันวันนี้ก็อยากเห็นหน้ากันเท่านั้น มันไม่เกิดประโยชน์อะไรเท่าไหร่หรอก
ถ้าอยากจะพบผมก็มา มาแล้วจะมานั่งเป็นเบื่ออะไรกันไม่ได้
มันก็ต้องพูดมันให้มีเหตุผลอะไรหน่อยแล้ว เมื่อพูดกันมาแค่นี้ก็เห็นจะต้องจบละครับ
เห็นจะพอละ ต่อไปท่านจะถามอะไรจะคุยอะไรก็เชิญ ตอบได้ก็ตอบ ตอบไม่ได้ก็บอกไม่ได้
อ้างอิง : คึกฤทธิ์ ปราโมช. 2530. จริยธรรมในสังคมไทย. กรุงเทพฯ :
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.


