ปรัชญา อภิปรัชญา ญาณวิทยา จิตวิทยา ตรรกศาสตร์ >>
พื้นฐานทางชีววิทยากับพฤติกรรม
การเรียนรู้
การรับรู้
แรงจูงใจ
พื้นฐานทางชีววิทยากับพฤติกรรม
1. พฤติกรรมสามารถแบ่งเป็น 2 แบบ คือ
Special pattern
เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการทำงานของร่างกายหลายส่วนร่วมกัน เช่น นิ้วเวลาถือของ
Temporal pattern เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการทำงานของร่างกายต่อเนื่องกัน เช่น
มือยื่นไปหยิบพร้อมตาที่มอง
-พฤติกรรมการปรับตัว เป็นการตอบสนองความต้องการของมนุษย์
โดยแบ่งความต้องการเป็น 2 รูปแบบ คือ
- Biological need / Physiological need
- Social need / Psychological need
- อวัยวะที่ใช้ในการปรับตัวแบ่งตามหน้าที่เป็น 2 กลุ่ม
- Organs of Maintenance : มีหน้าที่คอยรักษาสุขภาพ และการเจริญเติบโต เช่น หัวใจ หลอดเลือด ปอด ตับ
- Organs of Adjustment : มีหน้าที่เอาชนะอุปสรรคจากสภาพแวดล้อม เช่น กล้ามเนื้อ โครงกระดูก
2. การทำงานของระบบประสาทกับพฤติกรรม
Sensory-Motor Arc : เกิดปฏิกิริยาต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ ประกอบด้วย 5
ส่วน คือ
- Receptors : อวัยวะรับความรู้สึก
ซึ่งทำหน้าที่รับความรู้สึกจากสิ่งแวดล้อมภายนอก (Exteroceptor)
- Connector : ศูนย์ประมวลข่าว เป็นหน่วยที่อยู่ระหว่างอวัยวะรับความรู้สึก
และอวัยวะที่ใช้ตอบสนอง ได้แก่ ระบบประสาท เส้นประสาทรับความรู้สึก
เส้นประสาทสั่งงาน
- Effectors : อวัยวะที่ใช้ในการตอบสนอง ได้แก่ กล้ามเนื้อ
-
Neuron/Nerve cell : เซลล์ประสาท ประกอบด้วย cell body และ Never fiber
(Axon/Dendrite)
- Nerve impulse : กระแสประสาท
- กระแสประสาทไม่ใช่กระแสไฟฟ้า แต่เป็นปฏิกิริยาเคมี (Electrochemical reaction)
- รอยต่อระหว่างเส้นประสาท (Synapse)
- การทำงานของระบบประสาท แบ่งตามหน้าที่ ได้ 2 กลุ่ม คือ
1) ระบบประสาทส่วนกลาง (Central Nervous System) ได้แก่ Brain และ Spinal Cord
2) ระบบประสาทอิสระ (Autonomic Nervous System) คือ Sympathetic ทำงานตอบสนองกรณีฉุกเฉิน และ Parasympathetic จะทำงานในภาวะสงบ
ไขสันหลัง : ประกอบด้วย เซลล์ประสาทจำนวนมาก
มีลักษณะเป็นแท่งยาวอยู่ในกระดูกสันหลังมีหน้าที่ 2 อย่าง คือ
-เป็นศูนย์กลางของปฏิกิริยารีเฟล็กซ์ (Reflex action)
ซึ่งเป็นการตอบสนองที่ไม่อยู่ภายใต้คำสั่ง ของสมอง
-เป็นทางผ่านของกระแสประสาทขึ้น และลงจากสมอง
ระบบการกระจายของไขสันหลัง
-กระแสประสาทจากเส้นประสาทรับความรู้สึกเพียงเส้นเดียวสามารถกระจายไปยังกล้ามเนื้อต่างๆ
ได้เป็นผลให้เกิดการตอบสนองอย่างมากมาย เรียกว่า Divergence
-ถ้ากระแสประสาทจากเส้นประสาทรับความรู้สึกหลายๆ เส้น
สามารถรวมกันตอบสนองเป็นอย่างเดียวเรียกว่า Convergence
สมอง (Brain) สามารถแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ
-สมองส่วนหลัง (Hind Brain)
- Reticular formation : มีหน้าที่ควบคุมการตื่น กรองข่าว และตั้งสมาธิได้
- Pons : มีหน้าที่ควบคุมกล้ามเนื้อ เช่น แสดงสีหน้า และทักษะการใช้นิ้วมือ
- Medulla : ควบคุมการหายใจ การกลืน อาเจียน การเต้นของหัวใจ
การหด-ขยายตัวหลอดเลือด Cerebellum : สมองเล็ก ประสานงานเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว
การทรงตัว และงานละเอียด
- สมองส่วนกลาง (Midbrain) : เชื่อมไขสันหลังกับสมองส่วนหน้า ประสานงานเกี่ยวกับการมองเห็น การเคลื่อนไหวของลูกตา
- สมองส่วนหน้า (Forebrain)
Thalamus : ควบคุมและประสานงานเกี่ยวกับอารมณ์
Hypothalamus : เป็นศูนย์กลางปรับอุณหภูมิของร่างกาย ความอยากอาหาร กระหายน้ำ ความดันโลหิต การหลับ พฤติกรรมทางอารมณ์ และควบคุมการทำงานของต่อมไร้ท่อ
Cerebrum : สมองใหญ่ ควบคุมพฤติกรรมการเรียนรู้ ความฉลาด ความจำ การรับรู้ความรู้สึก
เปลือกสมอง : มีร่องลึก 2 ร่อง คือ Central fissure อยู่ด้านบน ส่วน Lateral
fissure อยู่ด้านข้างทำให้แบ่งเปลือกสมองเป็น 4 พู คือ
- Frontal lobe : ช่วยควบคุมการมีเหตุผล วางแผน อารมณ์ การพูด
- Parietal
lobe : แปลสัญญาณความรู้สึก และประมวลข่าว
- Occipital lobe : การมองเห็น
- Temporal lobe : การได้ยิน
ควบคุมการเรียนรู้ ความจำ ภาษา อารมณ์
หน้าที่และตำแหน่งบนเปลือกสมอง
- Somatosensory cortex : บริเวณรับความรู้สึก
- Motor cortex : การเคลื่อนไหว
- Visual cortex : การมองเห็น
- Auditory cortex : การได้ยิน การจำแนกเสียง
- Speech cortex : การพูด
- Association cortex : การเรียนรู้ การจำ การคิด มีเหตุผล บุคลิกภาพ
พฤติกรรมผิดปกติเนื่องจากสมอง
- ความผิดปกติทางร่างกาย
- Alzheimers Disease : สมองเสื่อม เนื่องจากเซลล์ประสาทส่วนที่ทำหน้าที่คิดและจำสูญเสียไป
- Parkinsons Disease : อาการสั่นของกล้ามเนื้อ เนื่องจากกลุ่มเซลล์บริเวณก้านสมองและ Reticular formation ถูกทำลาย - ความผิดปกติทางจิตใจ เช่น Schizophrenia
ระบบต่อมไม่มีท่อ (Endocrine System) มี 7 ต่อม คือ
- ต่อมใต้สมอง (The Pituitary Gland) : Growth Hormone
- ต่อมธัยรอยด์ (The
Thyroid Gland) : Thyroxin Hormone ควบคุมอัตราการเกิดเมตาโบลิซึม ความฉลาด
- ต่อมเหนือไต(The Adrenal Gland) : ควบคุมการหลั่งฮอร์โมน คือ Adrenaline และ
Noradrenaline
- ต่อมเพศ (The Gonads) : สร้างฮอร์โมนเพศไปควบคุมการเจริญเติบโต/พฤติกรรม
และผลิตเซลล์สืบพันธุ์
- ต่อมพาราธัยรอยด์ (Parathyroid Gland) : ควบคุมเมตาโบลิซึมของแคลเซียม
และฟอสฟอรัส
- ตับอ่อน (Pancreas) : ผลิตน้ำย่อย อินซูลิน กลูคากอน
- ต่อมไพเนียล
(Pineal Gland) : ทำหน้าที่ควบคุมจังหวะการหลับ/ตื่น อารมณ์ และระบบสืบพันธุ์
พฤติกรรม = กรรมพันธุ์ + สภาพแวดล้อม + เวลา
พฤติกรรมผิดปกติอันเนื่องจากกรรมพันธุ์
-จำนวนโครโมโซมเพศผิดไป
- Klinefelters Syndrome : 44XXY (47) โครโมโซมเพศเกินมา 1 แท่ง โดยอวัยวะภายนอกเป็นเพศชาย เต้านมโต การทำงานของต่อมภายในเป็นเพศหญิง เป็นหมัน
- Turners Syndrome : 44XO (45) โครโมโซมเพศหายไป 1 แท่ง เป็นเพศหญิง เตี้ย คอสั้นและเป็นปีก เต้านมเล็ก ไม่มีประจำเดือน และเป็นหมัน
- Triple-X Syndrome : 44XXX (47) โครโมโซม X เกินมา 1 แท่ง ลักษณะเหมือนหญิงปกติ แต่การทำงานของเพศผิดปกติ รังไข่ไม่เจริญ เป็นหมัน ปัญญาอ่อน
- Jacobs Syndrome : 44XYY (47) / Double Y Syndrome ลักษณะผู้ชาย สูงใหญ่ โมโหร้าย รุนแรง เป็นภัยต่อสังคม
- จำนวนโครโมโซมร่างกายผิดไป
- Downs Syndrome : โครโมโซมแท่งที่ 21 เกินมา 1 แท่ง ทำให้ปัญญาอ่อน สมองเล็ก หน้าแบน
- Edwards Syndrome : โครโมโซมแท่งที่ 18 เกินมา 1 แท่ง น้ำหนักตัวต่ำ
ศีรษะเล็ก หน้าใหญ่
- การผิดปกติของยีน
- Phenylketonuria : ปัญญาอ่อน ระดับสติปัญญาต่ำ เนื่องจากเอนไซน์ Phenylanine hydroxylase ขาดหายไป
- Tay-Sachs Disease : เนื่องจากขาดเอนไซน์ที่จะทำให้สารเคมีชื่อ GM2 ganglioside แตกตัว ทำลายเซลล์ประสาท ทำให้เด็กมักตายก่อนอายุ 5 ขวบ
- ลักษณะกรรมพันธุ์ติดเพศ
- Red-Green Color Blind : ตาบอดสีเขียวแดง
- Hemophilia : มีแผลแล้วเลือดไหลไม่หยุด
- Hypertrichosis of the ears : ขนใบหูยาว
สภาพแวดล้อมกับพฤติกรรม
- โภชนาการของแม่ (maternal nutrition)
- สุขภาพของแม่ (maternal health)
- ต่อมไร้ท่อทำงานผิดปกติ
- การเกิดโรคหัดเยอรมัน : ทำให้หูหนวก ตาบอด
- ซิฟิลิส : เด็กปากแหว่ง เพดานโหว่
- โรคเรื้อรัง : เด็กขาดสารอาหาร วัณโรค เบาหวาน
- สารเคมีที่แม่ได้รับ
- ยาควินิน : เด็กหูหนวก เพราะไปมีผลต่อหูชั้นใน
- ยาทาลิโดไมล์ : เด็กแขนขากุด มือเท้าไม่เป็นรูปร่าง
- รังสี (Radiation) : หัวเล็ก ตัวสั้น กระดูกเชื่อมติดเป็นแผ่นเดียว
-
อารมณ์ของแม่ (maternal emotion)
การเจริญเติบโต พัฒนาการ และวุฒิภาวะ
ระดับพัฒนาการ =
กรรมพันธุ์ x สภาพแวดล้อม x เวลา
วุฒิภาวะ : กระบวนการที่ทำให้ส่วนต่างๆ ของอินทรีย์พัฒนาเต็มที่
1. พัฒนาการของอวัยวะ แบ่งระยะของไข่ที่รับการผสมเป็น
ระยะที่ 1 Period of Ovum : ปฏิสนธิ- 2 สัปดาห์แรก และเซลล์ต่างๆ
ที่เกิดขึ้นมีลักษณะเหมือนตัวมันเอง
ระยะที่ 2 Period of the Embryo : ระยะ 2 สัปดาห์ เดือนที่ 2
โดยเซลล์แบ่งเป็น 3 ชั้น ใน 6 สัปดาห์ คือ
- เนื้อเยื่อชั้นใน (Endoderm) เช่น เยื่อบุกระเพาะอาหาร ตับ ปอด ต่อมธัยรอยด์
- เนื้อเยื่อชั้นกลาง (Mesoderm) เช่น กล้ามเนื้อ กระดูกฟัน เลือด ไต
- เนื้อเยื่อชั้นนอก (Ectoderm) เช่น ขนและเล็บ ต่อมเหงื่อ สมอง ไขสันหลัง เลนส์ตา
ระยะที่ 3 Period of Fetus : เดือนที่ 2 เดือนที่ 7
2.
พัฒนาการของระบบประสาท
อวัยวะที่พัฒนาช้าที่สุด คือ ระบบประสาทและต่อมเอ็นโดไครน์
(endrocrine)
เปลือกสมองส่วนหน้า (cerebral cortex)
ที่จำเป็นสำหรับการเรียนรู้เป็นส่วนที่เจริญช้า
3. วุฒิภาวะของพฤติกรรม (Maturation of Behavior) :
นักจิตวิทยาทำการทดลองเพื่อดูบทบาทของวุฒิ
ภาวะที่มีต่อพฤติกรรม ซึ่งแยกศึกษาดังนี้ คือ
จำกัดการฝึกฝนเพื่อให้โอกาสเรียนรู้น้อยที่สุด
ให้การฝึกฝนเพื่อให้โอกาสเรียนรู้มากที่สุด
เปรียบเทียบสัตว์ต่างชนิดกัน (species) ซึ่งมีระยะเวลาของวุฒิภาวะแตกต่างกัน
4. วุฒิภาวะกับการเรียนรู้ (Maturation and Learning)
พฤติกรรมบางอย่างเกิดขึ้นโดยไม่ได้รับการฝึกฝน หรือฝึกฝนเล็กน้อย
เมื่อพัฒนายังไม่ถึงวุฒิภาวะ การฝึกฝนก็ไม่เกิดผล หรือให้ผลเล็กน้อย
ความแตกต่างในเรื่องกรรมพันธุ์จะเป็นขีดจำกัดของวุฒิภาวะ
5. พัฒนาการของอวัยวะรับความรู้สึก และการเคลื่อนไหว
ความรู้สึกเกี่ยวกับการสัมผัส และอุณหภูมิจะพัฒนามาค่อนข้างดี
เมื่อคลอดออกมา
ความรู้สึกเจ็บปวดยังพัฒนาไม่ค่อยดี จนกว่าจะเป็นเวลา 2-3 สัปดาห์ต่อมา
ทางด้านการได้ยินและการเห็นภาพ
เด็กรับรู้ความแตกต่างกับเสียงที่ให้ได้เมื่ออายุประมาณ 1-5 วัน
6. ลำดับพัฒนาการเคลื่อนไหว : การหยิบหรือจับสิ่งของ (Prehension)
เมื่อมีของวางตรงหน้า เด็กจะยื่นแขนปัดไปมา และอายุประมาณ 4 เดือน
แขนจึงจะยื่นไปถึงวัตถุได้
7. พัฒนาการของการใช้ภาษา : การเปล่งเสียงในระยะแรกของการมีชีวิต
ความเข้าใจ การแสดงท่าทาง และการใช้คำ
ปัจจัยในการพัฒนาการใช้ภาษา : สติปัญญา เพศ และสภาพแวดล้อมทางสังคม
ทฤษฎีการเรียนรู้ภาษา
- ทฤษฎีการเรียนรู้ภาษาเป็นสิ่งที่เรียนรู้ได้
-
ทฤษฎีการเรียนรู้ภาษาเป็นสิ่งที่ได้รับการถ่ายทอดมา
- ทฤษฎีการเรียนรู้ภาษาที่เกิดจากการรู้คิด
8. การพัฒนาทางสติปัญญา
: เพียเจท์ มี 5 ขั้น คือ
Sensorimotor Operation (0-2 ปี) :
ไม่สามารถแยกตัวเองออกจากสิ่งแวดล้อมได้ เริ่มคิด จินตนาการ
Preconceptural Thought (2-4 ปี) : วัตถุเริ่มมีความหมายแทนของอย่างอื่นได้
Intuitive Thought (4-7 ปี) : Egocentric มีการจัดกลุ่มสิ่งของ
Concrete Operation (7-11 ปี) : คิดเป็นรูปธรรม เข้าใจการเปลี่ยนแปลงได้
Formal Operation (11 ปีขึ้นไป) : คิดรวบยอด เหตุผล นามธรรม


