สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
สภาวะแวดล้อมระหว่างประเทศ
จุดเริ่มต้นของการกำหนดนโยบายต่างประเทศของไทย คือ การวิเคราะห์สภาวะ
แวดล้อมระหว่างประเทศในอนาคต ซึ่งมีแนวโน้มหลัก (megatrend)
ของความสัมพันธ์ของโลกในอนาคต จะเป็นโลกในยุคที่ผู้วิจัยอยากจะเรียกว่า ทวิภพ
หมายความว่า โลกในอนาคตจะมีทั้งโลกใบเก่าและโลกใบใหม่
โลกใบเก่าจะยังคงเป็นสัจจนิยมที่เน้นเรื่องดุลยภาพแห่งอำนาจ ขั้วอำนาจ
ระบบความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ ระบบ Westphalia อำนาจอธิปไตย
แต่ในอนาคตจะมีโลกใบใหม่เกิดขึ้น และคงอยู่คู่กับโลกใบเก่า
โลกใบใหม่จะเป็นโลกของอุดมคตินิยม ที่เน้นเรื่องโลกาภิบาล (global governance)
สถาบันระหว่างประเทศ กฎระเบียบระหว่างประเทศ
ระบบเศรษฐกิจที่เป็นหนึ่งเดียวในกระบวนการโลกาภิวัฒน์ เป็นโลกในยุคหลัง
Westphalia (post-Westphalian system) โลกในยุคหลังอำนาจอธิปไตย (post-sovereign
system)
ระบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในปัจจุบันและในอนาคตอันใกล้มีลักษณะ 1 ขั้ว
คือ มีสหรัฐอเมริกาเป็นอภิมหาอำนาจหนึ่งเดียวในโลก โดยขั้วอำนาจอื่นๆ
ยังคงไม่มีศักยภาพพอที่จะเข้ามาแข่งขันกับสหรัฐฯได้
รัสเซียยังคงอ่อนแอและยังคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะฟื้นตัวทางด้านเศรษฐกิจ
ที่จะขึ้นมาเป็นคู่แข่งกับสหรัฐฯได้ สำหรับสหภาพยุโรป
ถึงแม้จะมีศักยภาพทางด้านเศรษฐกิจ
แต่ทางด้านการเมืองและความมั่นคงยังคงต้องใช้เวลานานในการรวมตัวกัน
สำหรับญี่ปุ่นก็เช่นเดียวกัน ญี่ปุ่นมีข้อจำกัดหลายด้านด้วยกัน
ทั้งในด้านการขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ ศักยภาพในการแข่งขันด้านเศรษฐกิจเริ่มลดลง
และอำนาจทางด้านการทหารและความมั่นคงยังคงจำเป็นต้องพึ่งพาสหรัฐฯอยู่
อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวมีแนวโน้มว่า โลกกำลังจะเปลี่ยนจากระบบ 1
ขั้วไปสู่หลายขั้วอำนาจ สหรัฐฯจะเสื่อมคลายลงตามวัฏจักรของมหาอำนาจที่เป็นมาในอดีต
นอกจากนี้ ก็มีแนวโน้มว่า ขั้วอำนาจอื่นๆ อาทิ จีน ญี่ปุ่น ยุโรป รัสเซีย
ประเทศในเอเชีย ประเทศกลุ่มอิสลาม แอฟริกา และละตินอเมริกา
มีแนวโน้มว่าจะต่อต้านสหรัฐฯ และเป็นพันธมิตรกันในการคานอำนาจสหรัฐฯมากขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งจะทำให้โลกเป็นหลายขั้วอำนาจในระยะยาว แต่ก็มีความเป็นไปได้อีกแนวทางหนึ่ง
(scenario) ที่ในระยะยาว ระบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอาจจะมีวิวัฒนาการเป็น 2
ขั้ว (bi-polar system) จากบทวิเคราะห์ของ Samuel Huntington ใน The Clash of
Civilizations โลกกำลังจะเป็น 2 ขั้ว คือ ขั้วตะวันตก กับขั้วที่ไม่ใช่ตะวันตก
และความขัดแย้งระหว่าง 2 ขั้วนี้จะรุนแรงมากขึ้นในอนาคต
นโยบายไทยสำหรับโลกใบเก่า ในอนาคตระยะยาว โลกจะเปลี่ยนจากระบบ 1 ขั้ว
ไปสู่ระบบหลายขั้ว ดังนั้น
แนวนโยบายต่างประเทศไทยในระยะยาวจะต้องเตรียมปูพื้นฐานไว้สำหรับโลกหลายขั้วอำนาจที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
โดยนโยบายไทยต้องค่อยๆ ปรับจากสภาวะแวดล้อมที่เป็นระบบ 1 ขั้วเป็นหลายขั้วอำนาจ
จากการพึ่งพิงสหรัฐฯไปสู่นโยบายการทูตรอบทิศทาง (omni-directional diplomacy)
โดยจะต้องพยายามฟื้นฟู สร้างความสัมพันธ์และรักษาความสัมพันธ์กับขั้วอำนาจอื่นๆ
ที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งก็คือ จีน ญี่ปุ่น ยุโรป รัสเซีย ในอนาคต
มีความเป็นไปได้ว่า ขั้วเอเชียหรือขั้วอาเซียนจะเกิดขึ้น
ดังนั้นไทยควรที่จะหาลู่ทางสร้างแนวร่วมเอเชีย (Pan-Asianism)
การวิเคราะห์ตรงนี้ ในที่สุดแล้วจะโยงมาสู่นโยบายต่างประเทศของไทย ท่าที
นโยบายของไทยจะต่างกันในแง่ที่ว่า ไทยจะตอบสนองต่อระบบ 1 ขั้ว (unipolar system)
หรือระบบหลายขั้ว (multipolar system) ถ้าคิดว่าเป็น 1 ขั้ว (unipolar)
ไทยก็ต้องเข้าหาสหรัฐฯให้มากขึ้น แต่ถ้าวิเคราะห์แล้วว่า โลกกำลังจะเป็นหลายขั้ว
(multipolar)
นโยบายต่างประเทศของไทยก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าหาสหรัฐฯเกินความจำเป็น
นอกจากนี้ ยังมีนักวิเคราะห์บางท่านเห็นว่า
ระบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในอนาคตจะมีลักษณะเป็น 2 ขั้ว (Bipolar) มากกว่า
บทวิเคราะห์ของ Huntington
เป็นอีกมุมมองหนึ่งของการวิเคราะห์สภาวะแวดล้อมของโลกในอนาคต
ซึ่งจะมีผลต่อนโยบายต่างประเทศของไทยด้วย หากว่าโลกกำลังจะเป็น 2 ขั้วอำนาจ
ไทยก็ไม่สามารถที่จะเข้าไปอยู่ในโลกตะวันตกได้ เพราะไทยไม่ใช่ ตะวันตก
ตะวันตกไม่เอาไทย เพราะฉะนั้น การที่ไทยจะไปอิง (Pro) สหรัฐฯก็ไม่มีประโยชน์อะไร
นโยบายของไทยคงต้องไปหาประเทศที่ไม่ใช่ตะวันตก
แต่ถึงแม้ว่า
ความขัดแย้งระหว่างอารยธรรมจะเป็นความขัดแย้งระหว่างตะวันตกกับที่ไม่ใช่ตะวันตก
แต่ก็มีความขัดแย้งหลักอยู่ที่ตะวันตกกับอิสลามและขงจื้อ ถ้ามองในจุดนี้
ไทยจะอยู่ตรงไหน ไทยเป็นอารยธรรมพุทธ เพราะฉะนั้น ไทยจึง
เป็นตัวประกอบของความขัดแย้งหลัก ตัวเอกของเรื่องในอนาคตคือ
ฝรั่งกับกลุ่มอิสลามและจีน ไทยจึงอาจกลายเป็นอารยธรรมที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
(non-aligned civilization) ไทยไม่จำเป็นต้องไปอยู่ในศูนย์กลางของความขัดแย้ง
สรุป เมื่อมองจากกระบวนทัศน์สัจนิยมจะไม่สามารถหาข้อยุติได้
เพราะมีทั้งที่คิดว่าโลกเป็น 1 ขั้ว 2 ขั้ว และหลายขั้ว
ในการหาข้อยุติไม่ได้ก็จะส่งผลต่อนโยบายต่างประเทศของไทย เพราะไม่สามารถบอกได้ว่า
นี่คือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น
นโยบายต่างประเทศของไทยจะดำเนินไปในลักษณะที่ลดความเสี่ยง
จะมีนโยบายแบบที่เป็นกระบวนการแบบค่อยเป็นค่อยไป (incremental process) คือ
ค่อยๆปรับ จะไม่ผลีผลาม เพราะอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน
มีความไม่แน่นอนสูงมากในระบบการเมืองระหว่างประเทศ
นอกจากกระบวนทัศน์สัจนิยมแล้ว ยังมีกระบวนทัศน์ที่เรียกว่า อุดมคตินิยม
(Idealism) สำหรับสัจนิยมจะเน้นเรื่องอำนาจ ความขัดแย้ง
เรื่องการสร้างดุลยภาพแห่งอำนาจแต่อุดมคตินิยมจะเน้นเรื่องสถาบันระหว่างประเทศ
ความร่วมมือระหว่างประเทศ เพราะฉะนั้น
ถ้ามองแบบอุดมคตินิยมในการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
จะมองในแง่ดีว่าโลกกำลังมีวิวัฒนาการเปลี่ยนไป เรื่องของขั้วอำนาจเป็นเรื่องเก่า
เป็นเรื่องพ้นยุคพ้นสมัยไปแล้ว โลกปัจจุบันกำลังก้าวสู่ยุคโลกาภิวัฒน์
การเมืองระหว่างประเทศไม่ได้ถูกกำหนดขึ้นมาจากมหาอำนาจเพียงไม่กี่ประเทศ
การเมืองระหว่างประเทศในปัจจุบัน เต็มไปด้วยตัวแสดงที่หลากหลาย เช่น
สถาบันระหว่างประเทศ องค์กรระหว่างประเทศ กฎระเบียบระหว่างประเทศ
การเมืองระหว่างประเทศในอนาคตจะคล้ายการเมืองในประเทศเข้าไปทุกที
การเมืองภายในประเทศจะมีรัฐบาล สภา พรรคการเมือง การต่อสู้ของกลุ่มต่าง ๆ
ในสังคมที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมือง
ในการเมืองระหว่างประเทศในขณะนี้คล้ายๆ กับมีกึ่งรัฐบาลโลก นั่นคือ
สถาบันระหว่างประเทศ และองค์การระหว่างประเทศต่าง ๆ
แกนกลางของสถาบันระหว่างประเทศคือ สหประชาชาติ บทบาทของคณะมนตรีความมั่นคง
กฎระเบียบต่าง ๆ มติของสหประชาชาติ
สนธิสัญญาระหว่างประเทศเหล่านี้คือ สิ่งที่อุดมคตินิยมเรียกว่า
ระบอบความมั่นคงของโลก (global security regime)
ถ้ามองในแง่กระบวนทัศน์อุดมคตินิยมก็ไม่ได้มองว่าสหรัฐฯ เป็นเจ้าครองโลก
เพราะสหรัฐฯ ถูกจำกัดบทบาทโดยสถาบันระหว่างประเทศ โดยกฎระเบียบระหว่างประเทศ
สหรัฐฯไม่สามารถทำอะไรได้โดยเอกเทศ สหรัฐฯเป็นสมาชิกคนหนึ่งในสังคม
ไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก สังคมประกอบด้วยสมาชิกมากมาย มีสถาบันต่างๆ มีรัฐบาล
มีศาล มีตำรวจ ในระดับระหว่างประเทศ ก็เช่นเดียวกัน ถ้ามองในแง่นี้
ไทยก็ไม่ต้องตื่นตระหนกกับบทบาทของมหาอำนาจเกินไป
เพราะสหรัฐฯก็จะถูกจำกัดบทบาทโดยระบอบระหว่างประเทศ ไทยไม่จำเป็นต้อง pro
สหรัฐฯมากเกินความจำเป็น เพราะในที่สุดแล้วบทบาทของสหรัฐฯก็ไม่ได้อยู่ตลอดไป
แนวความคิดสัจจนิยมและอุดมคตินิยมมีอิทธิผลต่อแนวคิดของผู้กำหนดนโยบายต่างประเทศของไทย
โดยเฉพาะสัจนิยม ซึ่งเป็นกระบวนทัศน์หลักของผู้กำหนดนโยบายต่างประเทศของประเทศต่างๆ
ในสายตาของผู้กำหนดนโยบายต่างประเทศของไทยจะมองโลกด้วยสายตาของสัจนิยม
การมองโลกแบบอุดมคตินิยมเป็นเสียงข้างน้อยในกลุ่มของผู้ที่มีส่วนในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ
แต่อีกกระบวนทัศน์คือ มาร์กซิสม์ (Marxism)
กลุ่มนี้ไม่สามารถมีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายต่างประเทศของไทย
แต่จะมีอิทธิพลในกลุ่มนักวิชาการ กลุ่มนี้จะคอยวิพากษ์วิจารณ์
นโยบายต่างประเทศของรัฐบาล
จะมองว่านโยบายต่างประเทศของไทยตกอยู่ในอำนาจของกลุ่มชนชั้นผู้ปกครอง นายทุน
ประชาชนไม่มีสิทธิมีเสียงในการเข้าไปร่วมหรือมีสิทธิวิพากษ์วิจารณ์
ในการมองวิเคราะห์สภาวะแวดล้อมทางการเมืองระหว่างประเทศ
ก็จะมองในแง่ปัจจัยทางเศรษฐกิจเป็นหลัก คือบทบาทของสหรัฐฯ มหาอำนาจต่างๆ
ทำไปเพื่อครอบครองโลก โดยชนชั้นทุนนิยม
โดยเอานโยบายต่างประเทศเป็นเครื่องมือของการขยายอิทธิพล
การกดขี่ชนชั้นแรงงานในประเทศที่ยากจนต่างๆ
ถ้ามองในแง่ของมาร์กซิสม์หรือนักวิชาการฝ่ายซ้าย
แน่นอนคือนโยบายต่างประเทศของไทยต้องต่อต้านสหรัฐฯ เพราะสหรัฐฯเป็น หัวโจก
ของลัทธิทุนนิยม จักรวรรดินิยม
แต่โลกทัศน์ของผู้กำหนดนโยบายต่างประเทศของไทยไม่มีความเชื่อหรือศรัทธาในกระบวนทัศน์มาร์กซิสม์
ดังนั้น อิทธิพลของแนวคิดแบบสัจจนิยมจะมีมากที่สุด
ช่วงก่อนสงครามเย็น-1960
ช่วงทศวรรษ 1970-1990
ความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ ในยุควิกฤติเศรษฐกิจ
ท่าทีไทยในช่วงหลังเหตุการณ์ 11 กันยาฯ
ยุทธศาสตร์ของรัฐบาลทักษิณ
ไทยกับสงครามอิรัก
ทักษิณเยือนสหรัฐฯ
ทหารไทยในอิรัก
Bush เยือนไทย
สถานะพันธมิตรนอกนาโต้
สถานการณ์ความสัมพันธ์ล่าสุด
การเจรจาเขตการค้าเสรีไทย-สหรัฐฯ
สหรัฐฯต้องการอะไร
ไทยต้องการอะไร
การเจรจา
ผลเสียของ FTA ไทย-สหรัฐฯ
ผลดีของการทำ FTA ไทย-สหรัฐฯ
ยุทธศาสตร์การเจรจา FTA ไทย-สหรัฐฯ
สภาวะแวดล้อมระหว่างประเทศ
ประเด็นปัญหาความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ
สหรัฐอเมริกา : ภัยหรือโอกาสต่อไทย
อนาคตของความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐอเมริกา
ทางเลือกนโยบายไทยต่อสหรัฐฯ (Policy Options)
นโยบายสายกลาง
บทสรุป