ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ บุคคลสำคัญ ประเทศและทวีป >>
แจ็กสัน พอลล็อก
(Paul Jackson Pollock)
แจ็คสัน พอลล็อค ศิลปินแนวนามธรรม
ด้วยการละทิ้งรูปทรงตามธรรมชาติ
ตัดทอนจนปราศจากรูปหรือบางทีเปลี่ยนรูปทรงเดิมจนจำไม่ได้
งานของพอลล็อคเป็นการหยดสีบนผืนผ้าใบแทนการระบายสีตามปกติ
หยดและแนวสีที่ซ้อนกันทำให้เกิดเป็นงานศิลปะ
แจ็กสัน พอลล็อก จิตรกรชาวอเมริกัน เกิดเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2455
ที่เมืองโคดี มลรัฐไวโอมิง เรียนศิลปะที่ Manual Arts High School เมืองลอสแองเจลีส
แคลิฟอร์เนีย
จากนั้นย้ายมายังนิวยอร์กเพื่อศึกษาศิลปะกับ โธมัส เบนตัน (Thomas Hart
Benton) จิตรกรเขียนภาพฝาผนัง ปี 2488 เขาแต่งงานกับ ลี แครสเนอร์ (Lee Krasner)
จิตรกรแนวนามธรรม (Abstract)
จากนั้นทั้งสองก็ย้ายมาสร้างสตูดิโอทำงานศิลปะด้วยกันที่ลองไอส์แลนด์ นิวยอร์ก
ในระยะแรกพอลล็อกเขียนภาพแนวนามธรรม แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก
ด้วยความที่เป็นคนจริงจัง และค่อนข้างเก็บตัว เขาจึงเครียดอยู่เสมอ
แต่ก็ได้ภรรยาคอยให้กำลังใจมาตลอด ภายหลังทั้งคู่จึงหลบความวุ่นวายในเมือง
ย้ายไปหาความสงบในชนบทและใช้โรงนาเป็นสตูดิโอทำงานศิลปะ
ที่นี่เองที่วันหนึ่ง พอลล็อกค้นพบเทคนิคการเขียนภาพแบบใหม่โดยบังเอิญ
ขณะกระป๋องสีล้มลงใส่ภาพที่เขากำลังเขียน ต่อมาเรียกเทคนิคแบบนี้ว่า
กัมมันตจิตรกรรม (Action Painting) หรือ เอ็กเพรสชันนิสม์เชิงนามธรรม (Abstract
Expressionist) ซึ่งเป็นการทำงานศิลปะโดยการหยด สาด หรือเทสีลงบนผ้าใบ
โดยไม่ต้องคำนึงถึงองค์ประกอบศิลป์ หรือแบบแผนใด ๆ
แต่ปล่อยให้จิตสำนึกเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะชิ้นนั้น
แต่พอลล็อกยืนยันว่าผลงานศิลปะของเขาไม่ได้เกิดจาก เหตุบังเอิญ
แต่เขาสามารถควบคุมมันได้
ในระยะแรกเขาได้รับอิทธิพลจากศิลปะแนวเหนือจริง (Surrealism)
ศิลปะของชาวอเมริกันพื้นเมือง (Indian sandpainting) รวมทั้งตัวอักษรจีน
จนในที่สุดก็ค้นพบเทคนิคส่วนตัวโดยผสมผสานความเรียบง่ายเข้ากับศิลปะบริสุทธิ์
ผลงานชิ้นสำคัญคือ No. 5, 1948 ซึ่งมีราคาสูงถึง 140 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
นับเป็นภาพจิตรกรรมที่มีราคาสูงที่สุดในโลก เขาเคยกล่าวไว้ว่า
กระบวนการทำงานศิลปะสำคัญกว่าผลสำเร็จขั้นสุดท้าย
พอลล็อคเกิดที่รัฐไวโอมิ่ง เมื่อปี 1912 เรียนศิลปะที่ Manual Arts High
School ในลอสแองเจลิส ก่อนศึกษาต่อที่สถาบัน Art Students League ในนิวยอร์ค
ตลอดชีวิตพอลล็อคพบแต่ความผิดหวัง เขาเป็นคนอารมณ์ร้อน ไวต่อความรู้สึกมาก
โดยเฉพาะต่อคำพูดวิพากษ์วิจารณ์ผลงานของเขา เช่นครั้งหนึ่ง จิม สวีนีย์
แสดงความเห็นไว้ในบทความว่าพอลล็อคเป็นคนไม่มีหลักเกณฑ์ พอลล็อคโมโหมาก
จึงลงมือเขียนภาพ Search for a Symbol แล้วหิ้วภาพนี้ไปพบสวีนีย์ พร้อมกับพูดว่า
ผมต้องการให้คุณเห็นว่า ภาพที่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์เป็นอย่างไร (ชะวัชชัย ภาติณธุ,
ศิลปะศิลปิน หรือศิลปินศิลปะ, โอเดียนสโตร์ 2532, น.78-79)
เพราะนิสัยส่วนตัวเช่นนี้นี่เอง
ที่ทำให้พอลล็อคลงมือทำงานอย่างจริงจังเพื่อแสดงตัวตนและลบคำสบประมาท
จนเขาได้รับการยกย่องยอมรับว่าเป็นผู้นำขบวนการเขียนภาพแนวเอ็กเพรสชั่นนิสม์นามธรรม
(abstract-expressionism) พร้อมกับเป็นต้นแบบสไตล์การเขียนภาพที่เรียกว่า
จิตรกรรมแอ๊คชั่น (action painting) ด้วยการสาด เท หยด สลัดสีลงบนผ้าใบขนาดใหญ่
แสดงถึงความเคลื่อนไหวว่องไวและมีพลัง กระทั่งนิตยสารไทม์ให้สมญานามเขาว่า แจ๊ค
เดอะ ดริปเปอร์ (Jack the Dripper)
เรื่องราวของพอลล็อคเคยถูกสร้างเป็นหนังสารคดี 2 ครั้ง ครั้งแรกคือ Jackson
Pollock (1987) โดยผู้กำกับ คิม อีแวนส์ อีกเรื่องหนึ่งชื่อ Jackson Pollock : Love
and Death on Long Island (1999) โดย เทเรซ่า กริฟฟิธส์ เป็นประวัติชีวิตและผลงาน
รวมทั้งภาพการทำงานของพอลล็อค นอกจากนี้ยังมีบทสัมภาษณ์ ลี แครสเนอร์ เพื่อนๆ
ศิลปินรุ่นหลัง รวมทั้งแฮร์ริส
สำหรับ Pollock หนังเริ่มต้นในปี 1941 เมื่อพอลล็อค (แฮร์ริส)
ตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ ติดเหล้างอมแงม อาศัยอยู่กับ แซนดี้ (โรเบิร์ต นอตต์) พี่ชาย
จนภรรยาของแซนดี้ไม่พอใจ ต้องพาแซนดี้และแม่ย้ายหนีไป
จุดเปลี่ยนของชีวิตพอลล็อคคือการได้พบ ลี แครสเนอร์ (มาร์เซีย เกย์ ฮาร์เดน)
จิตรกรหญิงผู้เชื่อมั่นในความสามารถของพอลล็อค
แครสเนอร์แต่งงานกับเขาโดยมีข้อตกลงว่าพอลล็อคต้องเลิกดื่มเหล้าและมุ่งมั่นสร้างงานศิลปะ
ด้วยการหนุนหลังของแครสเนอร์ ผลงานของพอลล็อคจึงไปเข้าตา เพ็กกี้
กุกเกนไฮม์ (เอมี่ เมดิแกน) เจ้าของแกลลอรี่ใหญ่แห่งนิวยอร์ค
ยอมจัดแสดงผลงานเดี่ยวให้พอลล็อค แม้จะขายภาพเขียนไม่ได้เลย
แต่พอลล็อคก็เริ่มเป็นที่สนใจในวงการศิลปะ
และเป็นจุดเริ่มต้นให้เขาได้ค้นพบวิธีการสร้างงานรูปแบบใหม่
เมื่อต้องไปวาดผนังบ้านพักของกุกเกนไฮม์เป็นค่าตอบแทนตามสัญญา
หลังจากแต่งงานแล้ว พอลล็อคและแครสเนอร์ย้ายไปอยู่ที่ลอง ไอส์แลนด์
ชนบทอันสงบเงียบห่างไกลผู้คน
ที่นี่เองที่พอลล็อคมีเวลาเต็มที่สำหรับทุ่มเทสร้างงานศิลปะ
และพัฒนารูปแบบงานของเขาจนกลายเป็นสไตล์เฉพาะตัว เขาเริ่มมีชื่อเสียงเงินทอง
มีกิจวัตรประจำวันที่เปลี่ยนไป
แต่ความเปลี่ยนแปลงที่ได้รับเหล่านี้กลับทำให้พอลล็อครู้สึกหวั่นไหว
ที่สำคัญ...สิ่งที่เขาต้องการที่สุดแต่กลับไม่ได้คือลูก
ตลอดชีวิตช่วงหลัง พอลล็อคจมอยู่กับการดื่มเหล้า อารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉียว
ไม่สนใจคนรอบข้างแม้กระทั่งแครสเนอร์ เขาหันไปคว้า รูธ (เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่)
หญิงสาวอ่อนวัยมาทดแทน กระทั่งเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุรถยนต์ในปี 1956
จากเนื้อหาจะเห็นได้ว่าตัวตนของพอลล็อคก็คล้ายกับศิลปินคนอื่นๆ
ที่เราเคยพบเห็นบ่อยครั้งในหนัง
เรียกว่าเป็นแบบฉบับของตัวละครที่เป็นศิลปินไม่ว่าจะเป็นตัวละครสมมติหรือมีตัวตนจริงๆ
ก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นความอ่อนไหวในจิตใจ
และการยึดมั่นถือมั่นในตัวเองทำให้เป็นทุกข์
จนนำพาชีวิตให้ตกต่ำซ้ำเติมชะตากรรมของตน พอลล็อคก็เช่นกัน เขาหันเข้ามาเหล้า
ทำร้ายตนเองจนพบจุดจบในที่สุด
แต่ไม่ว่าชีวิตจะเลวร้ายเช่นไร ศักยภาพในตัวศิลปินย่อมต้องแสดงออกมาเสมอ
หนังได้จำลองภาพการทำงานของพอลล็อค
ตั้งแต่การนั่งนิ่งจ้องมองความว่างเปล่าบนเฟรมภาพ
ก่อนลงมือลงสีทั้งด้วยฝีแปรงและเทคนิคการเท สาด หรือสลัดสีอย่างรวดเร็วและรุนแรง
ดุจอารมณ์ภายในที่ระเบิดออกมา
กระทั่งภาพเสร็จสมบูรณ์ด้วยความรู้สึกที่พอลล็อคเปรียบเทียบว่าเหมือนเสร็จจากการร่วมรัก
พอลล็อคเคยเผยความรู้สึกของเขาถึงการสร้างงานศิลปะไว้เมื่อปี 1947 ว่า
บนพื้นห้อง
ผมรู้สึกผ่อนคลายและรู้สึกถึงการเข้าไปใกล้จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของภาพเขียน
เริ่มจากการเดินไปรอบๆ บนกรอบภาพ ลงสีจากทั้งสี่ด้าน
กระทั่งไปอยู่ในภาพเขียนนั้นจริงๆ
ทุกครั้งที่พอลล็อคเขียนภาพจึงเหมือนกับว่าเขาได้ถอดเอาชีวิตจิตใจลงไปในภาพเขียน
เป็นช่วงเวลาที่เขาสามารถควบคุมชีวิตตนเองได้
ต่างจากหลายฉากชีวิตนอกเวลาทำงานที่ใจเขากระเจิดกระเจิงไปจนไร้การควบคุม
การจำลองภาพการทำงานของพอลล็อคในหนังจึงช่วยเน้นย้ำให้เห็นว่าพอลล็อคมีชีวิตชีวาแค่ไหนขณะอยู่ในกรอบภาพ
และต่างจากชีวิตนอกกรอบภาพอย่างไร
ย้อนกลับไปที่คำถามของผู้เขียนเกี่ยวกับเหตุผลในการสร้างและการหาคุณค่าของหนังแนวชีวประวัติศิลปิน
เรารู้แล้วว่าแฮร์ริสสร้าง Pollock สืบเนื่องมาจากความฝังใจในอดีต
ถือเป็นการแสดงความชื่นชมและยกย่องพอลล็อค แต่ในด้านคุณค่าของหนัง
ถ้าเปรียบเทียบกับจิตรกรผู้มีชื่อเสียงทั้งรุ่นเก่าและร่วมสมัยหลายต่อหลายคน
สำหรับคนที่ไม่ได้สนใจศิลปะโดยตรงแล้ว คงไม่ได้นึกถึงชื่อพอลล็อคเป็นอันดับต้นๆ
อย่างแน่นอน
คุณค่า ของหนังแนวชีวประวัติอย่าง Pollock
จึงไม่ใช่การสะท้อนภาพของศิลปินซึ่งเป็นที่สนใจของผู้ชมทั่วไป
แต่เป็นการเผยแพร่ชื่อเสียงหรือแนะนำให้รู้จักเสียมากกว่า
ซึ่งแฮร์ริสก็ทำในจุดนี้ได้ดี เพราะนอกจากผู้ชมจะได้รู้จักพอลล็อคแล้ว
ยังได้เห็นวิธีการทำงานศิลปะซึ่งแปลกและแตกต่างจากศิลปินคนอื่นๆ
แต่ถ้าดูเฉพาะเนื้อหา
หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีความแปลกใหม่หรือแตกต่างจากหนังแนวชีวประวัติเรื่องอื่นๆ
ยังไม่ต้องพูดถึงการมองคุณค่าจากมุมกว้างผ่านชีวิตของพอลล็อค
ยกตัวอย่างเช่นนิวยอร์คยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือแวดวงศิลปะในยุคนั้น
เพราะยากที่จะเห็นอะไรชัดเจนจากหนังที่ให้ตัวละครเป็นตัวดำเนินเรื่องในลักษณะเป็น
ผู้กระทำ ตลอดเวลาเช่นเรื่องนี้
แจ็คสัน พอลล็อก
พอลล็อกไม่เพียงเป็นศิลปินแนวหน้าในสำนักศิลปะที่เรียกกันว่า Abstract
Expressionism เขายังเป็นผู้ริเริ่มเทคนิคในการสร้างงานจิตรกรรมแบบใหม่ที่เรียกว่า
drip and splash รวมทั้งแนวจิตรกรรมในแบบ action painting
แจ็กสัน พอลล็อก ถึงแก่กรรมในอุบัติเหตุทางรถยนต์ ขณะอายุ 44 ปี
"The Key" [1946] by Jackson Pollock.
Quarta-feira, Março 14, 2007
"Lavender Mist" [1950] by Jackson Pollock.
Shimmering Substance
1946 (280 Kb); Oil on canvas, 30 1/8 x 24 1/4 in;
The Museum of Modern Art, New York
Number 8, 1949 (detail)
1949 (280 Kb); Oil, enamel, and aluminum paint on
canvas;
Neuberger Museum, State University of New York