ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
หลักแห่งการทดสอบข้อเท็จจริง
การเข้าใจไม่ถูกต้อง มีศรัทธาผิด ๆ
ทำให้เสนอข้อเท็จจริงผิดพลาดแม้นักวิทยาศาสตร์บางคนก็ไม่พ้นไปจากความผิดพลาดอันเกิดจากศรัทธาที่ผิด
เช่นค้นพบว่าธรรมชาติมีกฎเกณฑ์นั้นมีพระเจ้าเป็นผู้สร้าง
นักวิทยาศาสตร์บางพวกงมงายในกระบวนการจักรกลทางฟิสิกส์และเคนี
เห็นปรากฎการณ์ต่าง ๆ เป็นเรื่องจักรกล ส่วนพวกนักศาสนาที่เคร่งครัดเรื่องจิตต์
เห็นโลกสสารเป็นปรากฏการณ์ทางจิตต์ ผู้ไม่หลุดพ้นซึ่งมีศรัทธาผิด ๆ
มักนำสิ่งที่ตัวเห็นมาก่อความคิดต่อไป ผลที่คิดได้จะยิ่งเป็นเท็จเป็นการ
โกหกแบบเทฆนิค
เพื่อแก้ความผิดพลาดควรหัดคิดแต่น้อยแต่พยายามหาข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ให้มาก
ความถูกต้องของข้อเท็จจริง
เมื่อข้อเท็จจริงได้ถูกเสนอความคลาดเคลื่อนไปเพราะ โกหกแบบเทฆนิค
เราต้องหาวิธีทดสอบความจริงโดยถามจากพยาน เปิดให้มีการโต้แย้ง (Dialectic Method
) มิลินทปัญหาเป็นการเปิดเผยสัจจธรรม
และวรรณคดีสมัยกรีกเล่าถึงการโต้แย้งสนทนาระหว่างซอเครตีสกับสานุศิษย์แม้พระพุทธองค์เองก็ทรงใช้วิธีนี้อยู่เสมอระหว่างพุทธกาล
เรารู้ สิ่งที่มี ได้ทางประสาทสัมผัส
เรารู้ว่าอะไรมีหรืออะไรไม่มี
ก็เพราะใช้ประสาทสัมผัสทดสอบดูแม้สิ่งที่โดยธรรมดาแล้วประสาทสัมผัสไม่ไวพอจะรู้ว่ามีได้
เราก็ใช้วิธี ขยาย มันด้วยวิธีต่าง ๆ จนแจ้งต่อประสาทสัมผัสจนได้
วิทยาศาสตร์ถือหลักแรงทางกายสัมผัสเป็นรากฐานแห่งการวัดพลังงานทั้งมวล
จะเป็นความร้อน แสงเสียงหรือไฟฟ้า
นักวิทยาศาสตร์ก็ทอนลงเป็นแรงหรือพลังทางกายสัมผัสหมด ความรู้ที่ได้ทางประสาทสัมผัส
ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ความรู้เดิม ( Apriori knowledge) เลย
ส่วนความรู้ที่อ้างว่าได้จากเหตุผลนั้น
ที่แท้แล้วก็คือกรทวนระลึกถึงสิ่งนอกกายเราที่เราเคยเห็นทางประสาทสัมผัสว่าเกี่ยวข้องกัน
มีนักปรัชญาหลายท่านสอนไม่ให้เราเชื่อประสาทสัมผัสทั้งนี้โดยการตั้งข้อดูถูกเอาง่าย
ๆ ว่าประสาทสัมผัสเป็นเรื่องของ เนื้อ ๆ สู้การใช้เหตถุผลทางความคิดไม่ได้
ต้วอย่างของเดค๊าซ์ บิดาแห่งปรัชญาสมัยใหม่ของยุโรป
กล่าวว่าเราเชื่อประสาทสัมผัสไม่ได้ เพราะมีตัวอย่าง เช่นของไกลเห็นเล็ก
ความคิดของคนเราเป็นเพียงการเรียกทวนความจัดเจนทางประสาทสัมผัส
อันยึดถือว่าถูกต้องคนเราไม่สามารถจะผลิตความคิดอะไรขึ้นมาได้
นอกจากจะทวนระลึกถึงความประจักษ์ทางประสาทสัมผัสตามประสบการณ์เดิม
จิตของคนเรา
มีอำนาจสร้างสรรค์มโนภาพขึ้นจากข้อเท็จจริงที่เคยประสบมาแต่เดิมทางประสาทสัมผัส
พระพุทธอง5ทรงสอนไว้ในเรื่องขันธ์ 5 และทรงเรียกว่า สังขารา
มโนภาพที่ถูกสร้างขึ้นอาจเป็นสิ่งหรือเป็นหลักคิด
หรือเป็นความเกี่ยวข้องระหว่างสิ่งหรือเป็นหลักคิดก็ได้ แต่จิตต์ของคนเราไม่มีวัน
หลั่งหรือเนรมิต มโนภาพหรือหลักคิดอะไรขึ้นมาได้เลย
คงได้สร้างสรรค์ขึ้นจากวัตถุดิบที่มีอยู่เดิมเท่านั้น
วิธีการทางวิทยาศาสตร์คือการค้นหาข้อเท็จจริงทางประสาทสัมผัส
ความซื่อสัตย์ต่อการเสนอความประจักษ์เป็นลักษณะนิสัยสันดานของพวกเขา
หลักวิทยาศาสตร์ไม่ได้ถูกคิดขึ้นมาจากการนั่งคิด แต่หากถูก สังเกต
ได้ทางประสาทสัมผัสแท้ ๆ
ลักษณะของ สิ่งที่มี สิ่งที่มี อันปรากฏแก่เราทางประสาทมีอยู่ 3 ประการ
คือ
- รูปธรรม อันได้แก่สิ่งมีรูปที่สัมผัสได้โดยตรงทางประสาทสัมผัส
- การเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงของรูปธรรมอันเรียกว่าปรากฏการณ์และ
- นามธรรม หรือความสัมพันธ์ระหว่างรูปธรรม หรือระหว่างปรากฏการณ์ อันเป็นนามธรรม สิ่งที่มี ล้วน ๆ เช่นตัวอย่าง แมว เป็นรูปธรรมที่มีอยู่
การเติบโตหรือการเคลื่อนไหวของมันเป็นปรากฏการณ์ และทางนามธรรม
มนุษย์ซึ่งส่วนรูปของเขาเป็นรูปธรรม การเติบโตและการกระทำของเขาเป็นปรากฏการณ์ของ
สิ่งที่มี คือรูปธรรมที่เรียกว่ามนุษย์ และ ความยุติธรรม
เป็นความเกี่ยวข้องของเขากับผู้อื่นเป็นความเกี่ยวข้องมนุษย์ที่เป็น สิ่งที่มี
นามธรรมเท่านั้นที่อาจล่อให้เราหลงใหลได้อย่างมากมายว่ามีอยู่ทั้ง ๆ
ที่มันอาจไม่มีอยู่หรือเป็นเท็จก็ได้เราจึงควรทดสอบหา สิ่งที่มี
ซึ่งแทนมันอยู่ทางประสาทสัมผัสเสียก่อนเชื่อในความมีอยู่ของมัน
» การเสื่อมของพระพุทธศาสนาในประเทศอินเดีย
» ปรัชญาเถรวาทให้ข้อแนะนำไว้ในกาลามสูตร
» ก่อนที่จะยอมรับหลักคิดหรือความรู้ใด ๆ เป็นสรณะ
» วิทยาอักซิโอในพุทธปรัชญาพุทธจริยศาสตร์
» พุทธปรัชญาเป็นลัทธิมัชฌิมาปฏิปทา
» ปรัชญาเถรวาทและปฏิมากรรมวิทยา
» พุทธจริยศาสตร์ (BUDDHIST ETHICS )
» พุทธจริยศาสตร์ว่าด้วย กรรม
» คำสอนว่าด้วยปรุงจิตต์แต่งกรรม
» ภารกิจของพระพุทธศาสนาต่อประเทศไทยและพุทธศิลปะในประเทศไทย
» ภาระกิจของพระพุทธศาสนาต่อสังคมไทย
» พระสงฆ์
» นักศาสนา