สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>

กฎหมายมหาชน

แนวความคิดเกี่ยวกับองค์กรนิติบัญญัติในระบอบประชาธิปไตย

การแบ่งแยกอำนาจหน้าที่ในการใช้อำนาจอธิปไตย

1. ในอดีตมีการถกเถียงเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตย ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 แนวความคิด คือ

  1. กลุ่มแนวความคิด “ลัทธิเทพาธิปไตย” ถือว่า อำนาจอธิปไตยเป็นอำนาจศักดิ์สิทธิ์จากสวรรค์
  2. กลุ่มแนวความคิด “ลัทธิประชาธิปไตย” ถือว่า ราษฎรเป็นเจ้าของอำนาจสูงสุดนี้

2. มองเตสกิเออ นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศส ได้ศึกษาถึงการปกครองของประเทศอังกฤษและได้อธิบายไว้ว่า ในรัฐๆ หนึ่งย่อมมีอำนาจอยู่ 3 ประเภท คือ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ

3. หลักการแบ่งแยกอำนาจของมองเตสกิเออ ถูกนำไปใช้เป็นหลักในการร่างรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรกเมื่อได้ประกาศแยกเป็นเอกราชจากอังกฤษ ต่อมารัฐธรรมนูญของฝรั่งเศสฉบับแรกก็ได้ใช้หลักการแบ่งแยกอำนาจของมองเตสกิเออด้วยเช่นกัน

4. เมื่อมีการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยแล้ว ก็ต้องมีองค์กรผู้ใช้อำนาจแต่ละอำนาจ ดังนี้

  1. องค์กรผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ คือ รัฐสภา
  2. องค์กรผู้ใช้อำนาจบริหาร คือ คณะรัฐมนตรี หรือประธานาธิบดี หรือประมุขของฝ่ายบริหารที่เรียก ชื่อเป็นอย่างอื่น
  3. องค์การผู้ใช้อำนาจตุลาการ คือ ศาล

วิวัฒนาการขององค์กรนิติบัญญัติในระบอบการปกครองแบบรัฐสภา

1. ระบบการปกครองแบบรัฐสภา เริ่มมีขึ้นในประเทศอังกฤษ ก่อนที่จะแพร่หลายไปยังประเทศต่างๆ และด้วยความต่อเนื่องและวิวัฒนาการเรื่อยมาของการปกครองแบบรัฐสภาของประเทศอังกฤษ จึงได้รับการยกย่องและได้รับสมญานามว่า เป็นแม่บทของรัฐสภาของประเทศอื่นๆ

2. วิวัฒนาการทางการปกครองแบบรัฐสภาของประเทศอังกฤษ โดยสรุปมีดังนี้

  1. ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 11 อังกฤษมีการปกครองตามลัทธิฟิวดัล (Feudalism) กล่าวคือ เจ้าครองนครต่างๆ เรียกว่า “วาสซัล” (Vassal) ได้รับการแบ่งสันปันส่วนการปกครองดินแดนอังกฤษ โดยเป็นผู้รับใช้กษัตริย์ของอังกฤษ เวลามีศึกสงครามกษัตริย์อังกฤษจะคอยคุ้มครองป้องกันเป็นการตอบแทน
  2. ต่อมาในศตวรรษที่ 12 ได้เกิดประเพณีการปกครองอังกฤษขึ้นใหม่ กล่าวคือ เมื่อกษัตริย์จะบัญญัติกฎหมายสำคัญต้องปรึกษาหารือกับ “คอนซิลเลียม” (Concillium) ก่อน องค์กรนี้ประกอบด้วยพระราชาคณะ พวกขุนนางคนสำคัญชั้นบารอน (ระดับเจ้าครองนคร) มีฐานะเป็นสภาที่ปรึกษาในการออกกฎหมาย
  3. ในศตวรรษที่ 13 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “แม็กนั่ม คอนซิเลียม” (Magnum Concillium) และยังเพิ่มอีกบทบาทหน้าที่หนึ่งคือ เป็นศาลพิจารณาคดีในอำนาจของกษัตริย์อีกด้วย
  4. เมื่อปี ค.ศ.1215 บรรดาพระราชาคณะและพวกบารอน ได้บังคับพระเจ้าจอห์นลงนามในบทบัญญัติกำหนดอำนาจ เรียกว่า “แม็กนา คาร์ตา” (Magna Carta) ซึ่งมีสาระสำคัญ 2 ประการ คือ

    - การเก็บภาษี จะต้องเป็นไปตามความเห็นของสภาแม็กนัม คอนซิลเลียม
    - บุคคลทุกคนย่อมเป็นอิสระ จะไม่ถูกจับกุม คุมขัง โดยมิได้มีคำพิพากษาและมิได้มีกฎหมาย กำหนดโทษไว้
  5. ในปี ค.ศ.1295 มีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรขึ้นเป็นครั้งแรก เรียกว่า Great and Model Parliament สภาผู้แทนราษฎรนี้จะปฏิบัติหน้าที่ควบคู่กับสภาแม็กนัม คอนซิลเลียม
  6. ตั้งแต่ในศตวรรษที่ 14 เป็นต้นมา สภาทั้งสองได้แยกออกจากกัน โดย

    - สภาแม็กนัม คอนซิลเลียม ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “สภาขุนนาง” (House of Lords)
    - สภาผู้แทนราษฎร ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “สภาสามัญ” (House of Commons)
  7. ในคริสต์ศตวรรษที่ 15-16 กษัตริย์อังกฤษพยายามที่จะกู้พระราชอำนาจที่ถูกจำกัดโดยสภาขุนนาง เกิดการสู้รบกันระหว่างกองทัพกษัตริย์และกองทัพของรัฐสภา ในที่สุดรัฐสภาเป็นฝ่ายมีชัย ทำให้รัฐสภามีอิทธิพลเพิ่มขึ้นอีกมาก
  8. ปี ค.ศ.1688 ก่อนเจ้าชายวิลเลียมขึ้นครองราชย์ พวกขุนนางได้ขอให้พระองค์ยอมรับพระราชบัญญัติว่าด้วยสิทธิ ค.ศ.1688 ซึ่งมีข้อบัญญัติเกี่ยวกับ

    - การค้ำประกันสิทธิเสรีภาพของปวงชน
    - การห้ามมิให้กษัตริย์ยับยั้งหน่วงเหนี่ยวกฎหมายใดๆ
    - การห้ามเรียกเก็บภาษี โดยมิได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา
    - การห้ามมีกองทัพไว้ในประเทศ โดยมิได้รับอนุญาตจากรัฐสภา
    - เงินประจำตำแหน่งที่กษัตริย์อังกฤษได้รับ จะต้องเป็นไปตามความเห็นชอบของรัฐสภา
  9. วิวัฒนาการทางการปกครองของอังกฤษมีความพยายามที่จะริดรอนอำนาจสิทธิ์ขาดของกษัตริย์ ในการปกครองประเทศลงทีละน้อย ขณะเดียวกันสภาสามัญของอังกฤษก็พยายามเพิ่มพูนอำนาจและอิทธิพลให้กับตนมากขึ้น เพราะถือว่าเป็นสภาที่ได้รับการเลือกตั้งมาจากประชาชน จนในที่สุด สิทธิในการออกกฎหมายก็ตกอยู่ในมือของสภาสามัญ เช่น การประกาศใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยรัฐสภา ค.ศ.1911

ความเป็นมาขององค์กรนิติบัญญัติในระบอบประชาธิปไตยของไทย

1. ความเป็นมาเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยในสมัยรัชกาลที่ 5

  1. ทรงตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน (Council of State) ทำหน้าที่ถวายคำปรึกษาเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินและดำเนินการปรับปรุงระบบการบริหารด้วย และทรงตั้งสภาองคมนตรี (Privy Council) ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาส่วนพระองค์และช่วยราชการอื่นตามที่จะทรงมอบหมาย แต่การดำเนินงานทั้งสองสภาไม่เป็นไปตามพระราชประสงค์นัก เนื่องจากบรรดาสมาชิกสภาไม่มีความรู้ในการปฏิบัติงานร่วมกัน ไม่ค่อยแสดงความคิดเห็นบ้าง เกรงกลัวเกรงใจเสนาบดีบ้าง
  2. ทรงตราพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ รศ.116 เพื่อริเริ่มให้ประชาชน (ให้สิทธิแก่สตรีด้วย) ได้เรียนรู้วิธีการเลือกตั้ง โดยให้ประชาชนเลือกตั้งคนในหมู่บ้านเดียวกันเป็นผู้ใหญ่บ้าน และให้ผู้ใหญ่บ้านเลือกกันเองเป็นกำนัน
  3. ทรงเลิกทาส ซึ่งนอกจากจะเป็นพระราชกรณียกิจที่สำคัญของพระองค์ ยังเป็นรากฐานในเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชนชาวไทย ในการก้าวเข้าสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตย
  4. ทรงตราพระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาลท่าฉลอม พ.ศ.2448 เพื่อริเริ่มให้มีการปกครองท้องถิ่น

2. ความเป็นมาเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยในสมัยรัชกาลที่ 6

  1. ในช่วงปลายรัชกาลที่ 5 ต่อกับต้นรัชกาลที่ 6 มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในต่างประเทศเกิดขึ้นหลายประเทศ เช่น ประเทศตุรกีเมื่อปี 2451 ประเทศจีนเมื่อปี 2454 และประเทศรัสเซียเมื่อปี 2460
  2. เมื่อปี พ.ศ.2454 มีคณะบุคคลวางแผนเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศ เป็นระบอบประชาธิปไตย แต่ถูกจับได้เสียก่อนและถูกศาลทหารพิจารณาตัดสินคดีลงโทษ ต่อมาพระองค์ได้ทรงลดโทษให้ เนื่องจากทรงเห็นว่า คณะบุคคลเหล่านี้มีเจตนาดีต่อบ้านเมือง และเป็นเจตนาเดียวกับพระองค์ที่ทรงเห็นชอบกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอยู่แล้ว
  3. ทรงตั้งดุสิตธานี ในปี พ.ศ.2461 ในบริเวณพระราชวังดุสิต ให้เป็นเมืองจำลองการปกครองในรูปแบบประชาธิปไตย มีรัฐธรรมนูญ มีเลือกตั้งผู้แทนราษฎร มีการจัดตั้งรัฐบาล มีการประชุมสภา และมีหนังสือพิมพ์เผยแพร่ โดยเล็งเป้าหมายการทดลองไปที่หมู่บุคคลชั้นสูงในสมัยนั้น แต่การณ์มิได้เป็นไปตามพระราชประสงค์ เนื่องจากบุคคลเหล่านี้ยังไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย

3. ความเป็นมาเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยในสมัยรัชกาลที่ 7

  1. ความคิดเห็นในเรื่องการปกครองระบอบประชาธิปไตยในรัชสมัยนี้แพร่ไปทั่ว และเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นทุกระยะ เนื่องจากนโยบายพัฒนาประเทศในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ส่งคนหนุ่มไปศึกษาต่างประเทศ เมื่อคนหนุ่มเหล่านี้สำเร็จการศึกษากลับมา ก็นำเอาแนวความคิดดังกล่าวกลับมาด้วย
  2. ทรงให้นายเรมอนด์ บี สตีเวนส์ และพระยาศรีวิสารวาจา ร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อเตรียมจะพระราชทานแก่ปวงชนชาวไทย ในโอกาสวันฉลองพระนครครบรอบ 150 ปี ในวันที่ 6 เมษายน 2475 แต่มีผู้คัดค้านไว้
  3. เช้ามืดของวันที่ 24 มิถุนายน 2475 “คณะราษฎร์” ได้เข้ายึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นระบอบประชาธิปไตย ต่อมาเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2475 ทรงพระราชทาน “พระราบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ.2475”
  4. เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 ทรงพระราชทาน “รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ.2475” ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับถาวรแก่ปวงชนชาวไทย และนี่คือมีมาของ “วันรัฐธรรมนูญ”

» กำเนิดแนวความคิดกฎหมายมหาชน

» พัฒนาการของกฎหมายมหาชนในประเทศภาคพื้นยุโรป

» พัฒนาการของกฎหมายมหาชนในประเทศคอมมอนลอว์

» พัฒนาการของกฎหมายมหาชนในประเทศไทย

» ความหมายของกฎหมายมหาชน

» ประเภทของกฎหมายมหาชน

» บ่อเกิดของกฎหมายมหาชน

» บทบาทของนักปรัชญาในการพัฒนากฎหมายมหาชน

» นักปรัชญาสมัยกรีก

» นักปรัชญาสมัยโรมัน

» นักปรัชญาสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา

» นักปรัชญาหลังสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา

» วิวัฒนาการแนวความคิดเรื่องกำเนิดของรัฐ

» องค์ประกอบของรัฐ

» ปรัชญาว่าด้วยอำนาจอธิปไตย

» ประวัติของรัฐธรรมนูญ

» อำนาจการจัดให้มีรัฐธรรมนูญ

» รัฐธรรมนูญไทย

» การแก้ไขและยกเลิกรัฐธรรมนูญ

» โครงร่างของรัฐธรรมนูญ

» รูปของรัฐและรูปแบบของประมุขของรัฐ

» วิวัฒนาการระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย

» ระบอบการปกครองแบบเผด็จการ

» แนวความคิดเกี่ยวกับองค์กรนิติบัญญัติในระบอบประชาธิปไตย

» ลักษณะของรัฐสภา

» การเลือกตั้ง

» พรรคการเมือง

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย