ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม อารยธรรม >>
ประเพณีการสู่ขวัญ
ประเภทของการสู่ขวัญ
การสู่ขวัญสัตว์
การสู่ขวัญสิ่งของ
การประกอบพิธีสู่ขวัญ
ขั้นตอนการประกอบพิธีสู่ขวัญ
ตุง
ประเภทของตุง
พิธีทอดผ้าป่า
พิธีทอดผ้าป่า
บ้างก็แห่ผ้าป่าพฤกษาปัก มีเรือชักเซ็งแซ่แลสลอน
ขับประโคมดนตรีมีละคอน อรชรรำร่าอยู่หน้าเรือ
บ้างก็ร้องสักรวาใส่หน้าทับ
ลูกคู่รับพร้อมเพราะเสนาะเหลือ
ฟังสำเนียงสตรีไม่มีเครือ เป็นใยเยื่อจับในน้ำใจชาย
(นิราศเดือน)
พิธีทอดผ้าป่า เป็นการทำบุญอีกอย่างหนึ่งของชาวพุทธ คล้ายกับพิธีทอดกฐิน
แต่ไม่มีกำหนดระยะเวลาจำกัด คือสามารถจะทอดเมื่อไหร่ก็ได้ และวัดหนึ่งๆ
ในแต่ละปีจะจัดให้มีการทอดผ้าป่ากี่ครั้งก็ได้เช่นกัน
อีกทั้งยังไม่เจาะจงเกี่ยวกับภิกษุที่จะรับผ้ากฐินแต่อย่างใด
ประวัติความเป็นมา
ในสมัยพุทธกาล
เมื่อครั้งที่พระบรมศาสดายังมิได้ทรงอนุญาตให้พระภิกษุทั้งหลายรับจีวรจากชาวบ้าน
พระภิกษุเหล่านั้นจึงต้องเที่ยวเก็บผ้าที่เขาทิ้งแล้ว เช่น
ผ้าเปรอะเปื้อนที่ชาวบ้านไม่ต้องการนำมาทิ้งไว้ ผ้าห่อศพ ฯลฯ
เมื่อรวบรวมผ้าชิ้นเล็กชิ้นน้อยพอแก่ความต้องการแล้ว จึงนำมาซักทำความสะอาด ตัดเย็บ
ย้อม เพื่อทำเป็นจีวร สบง หรือสังฆาฏิ ผืนใดผืนหนึ่ง
การทำจีวรของภิกษุในสมัยพุทธกาลจึงค่อนข้างยุ่งยากและเป็นงานใหญ่
ดังที่กล่าวไว้แล้วในเรื่องพิธีทอดกฐิน
ครั้นชาวบ้านทั้งหลายเห็นความยากลำบากของพระภิกษุสงฆ์ ต้องการจะนำผ้ามาถวาย
แต่เมื่อยังไม่มีพุทธานุญาตโดยตรง จึงนำผ้าไปทอดทิ้งไว้ ณ ที่ต่างๆ เช่น ในป่า
ตามป่าช้า หรือข้างทางเดิน เมื่อภิกษุสงฆ์มาพบ
เห็นว่าเป็นผ้าที่ผู้เป็นเจ้าของทอดอาลัยแล้ว ก็นำเอามาทำเป็นสบง จีวร
พิธีการทอดผ้าป่าก็มีความเป็นมาด้วยประการฉะนี้
สำหรับในเมืองไทย
พิธีทอดผ้าป่าได้รับการรื้อฟื้นขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่
4 ด้วยทรงพระประสงค์จะรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีในทางพระศาสนา
ประเภทของผ้าป่า
ความจริงแล้ว การทอดผ้าป่ามีอยู่อย่างเดียว
คือการนำผ้าไปทิ้งไว้ดังที่กล่าวมาแล้ว แต่ในปัจจุบันนิยมทำในรูปแบบต่างๆ
แตกต่างกันไป จึงมีชื่อเรียกเป็น 3 อย่าง คือ
- ผ้าป่าหางกฐิน หรือ ผ้าป่าแถมกฐิน
- ผ้าป่าโยง
- ผ้าป่าสามัคคี
1. ผ้าป่าหางกฐิน ได้แก่ ผ้าป่าชนิดที่เจ้าภาพจัดให้มีขึ้น
ต่อจากการทอดกฐิน คือเมื่อทำพิธีทอดกฐินเสร็จแล้ว ก็ให้มีการทอดผ้าป่าด้วยเลย
จึงเรียกว่าผ้าป่าหางกฐิน หรือ ผ้าป่าแถมกฐิน
2. ผ้าป่าโยช ได้แก่ ผ้าป่าที่จัดทำรวมๆ กันหลายกอง
นำบรรทุกเรือแห่ไปทอดตามวัดต่างๆ ซึ่งอยู่ริมแม่น้ำ จึงเรียกว่า ผ้าป่าโยช
จะมีเจ้าภาพเดียวหรือหลายเจ้าภาพก็ได้
3. ผ้าป่าสามัคคี ได้แก่
ผ้าป่าที่มีการแจกฎีกาบอกบุญไปตามสถานที่ต่างๆ ให้ร่วมกันทำบุญแล้วแต่ศรัทธา
โดยจัดเป็นกองผ้าป่ามารวมกัน จะเป็นกี่กองก็ได้
เมื่อถึงวันทอดจะมีขบวนแห่ผ้าป่ามารวมกันที่วัดอย่างสนุกสนาน
บางทีจุดประสงค์ก็เพื่อร่วมกันหาเงินสร้างถาวรวัตถุต่างๆ เช่น โบสถ์ วิหาร
ศาลาการเปรียญ และอื่นๆ ฯลฯ
พิธีทอดผ้าป่า
ให้ผู้เป็นเจ้าภาพไปแจ้งความประสงค์แก่เจ้าอาวาสวัดที่ต้องการจะนำผ้าป่ามาทอด
เรียกว่า เป็นการจองผ้าป่า เมื่อกำหนดวันเวลาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ก็ทำการตั้งองค์ผ้าป่า ซึ่งสิ่งสำคัญที่จะต้องมีก็คือ 1. ผ้า 2.
กิ่งไม้สำหรับพาดผ้า และ 3. ให้อุทิศถวายไม่เจาะจงพระรูปใดรูปหนึ่ง
การตั้งองค์ผ้าป่า
ในสมัยโบราณ ไม่ต้องมีการจองผ้าป่า เมื่อเจ้าภาพนำองค์ผ้าไปถึงวัดแล้ว
ก็จุดประทัดหรือส่งสัญญาณด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ให้พระท่านรู้ว่ามีผ้าป่า
เป็นอันเสร็จพิธี หรือจะอยู่รอให้พระท่านมาชักผ้าป่าด้วยก็ได้
แต่ในปัจจุบัน การทอดผ้าป่านับว่าเป็นงานค่อนข้างใหญ่
ต้องมีการจองผ้าป่าเพื่อแจ้งให้ทางวัดทราบหมายกำหนดการ จะได้จัดเตรียมต้อนรับ
เมื่อถึงกำหนดก็จะมีการแห่แหนองค์ผ้าป่ามา ด้วยขบวนเถิดเทิงกลองยาวหรือแตรวง
เป็นที่ครึกครื้นสนุกสนาน ยิ่งถ้าเป็นผ้าป่าสามัคคีต่างเจ้าภาพต่างแห่มาพบกันที่วัด
จนกล่ายเป็นมหกรรมย่อยๆ มีการละเล่นพื้นบ้านหรือร่วมร้องรำทำเพลง
ร่วมรำวงกันเป็นที่สนุกสนาน บางทีก่อนวันทอดก็จะจัดให้มีมหรสพฉลองที่บ้านของเจ้าภาพ
การทอดผ้าป่า
ให้นำผ้าป่าไปวางต่อหน้าภิกษุสงฆ์ กล่าวคำถวายผ้าป่า ว่า " อิมานิ มะยัง
ภันเต ปังสุกูละจีวะรานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุ โน ภันเต
ภิกขุสังโฆ อิมานิ ปังสุกูละจีวะรานิ สะปะริวารานิ ปะฏิคคัณหาตุ อัมหากัง
ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ"
เมื่อกล่าวคำถวายเสร็จแล้ว
พระสงฆ์รูปหนึ่งผู้ได้รับฉันทานุมัติจากหมู่สงฆ์ก็จะลุกขึ้นเดินถือตาลปัตรมาชักผ้าบังสุกุลที่องค์ผ้าป่า
โดยกล่าวคำปริกรรมว่า "อิมัง ปังสุกูละจีวะรัง อัสสามิกัง มัยหัง ปาปุณาติ"
แปลใจความได้ว่า "ผ้าบังสุกุลผืนนี้ เป็นผ้าที่ไม่มีเจ้าของหวงแหน
ย่อมตกเป็นของข้าพเจ้า" ต่อจากนั้นพระสงฆ์จึงสวดอนุโมทนา ในผลบุญ
เจ้าภาพกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล เป็นอันเสร็จพิธี
ข้อสำคัญในการทอดผ้าป่า
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทอดผ้าป่าก็คือ
ผู้ที่ถวายต้องตั้งใจหรือกล่าวคำถวายอุทิศแด่ภิกษุสงฆ์
ผู้ต้องการผ้าบังสุกุลอย่างเดียว จึงจะได้ชื่อว่าเป็นการถวายผ้าป่า