ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ บุคคลสำคัญ ประเทศและทวีป >>
การศึกษาประวัติศาสตร์และโบราณคดีภาคใต้
ตัวอย่างการศึกษาประวัติศาสตร์และโบราณคดีชุมชนโคกพลับ
สภาพชีวิตของคนในชุมชนโบราณโคกพลับ
สิ่งที่ขุดค้นพบที่โคกพลับ ตำบลโพหัก
ตัวอย่างการศึกษาประวัติศาสตร์และโบราณคดีชุมชนโคกพลับ
นับย้อนหลังไปเมื่อ30 ปีที่แล้ว
ซึ่งเป็นช่วงที่เทคโนโลยีในด้านต่างๆยังไม่ค่อยเจริญ ในชนบทที่ห่างไกล
บ้านแทบทุกหลังยังไม่มีโทรทัศน์ ส่วนโทรศัพท์ไม่ต้องพูดถึง
การติดต่อสื่อสารก็มักจะใช้การเดินทางไปมาหาสู่กัน
การเดินทางไปในแต่ละที่ก็ใช้เวลาเป็นวันๆหรืออาจข้ามวันเพราะการคมนาคมยังไม่สะดวก
ชาวบ้านทุกคนในชนบทยังห่วงแต่เรื่องปากท้อง
ไม่มีใครที่จะมีเวลาไปสนใจเรื่องภายนอกใดๆทั้งสิ้น ประมาณเดือนพฤษภาคม 2520
ก็ได้เกิดการค้นพบที่สร้างความตื่นเต้น
และน่าอัศจรรย์ใจแก่นักโบราณคดีเป็นอย่างยิ่ง
การค้นพบนี้เกิดขึ้นในหมู่บ้านชนบทเล็กๆแห่งหนึ่งที่ห่างไกลจากความเจริญ
การค้นพบครั้งนี้ทำให้หลายๆคนเริ่มรู้จักชื่อของ"โพหัก"หมู่บ้านแห่งนี้ขึ้นมาบ้าง
การค้นพบที่เกิดขึ้นคือการค้นพบแหล่งโบราณคดีที่มีโครงกระดูกมนุษย์พร้อมของใช้และเครื่องประดับสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่มีอายุประมาณ1000-3000
ปี
ซึ่งได้สร้างความอัศจรรย์ใจให้แก่นักโบราณคดีในสมัยนั้นเป็นอย่างมากเพราะเป็นการค้นพบแหล่งประวัติศาสตร์ที่จะช่วยไขความเป็นมาของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในยุค1000ปีที่แล้ว...
นับแต่นั้นมาชื่อของ"โพหัก"ก็เริ่มเป็นที่คุ้นหูของใครอีกหลายๆคน
การค้นพบที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นการค้นพบแหล่งโบราณคดีในยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มีอายุ1000-3000
ปี
ซึ่งในประเทศไทยการค้นพบแหล่งโบราณคดีในยุคก่อนประวัติศาสตร์นั้นมีเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น
"โคกพลับ"คือจุดที่มีการค้นพบเกิดขึ้น โคกพลับนี้อยู่ที่ตำบลโพหัก
อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรีมีลักษณะเป็นเนินดินร้างที่อยู่ไกลจากชุมชน
การค้นพบนี้เกิดขึ้นโดยบังเอิญเนื่องจากมีการขุดคลองชลประทานส่งน้ำผ่านบริเวณโคกพลับ
ทำให้พบโครงกระดูกมนุษย์จำนวนมากฝังรวมอยู่กับเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆลักษณะคล้ายมนุษย์โบราณก่อนประวัติศาสตร์
จึงได้มีการรายงานเรื่องนี้ไปยังกรมศิลปากร และทางกรมศิลปากรได้ทำการขุดสำรวจอีก 2
ครั้งในระหว่างปี 2520-2522
ทำให้ได้พบหลักฐานที่เป็นโบราณสถานและโบราณวัตถุที่มีคุณค่าอย่างสูงต่อการศึกษาเกี่ยวกับความเป็นมาของเผ่าพันธุ์มนุษย์แห่งลุ่มน้ำแม่กลองในยุคก่อนประวัติศาสตร์
หลังจากขุดสำรวจขนาด 4X4 เมตรจำนวน2
หลุมปรากฏว่าได้มีการค้นพบโครงกระดูกมนุษย์จำนวน 48โครง
ฝังรวมกับสิ่งของเครื่องใช้เครื่องประดับจำนวนมาก
โครงกระดูกเหล่านี้ได้รับการฝังอย่างเป็นระเบียบ
มีความประณีตตามลัทธิความเชื่อของชุมชน เครื่องมือ เครื่องใช้
และเครื่องประดับที่ฝังร่วมกับโครงกระดูกทุกโครง แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิต
และความเป็นอยู่ของบรรดาผู้คนในชุมชนยุคนั้นอย่างชัดเจน
หลักฐานเหล่านี้แสดงออกถึงความเจริญรุ่งเรืองของชุมชนที่มีมาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลายาวนานพอสมควร
ที่โครงกระดูกมีร่องรอยของดินสีแดงที่ใช้โรยศพอยู่บริเวณหน้าอกด้านซ้าย
ที่หูมีตุ้มหูสีเขียวคล้ายหยกประดับ
และใกล้โครงกระดูกมีหม้อดินบรรจุอาหารและเปลือกหอยแครงวางอยู่ที่ข้างศีรษะ
โครงกระดูกเหล่านี้ส่วนใหญ่จะหันศีรษะไปทางทิศเหนือ
อีกทั้งยังพบเครื่องมือเครื่องใช้และเครื่องประดับหินสีต่างๆ เปลือกหอยทะเล
เครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำด้วยสำริดและเหล็ก ซึ่งล้วนเป็นหลักฐานที่บ่งชี้ชัดว่า
ชุมชนโพหักเป็นแหล่งโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์
การค้นพบที่ยิ่งใหญ่นี้ควรเป็นอย่างยิ่งที่จะได้รับการอนุรักษ์และหวงแหนเพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาค้นคว้าเรียนรู้
ความเป็นมาของเผ่าพันธุ์ และเพื่อเป็นเกียรติแก่เหล่าบรรพชนทั้งหลาย
แต่เหตุใดหลังจากการค้นพบ
แหล่งโบราณคดีแห่งนี้กลับไร้ค่าปัจจุบันนี้กลายเป็นเพียงผืนดินธรรมดาที่ไม่ได้รับการเหลียวแลและจดจำ(ส่วนหนึ่งกลายเป็นที่ทิ้งขยะ)
อาจเป็นเพราะการค้นพบนั้นเกิดขึ้นเมื่อ30ปีที่แล้วซึ่งเป็นช่วงที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ห่วงเรื่องปากท้องมากกว่าเรื่องรอบตัว
การค้นพบตอนนั้นจึงไม่ได้รับความสนใจหรือการตอบรับจากชาวบ้าน
ขนาดชาวบ้านบางคนในพื้นที่เองยังไม่ได้สนใจเลยว่ามีการขุดเจออะไรบ้าง
ชาวบ้านบางคนแม้บ้านอยู่ใกล้ๆกับโคกพลับเองก็ยังไม่เคยไปดูเลยว่าเขาขุดอะไรกัน
จากการที่ชาวบ้านสมัยนั้นไม่มีกระแสตอบรับ ในเรื่องการค้นพบแหล่งโบราณคดี
จึงทำให้โคกพลับขาดการอนุรักษ์เพื่อให้มาถึงอนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาเรียนรู้
จากบันทึกของอาจารย์ทองเพี้ยน คงแป้น
ผู้อยู่ในเหตุการณ์การขุดค้นทางโบราณคดีครั้งนั้นเขียนเล่าในบางตอนว่า
สิ่งที่น่าเสียดายที่สุดก็คือ
การที่นักโบราณคดีที่มาทำการขุดในครั้งนั้นได้เคยเสนอความคิดให้ชาวโพหักจัดให้โคกพลับเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง
แสดงถึงเรื่องราวความเป็นอยู่ของมนุษย์ที่โคกพลับ
แต่ความคิดนี้กลับไม่ได้รับการตอบรับจากชาวบ้าน
ซ้ำร้ายไปกว่านั้นกลับมีการทำลายโคกพลับให้หมดไปด้วยการขุดดินโคกพลับขายให้แก่บริษัทรับถมดิน
เพื่อทำโคกพลับให้เป็นที่ราบลุ่มใช้สำหรับทำนาอีกด้วย
ความคิดแคบๆเช่นนี้ใครเล่าจะแก้ได้
สุดท้ายโคกพลับเลยมาไม่ถึงยุครุ่นลูกรุ่นหลานอย่างเรา
สิ่งที่เหลืออยู่ก็เห็นจะเหลือเพียงตำนานการเล่าขานเท่านั้น
แต่หากการค้นพบนั้นเกิดขึ้นในสมัยนี้ที่มีความพร้อมในแง่ต่างๆมากกว่า อีกทั้งชาวบ้านก็ให้ความสนใจในเรื่องการอนุรักษ์มากกว่าแต่ก่อน เชื่อว่าโคกพลับจะได้รับการใส่ใจและดูแลมากกว่าที่เป็นและจะไม่ได้เหลือแต่ชื่ออย่างที่เป็นมาแน่นอน อาจจะเรียกได้ว่าการค้นพบนั้นเกิดขึ้นผิดเวลา