สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
ประวัติของรัฐธรรมนูญ
ความหมายของรัฐธรรมนูญ
1. บุคคลที่เสนอให้ใช้คำว่า รัฐธรรมนูญ คือ พลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอ
กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ซึ่งทรงมีความเห็นว่า ธรรมนูญเป็นคำสามัญ
ฟังไม่เหมาะกับที่จะเป็นกฎหมายสำคัญของประเทศ
2. คำว่า รัฐ ในทางวิชาการ ถือว่าต้องมีองค์ประกอบ 4 ประการ คือ
- ดินแดน
- ประชาชน
- อำนาจอธิปไตย
- รัฐบาล
3. สังคมทั้งหลายต้องมีรัฐธรรมนูญ เพียงแต่อาจไม่เรียกว่ารัฐธรรมนูญเท่านั้น
แม้ในประเทศไทยเมื่อแรกเปลี่ยนแปลงการปกครองก็ยังไม่รู้จักคำว่ารัฐธรรมนูญด้วยซ้ำไป
คงเรียกเพียงว่า พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม ฉบับชั่วคราว พ.ศ.2475
4. รัฐธรรมนูญ เป็นชื่อเฉพาะของกฎหมายประเภทหนึ่ง มีฐานะเป็นกฎหมายสูงสุด
และเป็นกฎหมายที่กำหนดกฎเกณฑ์การปกครองประเทศอย่างกว้างๆ สำหรับ กฎหมายรัฐธรรมนูญ
หมายถึงกฎหมายสาขามหาชนที่วางระเบียบเกี่ยวกับสถาบันการเมืองของรัฐ
5. กฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นคำที่กว้างกว่ารัฐธรรมนูญ เนื่องจาก
- คลุมถึงรัฐธรรมนูญด้วย
- คลุมถึงกฎเกณฑ์การปกครองประเทศที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรด้วย
- คลุมถึงกฎหมายทั้งหลายที่วางระเบียบเกี่ยวกับสถาบันการเมืองใดสถาบันการเมืองหนึ่งด้วย
6. ความคล้ายคลึงระหว่างรัฐธรรมนูญ และกฎหมายรัฐธรรมนูญ อยู่ที่ว่า
เป็นกฎหมายมหาชนและวางระเบียบเกี่ยวกับการเมืองการปกครองคล้ายคลึงกัน
เพียงแต่ว่ารัฐธรรมนูญจะกำหนกรายละเอียดมากกว่า
7. ความแตกต่างระหว่างรัฐธรรมนูญ และกฎหมายรัฐธรรมนูญ อยู่ที่ว่า
รัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษร ในขณะที่กฎหมายรัฐธรรมนูญมีทั้งที่เป็นลายลักษณ์อักษร
และไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
8. กฎหมายรัฐธรรมนูญ มีส่วนคล้ายกับกฎหมายปกครองที่ว่า
เป็นกฎหมายมหาชนและวางระเบียบการปกครองรัฐ แต่ก็มีความแตกต่างในประเด็นดังต่อไปนี้
- ในด้านเนื้อหา กฎหมายรัฐธรรมนูญวางระเบียบการปกครองรัฐในระดับสูงและกว้างขวางมากกว่ากฎหมายปกครอง ในขณะที่กฎหมายปกครองวางระเบียบรัฐในการบริหารราชการแผ่นดินเท่านั้น
- ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างราษฎรกับรัฐ กฎหมายรัฐธรรมนูญแสดงความเกี่ยวพันระหว่างรัฐกับราษฎรในรูปของกลุ่มราษฎรเป็นส่วนรวม ในขณะที่กฎหมายปกครองแสดงความเกี่ยวพันระหว่างราษฎรเป็นรายบุคคลกับรัฐ
- ในด้านฐานะของกฎหมาย กฎหมายรัฐธรรมนูญมีความสำคัญมากกว่ากฎหมายปกครอง
ประวัติแนวความคิดในการจัดทำรัฐธรรมนูญ
1. การศึกษาแนวความคิดในการจัดทำรัฐธรรมนูญ
ควรศึกษาจากประวัติหรือเหตุการณ์ใน 4 สมัย
2. สมัยแรก (ก่อนปี ค.ศ.1758 ซึ่งเป็นปีที่มีการใช้มหาบัตร Magna Carta ในอังกฤษ)
- กฎหมายเกี่ยวกับกฎเกณฑ์การปกครองประเทศมีลักษณะเลื่อนลอย มีบัญญัติไว้บ้าง เป็นจารีตประเพณี บ้าง เป็นโองการของกษัตริย์บ้าง
- กฎหมายรัฐธรรมนูญสมัยนี้มีลักษณะราชาธิปไตยโดยแท้
3. สมัยที่สอง (ปี ค.ศ.1758 ปี ค.ศ.1776 ซึ่งเป็นปีที่ประกาศอิสรภาพในสหรัฐอเมริกา)
- รัฐธรรมนูญเริ่มมีความชัดเจนขึ้น เป็นกฎหมายที่จำกัดอำนาจของผู้ปกครอง
- กฎหมายรัฐธรรมนูญสมัยนี้มีลักษณะเป็นอภิชนาธิปไตย (Oligarchy)
4. สมัยที่สาม (ปี ค.ศ.1776 ปี พ.ศ.2488 ซึ่งเป็นปีสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2)
- มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในสมัยที่สามนี้มากมายที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญ
เช่น
* การจัดทำรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ.1789
* การปฏิวัติครั้งใหญ่ในฝรั่งเศส เมื่อปี ค.ศ.1789 (พ.ศ.2332)
* การจัดทำรัฐธรรมนูญในเยอรมัน ในปี พ.ศ.2392
* การเปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ.2475 - รัฐธรรมนูญสมัยนี้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการแบ่งแยกอำนาจและการประกันสิทธิเสรีภาพของราษฎร
- ปลายสมัยนี้ ก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในยุโรปเกิดมีการต่อสู้ทางความคิดในเรื่องลัทธิการเมือง ระหว่างฝ่ายนิยมประชาธิปไตย และฝ่ายนิยมลัทธิเผด็จการในรูปแบบต่างๆ เช่น ฟาสซิสม์ นาซิสม์ และคอมมิวนิสต์
5. สมัยที่สี่ (ปี พ.ศ.2488 ปัจจุบัน)
- มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่
ทั้งในระดับภายในประเทศและระดับระหว่างประเทศ
* ระดับภายในประเทศนั้น มีการแตกแยกออกเป็นหลายรัฐ เช่น เยอรมันตะวันตกและ เยอรมันตะวันออก เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ เป็นต้น
* ระดับระหว่างประเทศนั้น เกิดองค์การสหประชาชาติ องค์การร่วมในระดับภูมิภาค - แนวความคิดในทางกฎหมายฝ่ายบ้านเมืองแบบใหม่ (Modern Positive Law) เป็นที่ยอมรับมากขึ้น (คือการผสมผสานแนวคิดกฎหมายฝ่ายบ้านเมืองและกฎหมายฝ่ายธรรมชาติเข้าด้วยกัน)
- แนวคิดในการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยนั้น
ขึ้นอยู่กับรูปแบบการปกครองของแต่ละประเทศ ซึ่งแบ่ง ออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
* การแบ่งแยกอำนาจแบบเคร่งครัด ตามหลักรัฐบาลระบบประธานาธิบดี
* การแบ่งแยกอำนาจแบบไม่เคร่งครัด ตามหลักรัฐบาลระบบรัฐสภา - ปัจจุบันเริ่มมีแนวคิดใหม่คือ ควรเน้นการแบ่งแยกหน้าที่มากกว่า
ประเภทของรัฐธรรมนูญ
1. ประโยชน์ของการแบ่งแยกประเภทรัฐธรรมนูญนั้น
เป็นเรื่องของการเปรียบเทียบเพื่อการศึกษา
โดยเฉพาะประเทศที่เกิดใหม่หรือเพิ่งได้เอกราชใหม่หรือคิดจะร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่
2. การแบ่งแยกประเภทรัฐธรรมนูญแบ่งได้หลายลักษณะ ขึ้นอยู่กับจะใช้หลักเกณฑ์อะไรในการแบ่ง เช่น
- การแบ่งแยกตามรูปแบบของรัฐบาล
ถือกันว่าปัจจุบันเป็นหลักเกณฑ์นี้ล้าสมัยแล้ว
- อริสโตเติล เคยแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ รัฐธรรมนูญแบบเอกาธิปไตย รัฐธรรมนูญแบบ รัฐบาลของคณะบุคคล และรัฐธรรมนูญแบบรัฐบาลของบุคคล
- มองเตสกิเออ เคยแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ รัฐธรรมนูญแบบสาธารณรัฐ รัฐธรรมนูญแบบ ราชาธิปไตย และรัฐธรรมนูญแบบเผด็จการนิยม - การแบ่งแยกตามรูปของรัฐ
- รัฐธรรมนูญของรัฐเดี่ยว - รัฐธรรมนูญของรัฐรวม - การแบ่งแยกตามวิธีการบัญญัติ
- รัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร - รัฐธรรมนูญไม่เป็นลายลักษณ์อักษร - การแบ่งแยกตามวีการแก้ไข
- รัฐธรรมนูญที่แก้ไขง่าย - รัฐธรรมนูญที่แก้ไขยาก - การแบ่งแยกตามกำหนดเวลาในการใช้
- รัฐธรรมนูญชั่วคราว - รัฐธรรมนูญถาวร - การแบ่งแยกตามลักษณะของรัฐสภา
- เป็นรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้งหรือแต่งตั้ง - เป็นสภาเดียวหรือสองสภา - การแบ่งแยกตามลักษณะของฝ่ายบริหาร
- รัฐธรรมนูญตามระบบประธานาธิบดี - รัฐธรรมนูญตามระบบรัฐสภา - การแบ่งแยกตามลักษณะของฝ่ายตุลาการ
- ฝ่ายตุลาการหรือฝ่ายใดเป็นผู้วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ
3. ปัจจุบันได้เกิดความคิดใหม่ขึ้นว่า การแบ่งประเภทรัฐธรรมนูญควรแบ่งตามความเป็นจริง โดยพิจารณาถึงลักษณะการใช้รัฐธรรมนูญ หรือความมุ่งหมายในการมีรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ
- รัฐธรรมนูญซึ่งมีกฎเกณฑ์ตรงต่อสภาพในสังคม (Normative Constitution) เป็นรัฐธรรมนูญประเภทที่มีกฎเกณฑ์การปกครองสอดคล้องกับลักษณะสังคม
- รัฐธรรมนูญซึ่งกำหนดกฎเกณฑ์การปกครองประเทศไว้เกินความเป็นจริง (Nominal Constitution) เป็นรัฐธรรมนูญประเภทที่สมบูรณ์ แต่ยังขาดการปฏิบัติตามอย่างแท้จริง
- รัฐธรรมนูญซึ่งกำหนดกฎเกณฑ์การปกครองประเทศไว้ตบตาคน (Semantic Constitution) เป็นรัฐธรรมนูญประเภทที่มีลักษณะเผด็จการ
» พัฒนาการของกฎหมายมหาชนในประเทศภาคพื้นยุโรป
» พัฒนาการของกฎหมายมหาชนในประเทศคอมมอนลอว์
» พัฒนาการของกฎหมายมหาชนในประเทศไทย
» บทบาทของนักปรัชญาในการพัฒนากฎหมายมหาชน
» นักปรัชญาสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา
» นักปรัชญาหลังสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา
» วิวัฒนาการแนวความคิดเรื่องกำเนิดของรัฐ
» รูปของรัฐและรูปแบบของประมุขของรัฐ
» วิวัฒนาการระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย