สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
ชีวิตกับการแสวงหาความงามอันแท้จริง
นัทธนัย ประสานนาม
ในบรรดานักเขียนอังกฤษที่นักอ่านชาวไทยรู้จัก เราจะลืมชื่อของวิลเลียม
ซอมเมอร์เซท มอห์ม (William Somerset Maugham) ไม่ได้
ผลงานของเขาหลายเรื่องแปลเป็นภาษาไทยและเป็นตัวบทศึกษาของนักศึกษาวรรณคดีในระดับมหาวิทยาลัย
ก่อนโลกจะขานรับ (The Moon and Sixpence) แปลเป็นภาษาไทยโดย เลิศ กำแหงฤทธิรงค์
เป็นผลงานอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ ผู้เขียนได้รับแรงบันดาลใจจากชีวิตของปอล
โกแกง (Paul Gauguin)
ศิลปินยุคโพสต์อิมเพรสชันนิสม์ที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งของโลก ทั้งนี้
เราอาจจัดนวนิยายเรื่องนี้อยู่ในประเภทนวนิยายชีวิตศิลปิน (Künstlerroman)
วรรณกรรมประเภทนี้มุ่งแสดงพัฒนาการของชีวิตศิลปินตั้งแต่เด็กจนโต
รวมไปถึงเสนอประสบการณ์ของการต่อสู้ดิ้นรนในเส้นทางของศิลปินด้วย
ก่อนโลกจะขานรับ เป็นเรื่องราวของ ชาร์ลส์ สตริคแลนด์
นักธุรกิจค้าหุ้นผู้ละทิ้งภรรยาและลูกอีกสองคนจากประเทศอังกฤษ
ไปพำนักในประเทศฝรั่งเศส
สตริคแลนด์ยอมสละความสุขสบายทั้งมวลมาอาศัยอยู่ในโรงแรมเล็กๆ
เขาเริ่มต้นเขียนภาพอย่างจริงจังที่นี่ ระหว่างพำนักที่ฝรั่งเศส
สตริคแลนด์มีโอกาสได้รู้จักกับเดิร์ค สโตรฟ ผู้เป็นศิลปินเช่นกัน
เมื่อสตริคแลนด์ป่วยหนัก สโตรฟให้เขามาพักที่บ้านโดยให้ บลานเช่ผู้เป็นภรรยาคอยดูแล
ต่อมาบลานเช่ตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกับสตริคแลนด์ สโตรฟเป็นฝ่ายจากไป
เมื่อสตริคแลนด์เลิกกับบลานเช่ เธอเสียใจมากจึงดื่มกรดฆ่าตัวตาย
หลังจากการตายของบลานเช่สักพักหนึ่ง สตริคแลนด์เดินทางไปเกาะตาฮิติ
เขาแต่งงานใหม่อีกครั้งกับหญิงชาวพื้นเมืองนามว่าอะต้า
ทั้งคู่พากันไปสร้างบ้านอยู่ในป่าที่ห่างไกลจากชุมชน อะต้าให้กำเนิดลูกหลายคน
ขณะที่สตริคแลนด์ได้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะอย่างต่อเนื่องและมีความสุข
หลายปีต่อมาสตริคแลนด์ป่วยเป็นโรคเรื้อน เขาปฏิเสธการรักษาทั้งยังไม่หยุดเขียนรูป
แม้ขณะที่วาระสุดท้ายใกล้มาเยือน เขาตาบอดแต่ยังสร้างงานชิ้นเอก
โดยวาดไว้กับผนังบ้านและกำชับให้อะต้าเผาบ้านทิ้งเมื่อเขาสิ้นชีวิต
หลังจากที่เขาจากไป ผลงานของเขาจึงได้รับการยอมรับ
ชาร์ลส์ สตริคแลนด์จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยบุคคลในที่สุด
มอห์มนำชีวิตของโกแกงมาเป็นตัวแบบในการสร้างชาร์ลส์ สตริคแลนด์
เห็นได้ชัดจากการที่ทั้งคู่ได้ไปใช้ชีวิตในฝรั่งเศสเหมือนกัน
ไปใช้ชีวิตอยู่ในตาฮิติมีภรรยาที่นั่นเช่นเดียวกัน และมีปัญหาเกี่ยวกับสายตา
รวมทั้งอาการเจ็บป่วย ที่โกแกงมีอาการแผลเป็นหนองและสตริคแลนด์เป็นโรคเรื้อน
แต่ไม่ได้หมายความว่ามอห์มจะสร้างสตริคแลนด์ให้เหมือนโกแกงทุกประการ
เพราะสตริคแลนด์ทุ่มเทให้แก่งานศิลปะอย่างสุดจิตสุดใจโดยไม่แยแสสิ่งใดแม้แต่ความรักหรือปัจจัยในการดำรงชีวิตด้านอื่น
ขณะที่โกแกงนับได้ว่า มีความเป็นมนุษย์ มากกว่า
เขายังดูแลลูกชายของเขาและติดต่อกับภรรยาที่พำนักอยู่ในกรุงโคเปนเฮเกนเป็นระยะ
ทั้งยังนำผลงานออกแสดงออกขาย
และรับฟังความเห็นของนักวิจารณ์เพื่อนำมาปรับปรุงผลงานของตนอยู่เสมอ
ต่างกับสตริคแลนด์ที่ไม่นำงานออกแสดง แทบจะไม่ขายภาพ
และไม่ไยดีต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ผลงานของตนจากผู้ใดทั้งสิ้น
ที่กล่าวถึงไปแล้วนั้นเป็นส่วนของชีวิต
ส่วนที่เป็นผลงานของโกแกงที่มาปรากฏในเรื่องนั้นเห็นได้ชัดเจนในช่วงที่สตริคแลนด์มาพำนักอยู่ในตาฮิติ
เขาวาดภาพชาวพื้นเมืองเป็นจำนวนมากและใช้สีสันฉูดฉาดเช่นเดียวกับผลงานของโกแกง
เช่นภาพ Brooding Woman (1891) ที่โกแกงศึกษาชีวิตความเป็นอยู่ของหญิงชาวพื้นเมือง
ข้าวของต่างๆในภาพคือสิ่งแวดล้อมในชีวิตของเธอ หรือภาพ Not Working (1896)
เป็นอีกภาพหนึ่งที่แสดงถึงความสงบสบายของชีวิตผู้อยู่ห่างไกลจากความศิวิไลซ์
โกแกงได้พยายามถ่ายทอดเรื่องราวในพระคัมภีร์ไบเบิลผ่านภาพของชาวพื้นเมืองด้วยเหมือนกัน
อย่างภาพ Ia Orana (1891) และภาพ Te Tamari No Atua (1896)
ก่อนที่เขาจะวาดภาพชิ้นสำคัญคือภาพ Where Do We Come From? What Are We ? Where Are
We Going? (1897) เป็นภาพแสดงวงจรชีวิตของมนุษย์ด้วยภาพของชาวพื้นเมือง
ภาพนี้มีขนาดยาวถึง 3.75 เมตร และกว้าง 1.39 เมตร
โกแกงวาดภาพนี้อย่างรวดเร็วราวกับถูกผีสิง โดยไม่ต้องร่างเส้นไว้ก่อน
มันเป็นผลรวมแห่งความคิด ความรู้สึกและความเจ็บปวดรวดร้าวทั้งหมดของเขา
แสดงออกคำถามซึ่งแฝงปรัชญาแห่งชีวิต ภาพนี้ของโกแกงน่าจะเป็น ภาพสุดท้าย
ของสตริคแลนด์โดยวัดได้จากขนาดที่มีความใหญ่มากเป็นพิเศษ
และความหมายของภาพซึ่งเป็นลักษณะของการตั้งคำถามต่อชีวิตที่เป็นอยู่
ทั้งยังมุ่งหมายที่จะแสดงสัจธรรมสูงสุดผ่านวงจรชีวิตของมนุษย์เช่นเดียวกัน
บางครั้งการกระทำหรือการแสดงออกของศิลปินเป็นสิ่งที่เข้าใจยากสำหรับคนทั่วไป
สาเหตุมาอาจมาจากศิลปินมองโลกและชีวิตด้วยสายตาที่ต่างกับคนทั่วไป
ทัศนะเกี่ยวกับความงามที่อยู่ใน ก่อนโลกจะขานรับ
มีข้อควรพิจารณาอยู่ที่การกระทำของสตริคแลนด์ที่ได้อุทิศเวลาเท่าที่เหลืออยู่ทั้งหมดของชีวิตให้แก่การสร้างสรรค์งานศิลปะ
เป้าหมายของเขามิใช่เพื่อได้เป็นจิตรกรผู้มีชื่อเสียงหรือได้รับการยอมรับในวงกว้าง
เขารู้สึกว่าการวาดภาพไม่ได้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของชีวิตแต่เป็นชีวิตทั้งชีวิตของเขา
ดังที่กัปตันบรือโนต์เพื่อนที่ตาฮิติกล่าวถึงสตริคแลนด์ว่า
ในโลกนี้มีบุคคลซึ่งความปรารถนาของพวกเขาต่อสัจธรรมนั้นมีความสำคัญล้นเหลือจนเขาต้องบรรลุถึงให้ได้
เขาจึงแยกรากฐานของโลกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย สตริคแลนด์ก็เป็นเช่นนั้นแหละ
เพียงแต่ว่าเขาค้นหาความงาม แทนที่จะเป็นสัจธรรม (น. 324)
ในชีวิตมนุษย์สิ่งที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจคือความเชื่อ
ความศรัทธาหรือศาสนา แต่สำหรับสตริคแลนด์เครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของเขาคือศิลปะ
การวาดภาพเป็นศาสนพิธีที่สตริคแลนด์ในฐานะสาวกปฏิบัติมิได้ขาด
อุดมคติสูงสุดที่สตริคแลนด์เฝ้าตามหาคือความงาม สำหรับเขาแล้ว ความงามคือความจริง
เช่นเดียวกับตัวละครอื่นในเรื่องที่เมื่อได้ประสบกับความงามสูงสุดแล้วก็รู้สึกเหมือนได้เข้าถึงความจริงสูงสุดเช่นกัน
มันเป็นความมหัศจรรย์อันลึกลับสุดพรรณนา มันทำให้เขาลืมหายใจ
...เขารู้สึกขนพองสยองเกล้าและปีติยินดีเช่นเดียวกับที่คนเรารู้สึกขณะเฝ้าดูการเริ่มต้นของโลก
มันเป็นผลงานของคนที่ซอกแซกเข้าไปถึงส่วนที่ซุกซ่อนอยู่ลึกในล้ำในธรรมชาติ
และค้นพบความลับซึ่งมีทั้งความสวยงามและความน่ากลัวอยู่ด้วยกัน(น. 342)
คำบรรยายข้างต้นเป็นของหมอกูตราสเพื่อนที่ตาฮิติอีกคนหนึ่งที่กล่าวถึงผลงานชิ้นสุดท้ายที่วาดไว้ก่อนตายของสตริคแลนด์
ดังที่กล่าวว่า ความงามคือความจริง นั้น เห็นได้ชัดจากตรงนี้
เพราะแม้แต่หมอกูตราสที่ไม่ใคร่มีความรู้เรื่องศิลปะก็ยัง สัมผัส
ถึงความจริงอันอัดแน่นอยู่ในภาพสุดท้ายของสตริคแลนด์ได้
ภาวะอารมณ์ดังกล่าวอาจอธิบายตามความคิดจากทฤษฎีวรรณคดียุคคลาสสิกของลองไจนัสที่กล่าวถึง
ภาวะเลอเลิศ หรือ Sublime ซึ่งใช้ทั้งในแง่ของการวิจารณ์และสุนทรียศาสตร์
แม้ว่าลองไจนัสจะกล่าวถึงภาวะดังกล่าวในขอบเขตของวรรณคดี
แต่ถ้ามองภาวะเลอเลิศนี้ในมุมของสิ่งที่เกิดแก่ผู้เสพงานศิลปะแล้วก็น่าจะใช้คำอธิบายร่วมกันได้
เพราะภาวะดังกล่าวเป็นการตอบสนองทางอารมณ์ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเท่าที่จะมีได้ในการเสพงานศิลปะ
แม้ความรู้สึกดังกล่าวอาจเป็นเพียงวาบเดียวของความรู้สึกแต่ก็มีความยิ่งใหญ่ถึงขนาดที่ยกระดับวิญญาณได้
เช่นเดียวกับคติของตะวันออก
ความปีติอันยิ่งใหญ่ของอารมณ์ของผู้เสพที่เปรียบเสมือนการได้เฝ้าดูการกำเนิดของสรรพสิ่งนั้น
ประเด็นนี้อาจเทียบได้กับเทพปกรณัมของฮินดูเรื่อง ศิวนัฏราช
ที่ว่าด้วยเรื่องของพระศิวะที่เสด็จไปปราบบรรดาฤษีมิจฉาทิฐิ
พระองค์ได้แสดงท่าร่ายรำซึ่งแสดงให้แจ้งหมดซึ่งความลี้ลับมหัศจรรย์ของจักรวาล
ของชีวิตและความเป็นไป คือความจริงอันสุดยอดที่สัมผัสได้ด้วยใจเพียงอย่างเดียว
ความดื่มซึ้งของบรรดาฤษีที่ได้ชำระอวิชชาไปจนหมดสิ้นต่อลีลาร่ายรำนั้นกับความรู้สึกของหมอกูตราสก็น่าจะเป็นสิ่งที่ทาบเทียบกันได้
ความรู้สึกดั่งนั้นเสมือนหนึ่งว่ากำลังได้สัมผัสกับ สัจธรรม
สูงสุดของโลกและ/หรือจักรวาล
สตริคแลนด์ยึดถือการวาดภาพเป็นแก่นสารของชีวิต
เขาไม่ใส่ใจต่อการยอมรับของผู้อื่น การดำรงชีวิตของเขาจึงค่อนข้างแร้นแค้นอยู่
แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ใส่ใจเช่นกัน
ไม่ว่าอิ่มหรืออดย่อมไม่สำคัญเท่าเขาได้วาดภาพ
จึงอาจกล่าวได้ว่าการวาดภาพเป็นเสมือน อาหารใจ ที่หล่อเลี้ยงชีวิตของเขา
เงินที่เขาหามาได้ก็จะนำไปซื้อสี การวาดภาพจึงมีความสำคัญเท่ากับที่เขาต้อง หายใจ
เมื่อเขาวาดภาพเสร็จเขาไม่ใคร่ใส่ใจในผลของมันนัก เพราะการวาดภาพมีความเป็น
แก่นสาร ในตัวเอง มากกว่าที่จะมามัวแต่เพ่งเล็งที่ผล
การวาดภาพเป็นทั้งการระบายสิ่งที่เก็บอัดอยู่ในความฝันความคิดคำนึงของสตริคแลนด์
ทั้งยังเป็นการเติมเต็มชีวิตของเขาด้วย
เขาลืมทุกอย่างเสียสิ้นเมื่อเขาพยายามที่จะเขียนภาพสิ่งที่เขาเห็นทางจิตใจ
เขาไม่เคยพอใจในงานที่เขาได้ทำไปแล้ว
สำหรับเขาเหมือนกับว่าผลที่เกิดขึ้นยังไม่อาจเปรียบเทียบกับสิ่งที่เขาเห็นแนบแน่นอยู่ในจิตใจ
(น. 135)
หลักฐานอีกประการหนึ่งที่ทำให้เชื่อตามว่าสตริคแลนด์ไม่แยแสสิ่งใดนอกจากการได้วาดภาพ
คือความจริงที่ปรากฏชัดว่าเขาไม่ได้หนีตามผู้หญิงคนใดมา
และการมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงตามการเรียกร้องของธรรมชาตินั้นเป็นสิ่งที่เขารังเกียจ
แม้ว่าเขาไม่อาจจะปฏิเสธได้ก็ตาม อย่างเช่น ตอนที่เขามีความสัมพันธ์กับบลานเช่
เธอตายไปหลังจากที่เขาทิ้งเธอ สตริคแลนด์ไม่ได้แสดงความรู้สึกเสียใจแต่อย่างใด
ทั้งยังกล่าวว่า ผมไม่ต้องการความรัก ผมไม่มีเวลาสำหรับมัน
มันเป็นเรื่องของความอ่อนแอ ...ผมไม่สามารถเอาชนะความใคร่ของผมได้ แต่ผมก็เกลียดมัน
มันกักขังวิญญาณของผม ผมมองไปข้างหน้าถึงกาลเวลาที่ผมจะเป็นอิสระจากกามราคะทั้งหลาย
และสามารถที่จะทำให้ตนเองปราศจากข้อขัดขวางในการทำงาน (น. 240)
ผู้หญิงในนวนิยายเรื่องนี้อยู่ในสองสถานะ
ได้แก่ผู้เติมเต็มและผู้บั่นทอนสุนทรียภาพของชีวิต
มิสซิสสตริคแลนด์และบลานเช่เรียกร้องความรักจากเขา
เธอทั้งสองจึงเป็นผู้บั่นทอนสุนทรียภาพของชีวิต ดังที่สตริคแลนด์แสดงทัศนะอัน
สุดโต่ง ที่มีต่อความรักและผู้หญิงว่า ผมรู้จักความใคร่
มันเป็นของธรรมดาและเป็นประโยชน์แก่ร่างกาย แต่ความรักเป็นเชื้อโรค
ผู้หญิงเป็นเพียงเครื่องมือเพื่อความสนุกเพลิดเพลินของผมเท่านั้น (น. 241)
ต่างกับอะต้าที่เป็นผู้เติมเต็มสุนทรียภาพให้แก่เขา
มิใช่เพราะเธอเป็นแบบเปลือยให้เขาเช่นเดียวกับบลานเช่
แต่เป็นเพราะอะต้ารักภักดีต่อเขาอย่างจริงใจ
เธอไม่ได้เรียกร้องความรักจากเขาแต่ขออยู่ในฐานะภรรยาผู้คอยปรนนิบัติ
ดังที่เธอยื่นคำขาดกับเขาในยามที่สตริคแลนด์ป่วยเป็นโรคเรื้อนว่า
ถ้าคุณหนีฉันไปฉันจะผูกคอตายกับต้นไม้หลังบ้านนี่แหละ ฉันสาบานต่อพระเจ้าได้ (น.
334) สตริคแลนด์จึงมีข้อสรุปเกี่ยวกับผู้หญิงว่า
คุณสามารถปฏิบัติต่อพวกหล่อนเยี่ยงสุนัข คุณสามารถเฆี่ยนตีพวกหล่อนจนคุณปวดแขน
แต่พวกหล่อนก็ยังคงรักคุณ (น. 335)
อัจฉริยภาพของสตริคแลนด์ถูกขับเน้นขึ้นมาด้วยเดิร์ค สโตรฟ
เขามีฐานะเป็นตัวละครที่มีลักษณะตรงข้ามกับตัวละครเอก (Foil Character)
สังเกตได้จากการที่เดิร์คอ่อนแอในขณะที่สตริคแลนด์เข้มแข็ง
เดิร์คเห็นใจผู้อื่นในขณะที่สตริคแลนด์เย็นชา
และที่สำคัญที่สุดคือความสำเร็จของผลงานที่เดิร์คเองก็เป็นได้เพียงจิตรกรที่เกิดมาและตายไปอย่างเงียบๆ
ในขณะที่สตริคแลนด์มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก
แม้ว่าเดิร์คจะได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวก็ตาม เดิร์ค
สโตรฟมีความรักรุนแรงแบบโรมิโอในร่างของเซอร์โทบี้ เบลซ์
เขาเป็นคนมีไมตรีและใจกว้าง แต่ก็มักทำอะไรผิดๆพลาดๆอยู่เนืองๆ
เขามีความรู้สึกอันเที่ยงแท้ในความสวยงาม
แต่ก็มีความสามารถที่จะรังสรรค์ได้แต่เพียงงานธรรมดาๆเท่านั้นเอง (น. 194)
จุดนี้ผู้เขียนอาจต้องการแสดงให้เห็นว่าการที่สตริคแลนด์ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวนั้นเป็นการตัดสินใจที่ไม่ผิด
และการเป็นศิลปินที่ยิ่งใหญ่อาจจำเป็นต้องใช้ความเด็ดเดี่ยวในลักษณะนี้เป็นตัวกำหนดเส้นทางการดำเนินชีวิต
ก่อนโลกจะขานรับ
เป็นวรรณกรรมที่แสดงให้เห็นว่าศิลปินต้องเสียสละตัวเองมากเพียงใดกว่าจะได้ค้นพบความงามสูงสุดอันเป็นอุดมคติของชีวิต
แม้ว่าสตริคแลนด์จะเริ่มต้นการแสวงหาในวัยที่เขาต้องรับผิดชอบต่อชีวิตของคนอื่นแล้ว
เขาก็ยังตัดละได้ การแยกตนเองออกจากเรื่อง ทางโลก
ของเขาจึงไม่น่าจะต่างอะไรกับนักบวชที่ปลีกวิเวกเพราะต้องการบรรลุธรรม
ชื่อเสียงประดามีที่ได้รับหลังจากการวายชนม์ของเขาล้วนไร้ความหมายหากเทียบกับการบรรลุถึงความงามแท้จริงที่เขาเฝ้าตามหามาตลอด
มอห์มเลือกใช้องค์ประกอบหลายอย่างของทัศนศิลป์มาใช้ในงานเขียนเรื่องนี้ของเขา
มิใช่เพียงสุนทรียทัศน์ หรือประวัติชีวิตของโกแกง
แต่หมายรวมถึงวิธีการบรรยายภาพผลงานชิ้นต่างๆของสตริคแลนด์
การใช้คำบอกสีที่ให้ความรู้สึก เช่น สีม่วงซึ่งน่าเกลียดคล้ายเนื้อที่ดิบและเน่า
และ สีแดงที่แสบตาคล้ายผลของต้นฮอลลิ
รวมทั้งการอ้างถึงผลงานของจิตรกรที่มีชื่อเสียงคนอื่นๆเช่น แวนโก๊ะห์ และเซซานน์
รายละเอียดเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าทัศนศิลป์มีความสัมพันธ์กับนวนิยายเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง
เป็นไปตามมโนทัศน์ที่ว่า ศิลปะส่องทางให้แก่กัน
ยิ่งไปกว่านั้นประสบการณ์ของสตริคแลนด์ที่มอห์มเสนอไว้ยังยืนยันว่าศิลปะยังส่องทางให้แก่ชีวิตของเราได้อย่างไร้ข้อกังขา
ที่มา : ขวัญเรือน ฉบับที่ 849 (1 เมษายน 2550)


