ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
พุทธศาสนากับจริยศาสตร์สมัยปัจจุบัน
พุทธศาสนากับอภิจริยศาสตร์
พุทธศาสนากับจริยศาสตร์แบบอัตถิภาวนิยม
พุทธศาสนากับจริยศาสตร์แบบลัทธิมาร์กซ์
ทำไมพระพุทธองค์ตำหนิการบูชายัญ และห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
บทสรุป
บรรณานุกรม
พุทธศาสนากับจริยศาสตร์แบบอัตถิภาวนิยม
อัตถิภาวนิยมเกิดขึ้น เนื่องมาแต่ความไม่พอใจต่อสภาพสังคมปัจจุบัน
ที่มนุษย์ต้องสูญเสียตนเอง จนกระทั่งเป็นที่พึ่งของตนเองไม่ได้ สถาบันต่าง ๆ
ในสังคม เช่น ระบบการเมือง ศาสนา จารีตประเพณี ตลอดถึงความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์
ต่างไม่ให้ความหวังใด ๆ แก่มนุษย์
มนุษย์จำต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้อย่างเป็นทาส
ดำรงชีวิตอย่างไร้ศักดิ์ศรีของการเป็นมนุษย์ เหมือนสวะที่ลอยไปตามกระแสของแม่น้ำ
อัตถิภาวนิยมได้เรียกร้องให้มนุษย์กอบกู้ศักดิ์ศรีความเป็นคนของตนเองคืน
ด้วยการนำเสรีภาพที่มีอยู่โดยธรรมชาติของตนออกมาใช้
ส่วนทางพุทธศาสนาอาจกล่าวได้ว่า
พระพุทธเจ้าทรงเป็นพระศาสดาองค์แรกก็ว่าได้ ที่มีบุคลิกภาพแบบอัตถิภาวนิยม
เพราะพระองค์ไม่ทรงพอพระทัยกับสภาพสังคมที่เป็นอยู่ในขณะนั้น
สังคมที่มีพราหมณ์และศาสนาพราหมณ์คอยกำหนดความเป็นไปของประชาชน
ชีวิตของผู้คนต้องล่องลอยไปตามกระแสของสังคม (ฝากชีวิตไว้กับพิธีกรรมต่าง ๆ)
ขึ้นอยู่กับอำนาจที่มองไม่เห็น (พระพรหม พระศิวะ และพระวิษณุ)
เป็นไปอย่างไร้ศักดิ์ศรีของมนุษย์ (ระบบวรรณะ)
แต่ละอย่างล้วนสร้างความแปลกแยกในชีวิตมนุษย์ทั้งสิ้น
พระพุทธเจ้าทรงสถาปนาพุทธศาสนาขึ้นมา เพื่อย้ำถึงศักดิ์ศรีของมนุษย์
เป็นศาสนาของมนุษย์ โดยมนุษย์ และเพื่อมนุษย์ จึงนับเป็นท่าทีแบบอัตถิภาวนิยม
ที่เกิดขึ้นก่อนลัทธิอัตถิภาวนิยมถึง 2,500 ปี
ทรรศนะของอัตถิภาวนิยมที่ว่า
มนุษย์สร้างตนเองจากการเลือกเสรีของเขา ไม่ว่าจะเป็นศีลธรรมหรืออะไรก็ตาม
ข้อนี้พระพุทธศาสนาคงไม่ขัดแย้งอะไรด้วย
เพราะพุทธศาสนายอมรับว่าศีลธรรมเป็นเรื่องของมนุษย์
และเกิดขึ้นจากมนุษย์เช่นกับลัทธิอัตถิภาวนิยม
ไม่ใช่เกิดจากแก่นสารหรือสาระที่มีอยู่แต่เดิมบางอย่าง เช่น พระเจ้า (God)
พระพุทธศาสนายอมรับว่ามนุษย์มีเจตจำนงเสรี (Free will)
และสามารถใช้เจตจำนงอันนี้พัฒนาปรับปรุงตนเองที่เรียกว่าสร้างกรรมดี (กุศลกรรม)
ซึ่งก็พ้องต้องกับลัทธิอัตถิภาวนิยม ที่เชื่อในเสรีภาพของมนุษย์
แต่ลัทธิอัตถิภาวนิยมอาจจะแตกต่างจากพุทธศาสนาที่วางใจในมนุษย์เกินไปว่า
ในการตัดสินใจเลือกนั้น มนุษย์มักจะเลือกสิ่งที่ดี
ซึ่งรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่นอยู่เสมอ (his choice involves mankind in its
entirety)(Sartre, Jean Paul, 1984:48) แต่สำหรับพุทธปรัชญาแล้ว จะเห็นว่า
ไม่จริงเสมอไป ที่มนุษย์จะใช้เสรีภาพของตนไปในทางที่ถูกที่ควรทุกครั้งไป
การเลือกเสรีที่เป็นกุศลหรืออกุศลนั้น ขึ้นอยู่กับพื้นฐานทางจิตใจของคนที่เลือกด้วย
ว่าตัดสินใจกระทำลงไปด้วยเจตสิกธรรมที่เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล
กล่าวโดยสรุป ลัทธิอัตถิภาวนิยม
สอนให้มนุษย์แสวงหาตนเองเช่นกับพุทธศาสนา
แต่การยึดถือจริยศาสตร์แบบอัตถิภาวนิยมเพียงในบางแง่มุม
อาจนำไปสู่การพอกพูนขยายอัตตาตนเองขึ้นตามการรู้จักตนเอง แม้ จัง ปอล ซาร์ต
จะเคยกล่าวว่า การใช้เสรีภาพต้องควบคู่ความรับผิดชอบก็ตาม
ส่วนการรู้จักตนเองของพุทธศาสนา เป็นการรู้จักตนเองตามสภาพเป็นจริงของสภาวธรรม
เพื่อลดอัตตาของตนเอง
หรือเพื่อเอาชนะจิตใจของตนเองแล้วจะไม่เป็นทาสของตนเองอีกต่อไป
เพราะเกิดความเข้าใจตามความเป็นจริงว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา
การรู้จักตนเองนั้นเป็นสิ่งที่ดี
ผลเสียจะเกิดขึ้นก็ตรงที่เป็นการรู้จักตนเองเพื่ออะไร
เพื่อลดหรือเพื่อพอกพูนอัตตาของตนเอง หากเป็นข้อหลัง
การรู้จักตนเองลักษณะนี้ย่อมเบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้