ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ บุคคลสำคัญ ประเทศและทวีป >>
ประวัติศาสตร์การโรงแรมของเมืองไทย
ในครั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี
กรุงศรีอยุธยาจนถึงสมัยกรุงธนบุรี ประวัติศาสตร์ก็ได้บันทึกไว้ว่า
ประชาชนชาวสยามได้มีการติดต่อการค้าพาณิชย์กับชาวยุโรปและจีน ตลอดจนทางการทูต,
การเมือง, การทหาร และอื่น ๆ มาก่อน ซึ่งการเดินทางการค้าขายต่าง ๆ
เหล่านี้ได้มีการเดินทางจากที่หนึ่งไปสู่ที่อื่น ๆ อยู่มาก การเดินทางต่าง ๆ
เหล่านี้ หากเป็นพ่อค้าพาณิชย์ธรรมดา
การเดินทางก็จะอาศัยที่พักกลางทางหรือวัดวาอารามต่าง ๆ
และหากเป็นนักการทูตหรือพระเจ้าแผ่นดินแล้ว ส่วนใหญ่จะพักอาศัยอยู่ตามจวนเจ้าเมือง
หรือบ้านเศรษฐีคหบดี หรือบ้านญาติต่าง ๆ ที่คุ้นเคยกัน
และการเดินทางติดต่อการค้าต่าง ๆ เหล่านี้ ได้มีการบันทึกไว้มากมาย
สมัยกรุงศรีอยุธยา
จากจดหมายเหตุลาลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศส ได้เข้ามากรุงศรีอยุธยาราว
พ.ศ. 2229 (ค.ศ. 1687)
ได้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศไทยและได้กล่าวถึงการรับรองแขกเมืองในหนังสือจดหมายเหตุลาลูแบร์
เรื่องราวที่เกี่ยวกับอาณาจักรสยาม
ที่มีบ้านพักสำหรับราชทูตสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ทรงเรียบเรียงเรื่องการรับทูตต่างประเทศสมัยกรุงศรีอยุธยา ไว้ดังนี้คือ
ว่าด้วยประเพณีการรับทูตต่างประเทศ
ตามที่สังเกตเห็นในจดหมายเหตุครั้งกรุงเก่าตั้งแต่ทูตเข้ามาถึงในพระราชอาณาเขต
การกินอยู่เป็นของหลวงทั้งสิ้น เห็นจะเป็นด้วยเหตุนี้ จึงเรียกว่า แขกเมือง
เมื่อมีทูตเข้าถึงโดยเฉพาะที่เป็นราชทูต จำทูลพระราชสาสน์
จำต้องให้ทูตพักอยู่ที่ปลายแดนก่อน เพื่อตระเตรียมการรับรองหลาย ๆ วัน
ถ้าทูตมาทางทะเลก็ต้องคอยอยู่ที่ปากน้ำ
เพราะทางในกรุงจะต้องจัดเรือกระบวนลงไปรับพระราชสาสน์ และทูตานุทูตแห่ขึ้นมา
ทั้งจะต้องจัดหอพระราชสาสน์ และที่สำนักทูตตามระยะทาง คือ
ที่เมืองสมุทรปราการแห่งหนึ่ง ที่เมืองพระประแดงแห่งหนึ่ง ที่เมืองธนบุรีแห่งหนึ่ง
ที่เมืองนนทบุรีแห่งหนึ่ง ที่เมืองปทุมธานีแห่งหนึ่ง
ที่ขนอนหลวงใต้วัดโปรดสัตว์อีกแห่งหนึ่ง
ในเวลาที่ทูตคอยอยู่ที่ฝั่งน้ำนั้นมีเจ้าพนักงานลงไปเยี่ยมเยียนและส่งสิ่งของเสบียงอาหารไปเลี้ยงดู
ครั้นเมื่อรับขึ้นมาถึงสำนักตามระยะทางก็มีข้าราชการไปต้อนรับทักทายทุกระยะ
จนกระทั่งถึงขนอนหลวงใต้วัดโปรดสัตว์ ถึงนั่นแล้วก่อนที่จะเข้าไปในกรุง
ทูตยังต้องคอยอยู่ที่ขนอนหลวงอีกหลายวัน เพราะต้องแปลพระราชสาสน์
ตรวจทำบัญชีสิ่งของเครื่องราชบรรณการ
และตระเตรียมตกแต่งถนนหนทางในพระนครรับแขกเมือง
และหาฤกษ์วันดีที่จะเสด็จออกรับแขกเมืองด้วย
เมื่อถึงกำหนดจึงจัดเรือกระบวนแห่พร้อมด้วยเรือข้าราชการเป็นกระบวนใหญ่ลงมารับพระราชสาสน์
ทั้งทูตานุทูต และเครื่องราชบรรณาการ แห่เข้าพระนครไปขึ้นที่ท่าประตูไชย
อยู่ตรงข้ามกับวัดพุทไธสวรรย์ เชิญพระราชสาสน์ขึ้นราชรถ
ทูตานุทูตขึ้นเสลี่ยงบ้างตามหามบ้าง ขี่ม้าบ้าง
ตามแต่บรรดาศักดิ์กระบวนช้างม้าและพลเดินเท้าแห่ไปยังพระราชวังให้ราชทูตพักคอยอยู่
ที่ศาลาลูกขุน
จากเรื่องราวเกี่ยวกับลัษณะการพักแรมในเมืองไทยจากจารึกและจดหมายต่าง ๆ
ที่ปรากฏในหลักฐานที่ยังคงหาได้พอที่จะสรุปได้ดังนี้ คือ
สมัยอยุธยา-รัตนโกสินทร์ตอนต้น
ได้มีการสร้างที่พักแรมชั่วคราว
คงมีเพียงศาลาสำหรับคนเดินทางทั่วไป หรือผู้เดินทางอาจจะไปอาศัยบ้านญาติของตน
ถ้าเป็นผู้มีบรรดาศักดิ์สูงหรือแขกเมืองก็จะไปเข้าพักในวัง
หรือจัดเรือนรับรองให้ใหม่เป็นสัดส่วน โดยเน้นแขกของผู้ครองนครนั้น ๆ เป็นต้น
สมัยรัชกาลที่ 4
สมัยรัชกาลที่ 5
สมัยรัชกาลที่ 6 (พ.ศ.2453-พ.ศ. 2468)
สมัยรัชกาลที่ 7 (พ.ศ. 2468- พ.ศ. 2477)
สมัยรัชกาลที่ 8 (พ.ศ. 2477-พ.ศ. 2489)
สมัยรัชกาลที่ 9 (พ.ศ. 2489)
โรงแรมโอเรียลเต็ล (สมัยรัชกาลที่6สมัยรัชกาลที่ 8)