วิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา >>
กัญชง
กัญชง เป็นพืชที่เดิมนักวิทยาศาสตร์ได้จัดให้อยู่ในวงศ์ตำแย
(Urticaceae)
แต่ต่อมาภายหลังพบว่ามีคณสมบัติและลักษณะเฉพาะหลายประการที่ต่างออกไปมากจากพืชในกลุ่มตำแย
จึงได้รับการจำแนกออกเป็นวงศ์เฉพาะ คือ Cannabidaceae
กัญชง (Cannabis sativa L. subsp. Indica (Lam) E.Small &
Cronguist) มีต้นกำเนิดมาจากพืชชนิดเดียวกัน
ลักษณะภายนอกหรือสัณฐานวิทยาของพืชทั้งสองชนิดนั้นจึงไม่แตกต่างกัน
หรือมีความแตกต่างกันน้อยมากจนยากในการจำแนก
แต่จากการที่พืชทั้งสองชนิดนี้มีการใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวางมาเป็นระยะเวลานาน
จึงทำให้มีการคัดเลือกพันธุ์เพื่อให้ได้สายพันธุ์ที่มีคุณสมบัติดี
และเหมาะสมที่สุดตรงตามวัตถุประสงค์ของการใช้ประโยชน์
ทำให้เห็นความแตกต่างกันชัดเจนมากขึ้นของต้นกัญชาที่เป็นยาเสพติด และกัญชา
กัญชา-กัญชง
กัญชา
เป็นคำใช้เรียกทั่วไปกับพืชต้นที่ใช้เป็นยาเสพติด ส่วนคำว่า กัญชง
เป็นคำเรียกที่ใช้กับต้นพืชที่ใช้ประโยชน์ในการผลิตเส้นใย
คำว่า กัญชา เป็นคำเรียกเดิมที่มาจากภาษาอินเดีย
ซึ่งชาวพื้นบ้านของอินเดียได้นำพืชชนิดนี้ไปใช้ประโยชน์กันหลาย
ทั้งการเสพติดและเป็นเส้นใยมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์
จากนั้นได้มีผู้นำมากระจายพันธุ์ยังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนถึงอินโดนีเซีย
หมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก และประเทศเขตร้อนและเขตอบอุ่นของโลก
กัญชา-กัญชง เป็นพืชเดิมที่พบในเขตอบอุ่นของทวีปเอเชีย
สันนิษฐานว่ามีการกระจายพันธุ์เป็นบริเวณกว้างทางตอนกลางของทวีป ได้แก่
พื้นที่ทางตอนใต้ของแคว้นไซบีเรีย ประเทศเปอร์เซีย ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย
บริเวณแคชเมียร์และเชิงเขาหิมาลัย
และประเทศจีนได้รับการบันทึกไว้ในเอกสารเก่าหลายเล่มว่าเป็นพืชที่มีการปลูกใช้ประโยชน์ที่เป็นทั้งพืชยาเสพติดและพืชให้เส้นใยมาแต่ดึกดำบรรพ์
ในปี 960-1279 ก่อนคริสตศักราช
ได้มีบันทึกว่าประเทศจีนมีการปลูกกัญชงเพื่อเป็นพืชใช้ทำเส้นใย
ขณะที่สมัยโรมันได้มีการนำพืชชนิดนี้จากทวีปเอเชียเข้าไปปลูกในประเทศอิตาลี
แล้วหลายไปในทวีปยุโรปและทั่วโลก
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
กัญชา-กัญชง เป็นพืชล้มลุกมีอายุเพียงปีเดียว
ลำต้นตั้งตรงสูงประมาณ 1-6 เมตร
-
ใบ เป็นใบเดี่ยวรูปฝ่ามือ แผนใบแก่แยกเป็นแฉก 5-7 แฉก ขอบใบจักเป็นฟันเลื่อยและเว้าลึกจนถึงโคนใบปลายใบสอบ เรียวแหลม ผิวใบด้านบนมีสีเข้มกว่าด้านล่าง ก้านใบยาว 2-7 เซนติเมตร
-
ดอก มีขนาดเล็กสีขาว ขนาดผ่าศูนย์กลาง 2-4 มิลลิเมตร แยกเพศและอยู่ต่างต้น ออกเป็นช่อ ตามซอกใบและปลายยอด ช่อดอกและใบของต้นเพศผู้จะจัดเรียงตัวกันห่างๆต่างจากต้น เพศเมียที่เรียงชิดกันเป็นกลุ่มชัดเจน
-
ผล เป็นเมล็ดแห้ง สีเทา รูปไข่ ส่วนปลายเป็นมุมแหลมกว้าง ผิวเรียบเป็นมันและมีลายประสีน้ำตาลขนาดประมาณ 3-4 มิลลิเมตร ภายในมีอาหาร
ข้อสังเกตบางประการในในการจำแนกกัญชาและกัญชง
-
ต้นกัญชงจะสูงใหญ่กว่าต้นกัญชา มีความสูงมากกว่า 2 เมตร ใบกัญชงจะมีขนาดใหญ่กว่า มีการเรียงสลับของใบค่อนข้างห่างกันชัดเจน และไม่มียางเหนียวติดมือ
-
กัญชา ลำต้นมักสูงไม่เกิน 2 เมตร ใบเล็กกว่ากัญชงเล็กน้อย ใบเรียงตัวชิดกันหรือเรียงเวียน โดยเฉพาะใบประดับบริเวณช่อดอกจะเห็น
การปลูกกัญชงและการเก็บเกี่ยว
กัญชง ขึ้นได้ในดินทุกชนิดสามารถเติบโตได้ดีในทุกสภาพอุณหภูมิ
แต่ขึ้นได้ดีที่สุดในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูงและอุณหภูมิระหว่าง 14-27
องศาเซลเซียส ในช่วงเวลาเพาะปลูก 6
สัปดาห์แรกต้นกล้ามีความต้องการปริมาณน้ำหรือน้ำฝนจึงจะเจริญเติบโตได้ดี
โดยกัญชงจะปลูกระหว่างต้นเดือนมีนาคมถึงปลายเดือนพฤษภาคม
ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับพื้นที่และปริมาณน้ำฝนในแต่ละภูมิภาค
โดยทั่วไปกัญชงจะทนต่อสภาพแห้งแล้งได้ในระดับหนึ่ง
แต่หากมีความแห้งแล้งมากจะทำให้ผลผลิตน้อยลง
เมล็ดขึ้นได้ในดินร่วนซุย
และมีธาตุอาหารอุดมสมบูรณ์ความลึกของการฝังเมล็ดที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 2-4
เซนติเมตร โดยมีระยะห่างระหว่างแถว 6-15 เซนติเมตร จะงอกขึ้นได้ภายใน 8-14 วัน
จากนั้นต้นกล้าจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เพียง 90-120 วัน ก็จะให้ดอกติดเมล็ด
สามารถเก็บเกี่ยวนำไปใช้ประโยชน์ได้โดยปกติอัตราของเมล็ดต่อพื้นที่ที่เหมาะสม
ประมาณ 6-20 กิโลกรัมต่อไร่ หรือ 200-750 ตันต่อตารางเมตร
การเก็บเกี่ยวกัญชงของชาวเขาทางภาคเหนือ
นิยมใช้เส้นใยจากลำต้นของต้นเพศผู้ที่ออกดอกใหม่ มีอายุระหว่าง 3-4 เดือน
เนื่องจากจะเป็นช่วงที่เส้นใยมีความเหนียวที่สุด
เบาและเป็นสีขาวเหมาะสำหรับการใช้เป็นเส้นใยทอผ้า ซึ่งชาวเขาเผ่าต่างๆ
ทางภาคเหนือของประเทศไทยรู้จักกันดีและเรียกต้นพืชเพศผู้นี้ว่า กัญชง
ประโยชน์จากเส้นใยของกัญชง
เส้นใยกัญชงเป็นเส้นใยที่มีคุณภาพสูง มีความยืดหยุ่น
แข็งแรงและทนทานสูงสามารถใช้เป็นวัตถุดิบในการทำผลิตภัณฑ์จากเส้นใยได้กว่า 5,000
ชนิด ตั้งแต่เชือกจนถึงเส้นใยที่ละเอียด ส่วนเส้นใยคุณภาพต่ำหรือกากเส้นใย
ซึ่งประกอบไปด้วยเซลลูโลสกว่า 77 เปอร์เซ็นต์ นั้น
สามารถใช้ในการทำผลิตภัณฑ์ต่างๆกว่า 25,000 ชนิด
นับตั้งแต่เป็นส่วนผสมของดินระเบิดหรือ ไดนาไมท์ จนถึงการทำแผ่นเยื่อบางเซลโลเฟน
อย่างไรก็ตาม ความต้องการของตลาดเส้นใยกัญชงในปัจจุบันนี้มีอยู่ 2 ประการ คือ
ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตผ้าและกระดาษ
ในการเปรียบเทียบปริมาณเส้นใยจากการปลูกกัญชงและการปลูกฝ้ายในระยะเวลา 1 ปี
เท่าๆกัน พบว่า การปลูกกัญชง 10 ไร่ จะให้ผลผลิตผลเส้นใยเท่ากับการปลูกฝ้าย 20-30
ไร่ ซึ่งเส้นใยจากกัญชงนี้จะมีคุณภาพดีกว่าเส้นใยจากฝ้าย โดยเส้นใยกัญชงจะยาวเป็น 2
เท่าของเส้นใยฝ้าย มีความแข็งแรงและความนิ่มของเส้นใยมากกว่าฝ้าย
จากข้อดีของเส้นใยกัญชงจะเห็นได้ว่า
ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากเส้นใยกัญชง 100 เปอร์เซ็นต์ เช่น เสื้อเชิ้ต
กางเกง กระเป๋า ฯลฯ
การใช้ทำเสื้อผ้า ถึงแม้ว่าเส้นใยกัญชงจะให้ผ้าที่เกิดรอยยับง่าย
แต่ลักษณะของเส้นใยที่สามารถลอกอออกเป็นชั้นๆ คล้ายหัวหอม
สามารถนำมาผลิตเป็นผ้าบางได้เท่าที่ต้องการ และยังสามารถซักด้วยเครื่องซักผ้าได้
โครงสร้างของเส้นใยทำให้ผ้าที่สวมใส่เย็นสบายในฤดูร้อน
อบอุ่นและสบายในฤดูหนาวและคุณสมบัติของเส้นใยที่แข็งแรงกว่าผ้าฝ้าย
ดูดซับความชื้นได้ดีกว่าไนลอน อบอุ่นกว่าลินิน ทั้งยังเบาสวมใส่สบาย
ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้เส้นใยกัญชงเริ่มเข้ามาเป็นคู่แข่งที่สำคัญของตลาดเส้นใยธรรมชาติ
ประโยชน์จากโปรตีนในเมล็ดกัญชง
เมล็ดกัญชง
ประกอบด้วยโปรตีนซึ่งมีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าโปรตีนจากถั่วเหลือง
มีปริมาณสูงและราคาถูกกว่าโปรตีน
ในเมล็ดกัญชงสามารถนำมาใช้ทดแทนผลิตภัณฑ์ทีทำมาจากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้
โปรตีนเกษตร เนย ชีส น้ำมันสลัด ไอศกรีม และนม ฯลฯ
นอกจากนี้เรายังสามารถนำเมล็ดกัญชงมาผลิตแป้งเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับการประกอบอาหาร
เช่น พลาสต้า คุกกี้ ขนมปัง ฯลฯ
ประโยชน์จากน้ำมันในเมล็ดกัญชง
นอกจากส่วนของโปรตีนในเมล็ดของกัญชงที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้แล้ว
น้ำมันในเมล็ดกัญชงยังให้กรดไขมัน Omega-3
ซึ้งเป็นกรดไขมันที่มีอยู่ในน้ำมันจากปลาและกัญชงเท่านั้น
ผลจากการศึกษาหลายชิ้นบ่งบอกว่า ผู้ที่บริโภคปลาและอาหารที่มีกรดไขมัน Omega-3
จะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจต่ำกว่าบุคคลทั่วไป และจากการวิจัยของ Professor
Andrew Weil คณะแพทย์ศาสตร์ มหาลัยอริโซนา สหรัฐอเมริกา พบว่า การบริโภค Omega-3
ยังช่วยลดอัตราการเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งอีกด้วย
ประโยชน์ทางด้านสิ่งแวดล้อม
การเพาะปลูกกัญชงเมื่อเทียบกับฝ้าย
จะเห็นได้ว่าฝ้ายต้องการอุณหภูมิที่เหมาะสม
และต้องการน้ำในปริมาณที่มากกว่าการเพาะปลูกกัญชง
นอกจากนี้ฝ้ายยังต้องใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชในปริมาณสูงซึ่งนักวิชาการเกษตรพบว่า
ปริมาณ 20 เปอร์เซ็นต์
ของสารป้องกันศัตรูพืชที่ใช้อยู่ในโลกนำไปใช้ในการป้องกันกำจัดศัตรูฝ้าย
ซึ่งเป็นอัตรายต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะสุขภาพของมนุษย์และสัตว์
ในขณะที่การปลูกกัญชงไม่จำเป็นต้องใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช
จะใช้เพียงปุ๋ยและน้ำในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น
นอกจากนี้ยังพบว่าการปลูกกัญชงยังเป็นการปรับปรุงคุณภาพของดินที่เพาะปลูกกัญชงอีกด้วย
การปลูกเพื่อใช้ประโยชน์ในการทำกระดาษจะเป็นตัวอย่างด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจน
พืชที่ใช้ทำกระดาษคุณภาพดี อาทิ สน ยูคาลิปตัสและปอกกระสา ล้วนเป็นพืชยืนต้น
การเจริญเติบโตช้ามากเมื่อเทียบกับกัญชง กว่าจะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้
ต้องปลูกเป็นลักษณะสวนป่า ใช้เวลานานเป็นปี ปอกระสาประมาณไม่น้อยกว่า 3 ปี
ยูคาลิปตัสและสนประมาณ 6-8 ปี การปลูกก็ต้องใช้พื้นที่มาก
และเมื่อตัดไม้แล้วจะฟื้นคืนคุณภาพพื้นที่ได้ยาก
ปลูกซ้ำได้ไม่กี่ครั้งเพราะจะมีเหง้าหรือตออยู่ ทำให้ดูเป็นลักษณะทำลายสิ่งแวดล้อม
ส่วนกัญชงจะสามรถปลูกซ้ำในพื้นที่เดิมได้โดยต่อเนื่อง
ไม่ต้องการมีการดูแลรักษาหรือจัดการพื้นที่มาก
ตลอดจนการเก็บผลผลิตและค่าใช้จ่ายในการแปรรูป และการขนส่งต่างๆ ก็สะดวกมาก
นอกจากนี้ยังสามารถดำเนินการได้โดยกลุ่มชาวบ้านทั่วๆไป ในการทำเป็นเชิงธุรกิจ
ค่าใช้จ่ายในการลงทุนและกำไรจึงจะต่างกันเป็นจำนวนมหาศาล
ในอนาคตทรัพยากรพืชของประเทศจะขาดแคลนมากขึ้น
พืชเส้นใยและเยื่อกระดาษจะเป็นอีกวัตถุดิบหนึ่ง
ที่ประเทศไทยจะมีการใช้เพิ่มขึ้นอย่างมากและจะขาดแคลน
โดยในขณะนี้ก็มีการสั่งซื้ออย่างมากและจะขาดแคลน
โดยในขณะนี้ก็มีการสั่งซื้อเยื่อกระดาษจากต่างประเทศ คือ ประเทศจีน และประเทศแคนาดา
เป็นเงินประมาณหลายพันล้านบาทต่อ ปี
กัญชงจะเป็นพืชหลักอีกชนิดหนึ่งที่จะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้
และจะสามารถทำรายได้ให้กับประเทศอย่างมหาศาล
เพราะเป็นพืชอายุสั้นปลูกได้หลายครั้งต่อปี
ใช้ทุนน้อยและไม่ต้องมีการดูแลรักษามากไม้ต้องการดินดี และพื้นที่กว้างมาก
อีกทั้งยังเป็นพืชที่สามารถปลูกได้ซ้ำในพื้นที่เดิม จึงจะช่วยลดการตัดไม้ทำลายป่า
และรักษาสิ่งแวดล้อมไว้ได้อีกส่วนหนึ่งด้วย
ในปัจจุบันกัญชงจัดเป็นพืชห้ามปลูกตามกฎหมาย
ยกเว้นเพื่อการศึกษาค้นคว้าวิจัยที่ต้องตามกฎหมาย
ยกเว้นเพื่อการศึกษาค้นคว้าวิจัยที่ต้องขออนุญาตพิเศษ แต่ในหลายประเทศ เช่น
แคนาดาและจีน จัดเป็นพืชเศรษฐกิจชนิดหนึ่งของประเทศ
เนื่องจากมีคุณสมบัติพิเศษหลายประการ คือ
การให้เส้นใยที่มีคุณภาพสูงจำนวนมากและในระยะเวลาสั้นสามารถนำไปถักทอเสื้อผ้า เชือก
กระสอบ ทำกระดาษ หรือเครื่องใช้ต่างๆ เมล็ดเป็นอาหารคน และนก
และยังให้น้ำมันและโปรตีน ซึ่งสามารถนำไปผลิตเป็นน้ำมันซักแห้ง สบู่ เครื่องสำอาง
หรือแม้กระทั่งเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง โดยเฉพาะประโยชน์ด้านเส้นใย
เพื่อผลิตเสื้อผ้าสวมใส่ หรือที่เรียกว่าผ้าใยกัญชง
และยังมีแนวโน้มที่จะทวีความสำคัญเพิ่มขึ้นในตลาดโลกอีกมาก
ประเทศไทยยังมีข้อมูลจริงของกัญชงน้อยมาก
ส่วนใหญ่จะได้จากเอกสารอ้างอิงของต่างประเทศ
และเนื่องจากสภาพทางกายภาพของพื้นที่และชนิดพันธุ์ที่เหมาะสมสหรับปลูกในประเทศไทย
จะต่างกับของต่างประเทศ จึงต้องมีการศึกษาข้อมูลด้านต่างๆของกัญชง
ที่ปลูกในประเทศไว้โดยละเอียดทั้งด้านกรรมวิธีการปลูกให้ได้ผลผลิตสูงสุด
และข้อมูลเชิงปริมาณและคุณภาพ ด้านสารเคมี น้ำมันในเมล็ด
การให้เส้นใยและเยื่อหรือประโยชน์ในลักษณะอื่นๆอันจะเป็นข้อมูลพื้นฐานสำคัญ
สำหรับรองรับการพัฒนาให้กัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจอุตสาหกรรมอีกชนิดหนึ่งสำหรับประเทศในอนาคต
อ้างอิง :
คัดลอกมาจาก วารสารนนทรี โดย คุณวีระชัย ณ นคร
ผู้อำนวยการองค์การสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อำเภอแม่ริม
จังหวัดเชียงใหม่