สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
รัฐธรรมนูญ (Constitution)
ความเป็นมาของรัฐธรรมนูญ
ลักษณะที่ดีของรัฐธรรมนูญ
การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
กฎหมายและความเป็นมาของกฎหมาย
ที่มาของกฎหมาย
กฎหมายกับการรักษากฎหมาย (Law and Enforcement)
กฎหมายและความเป็นมาของกฎหมาย
ในองค์การทุกองค์การจำเป็นจะต้องมีระเบียบกฎเกณฑ์ของตนเองเพื่อใช้ปกครองสมาชิกขององค์การ
จุดมุ่งหมายของการมีระเบียบข้อบังคับก็เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย
ความสงบและความยุติธรรมทั้งกิจการส่วนบุคคลและกิจการสาธารณะ รัฐก็คือองค์การหนึ่ง
จึงจำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์ข้อบังคับต่างๆ
เพื่อความสงบและความเป็นระเบียบเรียบร้อยภายในรัฐเช่นกัน
กฎเกณฑ์ข้อบังคับเหล่านี้คือ กฎหมาย
นอกจากจะมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาความสงบและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของรัฐแล้ว
ยังมีจุดมุ่งหมายที่จะรักษาสิทธิและเสรีภาพตลอดจนผลประโยชน์ของประชาชน
อีกทั้งรัฐบาลก็ต้องยึดกฎหมายเป็นหลัก
การปกครองจะอยู่ในกรอบระเบียบหลักเกณฑ์ของกฎหมายเป็นแนวทางไปสู่ประโยชน์สุขส่วนรวมของรัฐ
ดังนั้นเราพอจะได้ความคิดเกี่ยวกับความเป็นมาของกฎหมาย กล่าวคือเกิดจาก
กฎหมายเป็นสิ่งจำเป็นของรัฐ เพื่อก่อให้ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความสงบสุข
ตลอดจนความก้าวหน้าให้แก่รัฐ
กฎหมายได้ถูกบัญญัติขึ้นมาจากความต้องการที่จะรักษาความสงบเรียบร้อยในรัฐ
และเพื่อที่ประชาชนจะได้รู้สิทธิและหน้าที่อันมีขอบเขตแน่นอนเพื่อที่สะดวกต่อการปฏิบัติตัวในสังคมของรัฐ
ประเภทของกฎหมาย
โดยทั่วไปแล้วกฎหมายแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
- กฎหมายสารบัญญัติ (Substantive Law) คือ
กฎหมายที่บัญญัติขึ้นเพื่อกำหนดและรับรองสิทธิ ตลอดจนประโยชน์ของประชาชน อาทิ
กฎหมายที่ดิน กฎหมายอาญา กฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ที่กำหนดว่าการทำเช่นใดเป็นการละเมิดกฎหมาย มีโทษใดบ้าง ฯลฯ
- กฎหมายวิธีสบัญญัติ (Procedual Law) คือ กฎหมายที่แสดงถึงวิธีการพิจารณาความในศาล กำหนดวิธีการคุ้มกันสิทธิและผลประโยชน์ของประชาชน
บุคคลที่ถูกละเมิดสิทธิหรือผลประโยชน์ที่รับรองโดยกฎหมายสารบัญญัติ
เมื่อนำเรื่องขึ้นฟ้องร้องต่อศาลแล้วนั้น เรียกว่าโจทก์ (Plaintif)
และผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ล่วงละเมิดสิทธินั้น เรียกว่า จำเลย (Defendant)
จะนำกฎหมายวิธีสบัญญัติมาใช้พิจารณาคดี
กฎหมายวิธีสบัญญัติจะเป็นกฎหมายที่ทำให้กฎหมายสารบัญญัติมีผลบังคับใช้ได้ เช่น
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งเป็นกฎหมายวิธีสบัญญัติของกฎหมายอาญา
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กฎหมายลักษณะพยาน เป็นต้น
นอกจากนี้
เรายังสามารถแบ่งกฎหมายตามขอบเขตที่ใช้บังคับและตามความมุ่งหมายที่จะควบคุมบังคับ
ระหว่างเอกชนต่อเอกชน ระหว่างเอกชนต่อรัฐ หรือระหว่างรัฐกับรัฐได้
โดยอาจจะแบ่งกฎหมายออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. กฎหมายภายในประเทศ (National Law)
2. กฎหมายระหว่างประเทศ
(International Law)
1. กฎหมายภายในประเทศ (National Law)
คือ กฎหมายที่ใช้บังคับภายในรัฐ ต่อบุคคลทุกคนไม่ว่าจะเป็นประชาชนของรัฐนั้นๆ
หรือคนต่างด้าวก็ตาม หากบุคคลนั้นๆ
ได้อาศัยอยู่ในรัฐแล้วก็ย่อมอยู่ภายใต้กฎหมายในประเทศทั้งสิ้น
กฎหมายภายในประเทศเกิดจากอำนาจอธิปไตยของรัฐนั้นๆ
ให้อำนาจรัฐสามารถบัญญัติกฎหมายขึ้นใช้บังคับในประเทศได้
เป็นการแสดงออกอำนาจอธิปไตยภายในรัฐ
โดยทั่วไปแล้ว กฎหมายภายในประเทศก็แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
- กฎหมายเอกชน (Private Law)
- กฎหมายมหาชน (Public Law)
โดยใจความกว้างๆ แล้ว การกระทำผิดที่กระทบกระเทือนต่อรัฐ
ต่อประชาชนโดยส่วนรวมถือว่าอยู่ในข่ายของกฎหมายมหาชน ส่วนการกระทำผิดใดๆ
ระหว่างเอกชนธรรมดาโดยไม่กระทบกระเทือนต่อรัฐหรือประชาชนเป็นส่วนรวมแล้ว
ความผิดนั้นก็จะได้รับการพิจารณาโดยกฎหมายเอกชน อธิบายได้ดังนี้
กฎหมายเอกชน (Private Law)
บางทีเรียกว่า กฎหมายแพ่ง (Civil Law) อันเป็นกฎหมายที่บัญญัติความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับบุคคล บุคคลกับนิติบุคคล (นิติบุคคล คือ บุคคลตามกฎหมาย ไม่ใช่บุคคลจริง ตัวอย่างเช่น ธนาคาร ห้างร้าน เป็นต้น) หรือระหว่างเอกชนกับเอกชน และได้กำหนดวิธีการต่างๆ เพื่อให้เอกชนกับบุคคลสามรถรักษาและป้องกันสิทธิของตนมิให้ถูกละเมิดหรือไปละเมิดผู้อื่นได้ ในกฎหมายเอกชนนี้รัฐมีหน้าที่เป็นผู้ตัดสินโดยศาลยุติธรรม
กฎหมายเอกชนที่สำคัญ ได้แก่ กฎหมายที่เกี่ยวกับทรัพย์สินที่ดิน
สัญญาต่างๆ เช่น สัญญากู้ยืม ทะเบียนสมรส ทรัพย์ มรดก นิติกรรม พินัยกรรม
บริษัทจำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัด ฯลฯ ซึ่งรวมอยู่ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ซึ่งถ้ามีการละเมิดละเมิดสิทธิเสรีภาพในเรื่องดังกล่าวนี้แล้ว
จะไม่ส่งผลกระทบไปถึงบุคคลส่วนใหญ่
บทลงโทษในกฎหมายแพ่งจึงเป็นเพียงชดใช้ค่าเสียหายให้แก่กันเท่านั้น
กฎหมายมหาชน (Public Law)
กฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายซึ่งรัฐเป็นคู่กรณีด้วย เป็นกฎหมายที่มีขอบเขตกว้าง บัญญัติถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน กฎหมายมหาชนแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
- กฎหมายรัฐธรรมนูญ (Constitutional Law)
กฎหมายภายในประเทศอื่นใดขัดแย้งกับกฎหมายรัฐธรรมนูญต้องถือว่ากฎหมายนั้นเป็นโมฆะ
เพราะรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายที่สูงสุด กำหนดรูปของรัฐ วิธีการปกครอง
โครงร่างและกระบวนการปกครองอย่างกว้างๆ
กฎหมายรัฐธรรมนูญนี้ส่วนมากได้กำหนดสิทธิขั้นพื้นฐานขอปงระชาชนไว้โดยชัดเจนพอสมควร
โดยที่รัฐก้าวก่ายไม่ได้
ปัญหาของการตีความของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ในบางรัฐก็เป็นหน้าที่ของสภานิติบัญญัติ บางรัฐก็เป็นหน้าที่ของศาลฎีกา เช่น สหรัฐอเมริกา ส่วนไทยเป็นศาลรัฐธรรมนูญ เป็นต้น
- กฎหมายปกครอง (Administrative Law) คือ
กฎหมายที่มีบัญญัติอย่างละเอียดถึงการกำหนดองค์การของรัฐ
เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการปฏิบัติการต่างๆ
ตามกฎหมายวิธีการที่รัฐบาลจะใช้อำนาจที่กำหนดไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ
ตลอดจนกำหนดถึงความสัมพันธ์ระหว่างองค์การและเจ้าหน้าที่ของรัฐต่อประชาชน
อาจกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า
กฎหมายปกครองเป็นกฎหมายที่ขยายความให้ละเอียดจากกฎหมายรัฐธรรมนูญ
- กฎหมายอาญาและกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (Criminal Law and Procedure) ในการรักษาความสงบของรัฐ รัฐจำต้องถือความผิดบางอย่างที่เกี่ยวข้องกระทบกระเทือนต่อประชาชนหรือสังคมส่วนรวม และบ่อนทำลายความมั่นคงของรัฐ เป็นการทำผิดต่อรัฐโดยตรง รัฐต้องทำหน้าที่อัยการฟ้องร้องให้ศาลตัดสินลงโทษตามกฎหมายอาญา
การประกอบอาชญากรรม เช่น การฆ่าคนตาย การปล้นสะดม เป็นต้น
ถือเป็นการกระทำที่กระทบกระเทือนต่อประชาชนทั่วไปและรัฐด้วย
ฉะนั้นถึงแม้ว่าเข้าทุกข์อาจจะไม่ต้องการเอาเรื่องเอาราว
แต่รัฐจำเป็นต้องทำการดำเนินคดีและเป็นเจ้าทุกข์เสียเอง
การพิจารณาว่าความผิดเช่นใดเป็นความผิดทางอาญา
ความผิดเช่นใดเป็นความผิดทางแพ่งก็แตกต่างกันในแต่ละรัฐ เช่น
คดีจ่ายเช็คไม่มีเงินนั้น สำหรับประเทศไทยถือเป็นความผิดทางอาญา
แต่ในสหรัฐอเมริกาเป็นความผิดทางแพ่ง
กฎหมายอาญานี้
ได้กำหนดโทษของการกระทำผิดละเมิดกฎหมายเป็นลำดับแน่นอนลดหลั่นลงไป
เรียงลำดับได้ดังนี้ 1. ประหารชีวิต 2. จำคุก 3. กักขัง 4. ปรับ 5. ริบทรัพย์สิน
ลงโทษตามระดับความหนักเบาของความผิดที่กระทำ เช่น
โทษลักขโมยก็ย่อมเบากว่าโทษฆ่าคนตาย ตลอดจนการกำหนดองค์ประกอบของความผิด เช่น
เป็นผู้ที่สั่งให้กระทำหรือผู้ที่ไม่ให้กระทำหรือกระทำผิดเองโดยเจตนาหรือประมาท
ไปจนกระทั่งการลดหย่อนผ่อนโทษให้ในบางกรณี
เพื่อให้การใช้กฎหมายอาญานี้เป็นไปตามระเบียบแบบแผน
ก็ได้มีกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญากำหนดวิธีการที่องค์การรัฐจะนำตัวผู้กระทำผิดมาฟ้องร้องต่อศาล
การกำหนดเจ้าหน้าที่ใช้อำนาจ วิธีใช้
ตลอดจนหลักประกันต่อประชาชนที่ถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพทางอาญา
2. กฎหมายระหว่างประเทศ (International Law)
คือ ระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่บัญญัติถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับรัฐ
ที่มาของกฎหมายระหว่างประเทศนี้ส่วนใหญ่
มาจากสนธิสัญญาระหว่างประเทศและขนบธรรมเนียมประเพณีที่เคยปฏิบัติกันมาในการติดต่อระหว่างกัน
เมื่อพิจารณาดูแล้วกฎหมายระหว่างประเทศนั้น
อาจเป็นเพียงข้อตกลงสัญญากันระหว่างรัฐมากกว่ากฎหมายจริงๆ
เพราะไม่มีองค์กรที่เหนือกว่ารัฐเป็นผู้ออกกฎหมายหรือใช้อำนาจบังคับลงโทษ
เมื่อมีผู้ละเมิดข้อตกลงก็ไม่มีองค์กรใดที่จะมีอำนาจลงโทษผู้ละเมิดได้
เหมือนอย่างกฎหมายภายในประเทศ
รัฐคู่กรณีอาจจะใช้วิธีไม่คบค้าสมาคมทางการค้าและทางการทูตกับรัฐที่ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ
ในกรณีที่รุนแรงสงครามก็เป็นเครื่องมือที่จะรักษาหรือละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศได้
แต่ถ้าจะพิจารณาดูในแง่ที่ว่ากฎหมายเป็นสิ่งจำเป็นต่อองค์กรเพื่อก่อให้เกิดความเป็นระเบียบและความสงบสุข
ตลอดจนความก้าวหน้าให้แก่องค์กรแล้ว
ในแง่นี้กฎหมายระหว่างประเทศก็เป็นกฎหมายประเภทหนึ่ง
เพราะกฎหมายระหว่างประเทศมีการตกลงกันในเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดน การประกาศสงคราม
การทำสัญญาสันติภาพ การกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ ในท้องทะเลหลวง ฯลฯ
กฎเกณฑ์เหล่านี้ช่วยนำมาซึ่งความเป็นระเบียบเรียบร้อยต่อรัฐต่างๆ พอสมควร
การที่รัฐต่างๆ เคารพกฎหมายระหว่างประเทศก็อาจจะเพราะเกรงกลัวสงคราม
หรือกลัวว่าจะสูญเสียผลประโยชน์ของตน
ตลอดจนทั้งการได้รับความนับหน้าถือตาและความเชื่อถือมากกว่าบุคคลที่ชอบเล่นอะไรนอกกติกา