ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>

พุทธศาสนากับจริยศาสตร์สมัยปัจจุบัน

พุทธศาสนากับอภิจริยศาสตร์
พุทธศาสนากับจริยศาสตร์แบบอัตถิภาวนิยม
พุทธศาสนากับจริยศาสตร์แบบลัทธิมาร์กซ์
ทำไมพระพุทธองค์ตำหนิการบูชายัญ และห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
บทสรุป
บรรณานุกรม

ทำไมพระพุทธองค์ตำหนิการบูชายัญ และห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต

คำตอบก็คือ พวกอารยันอินเดียโบราณ เริ่มเปลี่ยนชีวิตจากการเป็นชนเผ่าเร่ร่อน ไปเป็นชนเผ่าที่อยู่กับที่ เป็นการเริ่มยุคเกษตรกรรม (settled agriculture) มีการเพาะ ปลูก หว่าน ไถ ส่วนการพาณิชยกรรมได้เริ่มขึ้นเช่นกัน มีการแต่งกองคาราวาน ไปค้าขายต่างเมือง จะเห็นว่าไม่ว่าจะเป็นกสิกรรมหรือพาณิชยกรรม ต่างอาศัยแรงงานปศุสัตว์ทั้งสิ้น หากปล่อยให้มีการฆ่าสัตว์บูชายัญคราวละมาก ๆ ระบบการผลิตของสังคมต้องพลอยได้รับผลกระทบไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้เปลี่ยนวิธีบูชายัญเสียใหม่ไปเป็นการสังคมสงเคราะห์แทนดังที่ปรากฏในกูฏทันตสูตรเป็นต้น เพื่อจะไม่ให้กระทบกระเทือนกับระบบการผลิตของสังคมสมัยนั้น

ส่วนคำสอนอื่น ๆ เช่น อหิงสา ความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ความขยัน เป็นต้น ล้วนมีเหตุผลจากกระบวนการผลิตของสังคมทั้งสิ้น

ทั้ง 3 ข้อนี้ แสดงให้เห็นพอเป็นตัวอย่างว่า ชาวมาร์กซิสต์มองพุทธศาสนาอย่างไร

ส่วนความคล้ายคลึงและความแตกต่างกันระหว่างพระพุทธศาสนากับลัทธิมาร์กซ์จะขอแยกแยะกล่าวเป็นข้อ ๆ ดังนี้

  1. การที่ลัทธิมาร์กซ์กล่าวว่าโครงสร้างส่วนบน(จิตสำนึกทางสังคม) มาจากโครงสร้างส่วนล่าง (รากฐานทางเศรษฐกิจ) นั้น พอเปรียบเทียบได้อย่างหยาบ ๆ กับหลักสังสารวัฏของพุทธปรัชญาดังนี้

    สังสารวัฏ คือวงจรที่หมุนเวียนเป็นปัจจัยของกันและกันแห่งกิเลส กรรม และวิบาก ที่อธิบายได้ในรูปของ ปฏิจจสมุปบาท ดังนี้
    มาร์กซ์กล่าวไว้ใน “บทวิพากษ์เศรษฐกิจการเมือง” (Critique of Political Economy) ว่า :
    “สภาพการดำรงชีวิตในสังคมของมนุษย์นั่นเองที่กำหนดความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ (their social existence that determines their social consciousness)”(Karl Marx,1978:บทนำ)
    “สภาพการดำรงชีวิต” (existence) หมายถึงวิถีชีวิตในการผลิตของสังคม ถือเป็นโครงสร้างส่วนล่าง สิ่งนี้จะเป็นรากฐานให้เกิดโครงสร้างส่วนบน เช่น การเมือง ศาสนา กฎหมาย เป็นต้น อย่างเคยกล่าวมาแล้วข้างต้น เราอาจเปรียบเทียบสภาพการดำรงชีวิตหรือระบบการผลิตได้กับกิเลสทางสังคม จากนั้นจะผลักดันให้เกิดลักษณะทางสังคมที่เป็นโครงสร้างส่วนบน (กรรม) ที่สอดคล้องกับที่มาหรือกิเลส ผลลัพธ์คือการเสวยผลทางสังคม(วิบาก) อันเกิดจากการปรุงแต่งของกรรม หรือลักษณะทางสังคม โดยที่เราอาจยกสังคมทุนนิยมมาแสดงเป็นตัวอย่างดังนี้ :

    ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ว่า เรายอมรับได้หรือไม่ว่า ความคิดของมนุษย์ โดยเฉพาะความคิดของมนุษย์ปุถุชน (สังขาร : การทำกรรม) มักถูกกำหนดโดยภาวการณ์ทางวัตถุหรือชีวิตทางการผลิต (กิเลส) แบบที่มาร์กซ์กล่าวไว้ ถ้ายอมรับได้ ก็เท่ากับยอมรับประเด็นที่คล้ายคลึงกันระหว่างพุทธศาสนากับลัทธิมาร์กซ์ และเท่ากับยอมรับว่า จริยธรรม (ส่วนที่เป็นจิตใจหรือโครงสร้างส่วนบน) เป็นเพียงผลพลอยได้ของสภาวะที่เป็นกระบวนการผลิตของมนุษย์ หากเป็นเช่นนั้นจริง ศาสนาอย่างพุทธศาสนาก็หนีไม่พ้นไปจากเงื่อนไขนี้

  2. พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระองค์เป็นสัมมาสัมพุทธ ไม่มีผู้ใดเป็นครู สิ่งที่พร่ะองค์ตรัสรู้คือ ความจริง (reality) ซึ่งอาจจะเรียกว่า ไตรลักษณ์ อริยสัจ 4 หรือปฏิจจสมุปบาทก็ได้ สุดแท้แต่ว่าจะมองจากจุดใด ความจริงนี้เป็นกฎธรรมชาติที่มีอยู่อย่างนั้น (ธมฺมฐิตตา) ไม่ได้เกิดขึ้นจากการสร้างสรรค์ของใคร

ฉะนั้น ระบบศีลธรรมของพระพุทธศาสนาก็คือ ระบบที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติขึ้นจากการตรัสรู้ของพระองค์ อย่างสอดคล้องกับเป้าหมายหรือความจริงแท้ ที่ชาวพุทธต้องเดินให้ถึงจุดนั้น อย่างที่พระองค์เคยตรัสไว้ว่า ทรงเป็นเพียงผู้บอกทาง (อกฺขาตาโร ตถาคตา) กล่าวคือทรงแสดงคำสอน ที่เป็นศีล วินัย หรือธรรมะ ที่เหมาะแก่เป้าหมายให้คนนำไปปฏิบัติในชีวิต

จากเหตุผลดังกล่าว จะพบว่า ศีลธรรมหรือระบบจริยธรรมในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ผลพลอยได้จากสังคม หรือเกิดจากสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจของสังคม แต่เกิดขึ้นจากการแสวงหาความจริงจนกระทั่งได้ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ซึ่งเราอาจกล่าวว่า พระพุทธศาสนาคือศาสนาที่เกิดขึ้นจากการแสวงหาความจริงของพระพุทธองค์ แม้จะได้รับแรงบันดาลใจจากสภาพการณ์การณ์ที่มีในสังคม แต่ก็ไม่ถูกต้องที่จะกล่าวว่ามาจากการผลักดันจากสภาพการณ์ของสังคมเท่านั้นโดยส่วนเดียว

คนเรามักจะเข้าใจว่า มนุษย์โดยทั่วไปมักพูด คิดและทำ (ทำกรรม) เพราะแรงผลักดันของสิ่งแวดล้อม (สภาวการณ์ทางสังคม ซึ่งรวมเอาวิถีชีวิตทางการผลิตด้วย) แต่หากจะพิจาณากันอย่างถี่ถ้วนแล้ว สิ่งแวดล้อมเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้น จริง ๆ นั้น ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกที่ทำให้มนุษย์ทำกรรมแต่ละอย่างลงไป เหมือนการขึ้นบันได บันไดขั้นแรกอาจเป็นปัจจัยทำให้เรายืนอยู่บันไดขั้นที่ 2 ได้ แต่การจะขึ้นขั้นที่ 3 ต่อ หรือจะไม่ขึ้นคือ เดินกลับลงไป ก็ขึ้นอยู่กับตัวมนุษย์ผู้นั้นที่ยืนอยู่บนบันไดอยู่ดี มนุษย์จึงมีเจตจำนงเสรี และไม่ใช่ถูกกำหนดโดยสิ่งแวดล้อมโดยส่วนเดียว

ประเด็นสำคัญจะอยู่ที่ว่า ถ้ามนุษย์มีกิเลส กล่าวคือ ใช้อวิชชา ตัณหา อุปาทาน เป็นตัวนำชีวิตแล้ว ไม่ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ภายใต้สังคม (ภาวการณ์ทางการผลิต) เช่นใด เขาอาจทำอกุศลกรรม เช่น สร้างระบบศีลธรรมผิด ๆ อย่างมาร์กซ์เคยกล่าวไว้ แล้วก่อให้ให้เกิดผลกรรมตามนั้น เช่น ขาดการไว้วางใจระหว่างกัน หวาดระแวงต่อกัน และจนถึงที่สุดต้องขัดแย้งต่อสู้กัน จนก่อให้เกิดความเดือดร้อนในสังคม ข้อนี้อาจจริงอย่างมาร์กซ์ได้กล่าวไว้

แต่จะยึดเอามนุษย์ที่มีกิเลสดังกล่าว มาเป็นมาตรฐานสำหรับการมองมนุษย์ว่าจะเป็นเช่นนั้นไปเสียทั้งหมดคงไม่ถูกต้อง นอกจากมีกิเลสแล้ว บางครั้งมนุษย์ยังมีความสำนึกรับผิดชอบชั่วดี มากน้อยตามพื้นฐานนิสัยที่ตนได้รับการอบรมสั่งสอนมาอีกด้วย ฉะนั้น ศีลธรรมที่ถูกต้องและดีงามในทรรศนะของพุทธปรัชญานั้น มีอยู่อย่างแน่นอน โดยไม่ต้องรอจนกระทั่งถึงสังคมใหม่ ไม่ว่าสังคมนั้นจะเป็นสังคมคอมมิวนิสต์ที่มาร์กซ์บอกว่าจะมีศีลธรรมอย่างแท้จริงเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม กล่าวคือ สามารถเกิดขึ้นแม้ในปัจจุบัน ภายใต้สภาพการผลิตทุกแบบของสังคม หากมนุษย์ใช้วิชชาหรือปํญญาเป็นตัวนำชีวิต

ถ้ามีสังคมคอมมิวนิสต์จริง ๆ พุทธศาสนาคงจะมองว่า มนุษย์ในสังคมเช่นนั้นมีกิเลส ตัณหา อุปาทานหรือไม่ ถ้ามนุษย์ยังมีกิเลสเป็นต้นดังกล่าว ก็แน่นอนว่า ถ้าให้คนเช่นนั้นสร้างระบบศีลธรรมขึ้นมา เขาย่อมสร้าระบบศีลธรรมที่เอื้อประโยชน์เฉพาะชาวพรรคคอมมิวนิสต์เป็นหลัก แม้ว่าพวกเขาจะประกาศตนเองว่าเป็นผู้พิทักษ์ผลประโยชน์ของผู้เสียเปรียบก็ตาม อย่างเช่นเคยเกิดและกำลังเกิดกับประชาชนในประเทศคอมมิวนิสต์หลายๆ ประเทศมาแล้ว

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย