ปรัชญา อภิปรัชญา ญาณวิทยา จิตวิทยา ตรรกศาสตร์ >>
ความจริง
ธีรวัส บำเพ็ญบุญบารมี ผู้อำนวยการโครงการอนุรักษ์คัมภีร์ มหาบัณฑิตสาขาวิชาพุทธศาสน์ศึกษา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
มีปัญหาที่ถกเถียงกันมาตลอดว่าพระพุทธศาสนามีแนวคิดใกล้เคียงกับอภิปรัชญาใดมากที่สุดเป็นธรรมชาตินิยม
สัจจนิยม จิตตนิยม สสารนิยม หรือเหตุผลนิยม
มีนักปรัชญาพุทธหลายท่านพยายามตอบคำถามนี้
ซึ่งแต่ละประเด็นเป็นสิ่งที่ควรศึกษาค้นคว้า
พระพุทธศาสนานั้นมีคำสอนหลายอย่างที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกับปรัชญา
และปรัชญาก็มีเนื้อหาหลายส่วนที่มีอยู่ในพระพุทธศาสนา
ดังนั้นจึงมีการนำเสนอแนวคิดที่หลากหลายเนื่องจากแนวคิดของปรัชญาตะวันตกกับพระพุทธศาสนานั้น
มีกำเนิดต่างกันปรัชญาตะวันตกส่วนหนึ่งมาจากพื้นฐานความเชื่อเรื่องการมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า
ดังนั้นการอธิบายหลักการต่างๆจึงมักจะสิ้นสุดลงที่พระเจ้า
ส่วนพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประเภทอเทวนิยม(Atheism)คือไม่ยอมรับการมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า
ดังนั้นการอธิบายหลักการต่างๆ จึงไม่ขึ้นอยู่กับพระเจ้า
แต่ขึ้นอยู่กับมนุษย์และธรรมชาติ พระพุทธศาสนายอมรับความจริงแท้
ซึ่งอยู่ในขอบข่ายของอภิปรัชญา แต่แตกต่างไปจากปรัชญาตะวันตก
มีปัญหาถกเถียงกันมากว่าพระพุทธศาสนามีทัศนะใกล้เคียงกับอภิปรัชญาใดมากที่สุด
เป็นธรรมชาตินิยม สัจจนิยม จิตตนิยม สสารนิยมหรือเหตุผลนิยมตามหลักปรัชญาตะวันตก
ปัญหาที่ว่าความจริงแท้คืออะไรนั้นหากตอบตามทัศนะของปรัชญาความจริงแท้เทียบได้กับคำว่าอันติมสัจจะ(Ultimate
Reality) ในทางปรัชญาหมายถึงความเป็นจริงขั้นสูงสุด
(ราชบัณฑิตยสถาน,พจนานุกรมศัพท์ปรัชญาฉบับราชบัณฑิตสถาน,พิมพ์ครั้งที่ 4,
กรุงเทพฯ:ราชบัณฑิตยสถาน,2548, หน้า 101.)
ในแต่ละสำนักทางปรัชญาหรือศาสนามีคำตอบไม่เหมือนกันเช่นทาเลสคือน้ำในศาสนาฮินดูคือปรมาตมัน
ในพระพุทธศาสนาสัจจะหรือความจริงมีสองอย่างตามที่แสดงไว้ในอรรถกถา
อังคุตตรนิกายว่า
พระสัมพุทธเจ้าเป็นยอดของผู้กล่าวสอนทั้งหลายได้ตรัสสัจจะสองอย่างคือสมมติสัจจะ
และปรมัตถสัจจะไม่ตรัสสัจจะที่สาม คำที่ชาวโลกหมายรู้กันก็เป็นสัจจะ
เพราะมีโลกสมมติเป็นเหตุ
คำที่ระบุถึงสิ่งที่เป็นปรมัตถ์ก็เป็นสัจจะเพราะมีความจริงของธรรมทั้งหลายเป็นเหตุ
เพราะฉะนั้นมุสาวาทจึงไม่เกิดแก่พระโลกนาถผู้ศาสดาผู้ฉลาดในโวหาร ผู้ตรัสตามสมมติ
(องฺ. อรรถกถา. 1/185.)
สมมุติสัจจะคือความจริงโดยสมมุติ ความจริงที่ขึ้นต่อการยอมรับของคน
ความจริงที่ถือตามความกำหนดหมายตกลงกันไว้ของชาวโลกเช่นว่าคนสัตว์
โต๊ะเก้าอี้เป็นต้น
ปรมัตถสัจจะ ความจริงโดยปรมัตถ์ ความจริงที่มีอยู่ในธรรมชาติ
โดยไม่ขึ้นต่อการยอมรับของคน
ความจริงตามความหมายขั้นสุดท้ายที่ตรงตามสภาวะและเท่าที่จะกล่าวถึงได้เช่นว่า รูป
นาม เวทนา จิต เจตสิก เป็นต้น (พระพรหมคุณาภรณ์,พจนานุกรมพุทธศาสตร์,พิมพ์ครั้งที่
13,กรุงเทพ ฯ: เอส.อาร์.พริ้นติ้ง แมสโปรดักส์,2548,หน้า 75.)
ในพระพุทธศาสนาแสดงความจริงอันประเสริฐไว้ว่าอริยสัจสี่อันประกอบด้วยทุกข์ สมุทัย
นิโรธ มรรค ดังคำกล่าวยืนยันว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขอริยสัจ คือ
ความเกิดก็เป็นทุกข์ ความแก่ ก็เป็นทุกข์ ความเจ็บไข้ก็เป็นทุกข์
ความตายก็เป็นทุกข์ ความประจวบด้วยสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์
ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักก็เป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์
โดยย่นย่อ อุปาทานขันธ์ 5 เป็นทุกข์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขสมุทัยอริยสัจ คือตัณหาอันทำให้เกิดอีก
ประกอบด้วยความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิน มีปกติเพลิดเพลินในอารมณ์นั้นๆ คือ
กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขนิโรธอริยสัจ คือ
ตัณหานั่นแลดับ โดยไม่เหลือด้วยมรรคคือวิราคะ สละ สละคืน ปล่อยไป ไม่พัวพัน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ คือ
อริยมรรคมีองค์ 8 คือปัญญาอันเห็นชอบ ความดำริชอบ เจรจาชอบ การงานชอบ
เลี้ยงชีวิตชอบ พยายามชอบ ระลึกชอบ ตั้งจิตชอบ (วิ.มหา 4/13/16)
ความจริงแท้ในพระพุทธศาสนาจึงมิใช่สิ่งเดียวแต่เป็นทั้งตัวปัญหา สาเหตุ
การแก้ปัญหา และวิธีการในการแก้ปัญหา
เมื่อกระทำให้สิ้นสุดตามกระบวนการแล้วจึงเข้าสู่ภาวะแห่งการตรัสรู้ดังที่พระองค์ยืนยันว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อใดแล ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงของเรา ในอริยสัจสี่นี้
มีรอบสาม มีอาการ 12 อย่างนี้ หมดจดดีแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อนั้น
เราจึงยืนยันได้ว่าเป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ อันยอดเยี่ยมในโลก
พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์
อนึ่ง ปัญญาอันรู้เห็นได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า ความพ้นวิเศษของเราไม่กลับกำเริบ
ชาตินี้เป็นที่สุด ภพใหม่ไม่มีต่อไป (วิ.มหา. 4/16/18)
อริยสัจจ์ตรงตามความหมายของความจริงแท้ในที่นี่
พร้อมทั้งแสดงวิธีการในการเข้าถึงความจริง จึงเป็นอภิปรัชญาคือทุกขสัจจ์
ร้อมทั้งสาเหตุเกิดคือสมุทัย ญานวิทยาคือมรรคมีองค์ 8
นิโรธความดับทุกข์ได้นั้นจึงเป้นความจริงแท้ที่พระพุทธศาสนาเรียกว่า
นิพพานคือภาวะที่จิตรู้ตามความเป็นจริงแล้วเข้าสู้การรู้แจ้ง นิพพานรู้ได้ยาก
ดังที่พระพุทธเจ้าหลังจากตรัสรู้ใหม่ๆก็ทรงใคร่ครวญว่า บัดนี้
เรายังไม่ควรจะประกาศธรรมที่เราได้บรรลุแล้วโดยยาก
เพราะธรรมนี้อันสัตว์ผู้อันราคะและโทสะครอบงำแล้วไม่ตรัสรู้ได้ง่าย
สัตว์ผู้อันราคะย้อมแล้ว ถูกกองอวิชชาหุ้มห่อแล้ว จักไม่เห็นธรรมอันละเอียดลึกซึ้ง
ยากที่จะเห็น ละเอียดยิ่ง อันจะยังสัตว์ให้ถึงธรรมที่ทวนกระแสคือนิพพาน
(วิ.มหา.4/7/9)
ส่วนความจริงแท้อีกอย่างหนึ่งแสดงไว้ในอภิธรรมเรียกว่าปรมัตถธรรม
คือสภาวะที่มีอยู่โดยปรมัตถ์ สิ่งที่เป็นจริงโดยความหมายสูงสุดได้แก่ จิต เจตสิก
รูป นิพพาน ความจริงแท้ในพระพุทธศาสนาจึงสรุปลงที่รูปนาม