ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>

วรรณกรรมพระพุทธศาสนาในสังคมยุคใหม่

การตีความปฏิจจสมุปบาทแนวใหม่

หลักธรรมท่านพุทธทาสนำมาตีความใหม่อาจจะมีหลายอย่าง แต่ที่ถือว่าโดดเด่นที่สุดและเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์มากที่สุด คือ การตีความปฏิจจสมุปบาทแบบตรงข้ามกับจารีตดั้งเดิมในคัมภีร์วิสุทธิมรรคที่ได้รับการยอมรับกันมาเป็นเวลานานในสังคมไทย จารีตการตีความดังกล่าวนี้คือการตีความแบบข้ามภพข้ามชาติ โดยแบ่งวงจรของปฏิจจสมุปบาทวงหนึ่ง ๆ ออกเป็น 3 ชาติ คือ –

1) ชาติอดีต ได้แก่ อวิชชา สังขาร
2) ชาติปัจจุบัน ได้แก่ วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ภพ
3) ชาติอนาคต ได้แก่ ชาติ ชรามรณะ ฯลฯ

จะเห็นว่าการตีความตามแนวนี้ กว่าวงจรของปฏิจจสมุปบาทวงหนึ่ง ๆ จะหมุนไปครบ จะต้องเกิดแล้วตายถึง 3 ชาติเดียวทีเดียว ท่านพุทธทาสวิจารณ์ว่า “ปฏิจจสมุปบาทคร่อม 3 ชาติ นั้นมันเป็นเนื้องอก เป็นโรคมะเร็ง เนื้องอกทางปริยัติ ที่รักษาไม่หาย อย่างโรคมะเร็งทั่วไป” และว่า “การอธิบาย ปฏิจจสมุปบาทสายเดียว คร่อมถึง 3 ชาตินั้นผิด ผิดหลักในพระบาลี ผิดทั้งโดยทางพยัญชนะและโดยอรรถ” จากนั้น ท่านได้เสนอวิธีการตีความใหม่ว่า “มันต้องเป็นปฏิจจสมุปบาทที่ถูกต้องตามพระบาลีเดิม แล้วก็ปฏิบัติได้ ควบคุมได้ ล้วนแต่ที่นี่ อยู่ในเขตที่มือคว้าถึงทั้งนั้น หมายถึงเราอาจปฏิบัติได้ จัดการได้ทั้งนั้น” การตีความในแนวนี้ของท่านพุทธทาส เท่ากับเป็นการปฏิเสธการเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่าง ๆ ตามความเชื่อเดิมอย่างสิ้นเชิง นอกจากนั้น ยังเป็นการปฏิเสธจักรวาลวิทยาแบบเดิมพร้อมไปในตัวด้วย อย่างไรก็ตาม การตีความของท่านที่ถือว่าสั่นคลอนฐานคิดเดิมมากที่สุด คือ การตีความองค์ธรรมในปฏิจจสมุปบาทช่วงรอยต่อระหว่างชาติทั้ง 3 คือ-

  • วิญญาณ เป็นปัจจัยให้เกิด นามรูป : คำว่า “วิญญาณ” ในที่นี้ คัมภีร์วิสุทธิมรรคตีความว่าหมายถึงปฏิสนธิวิญญาณที่รับผลกรรมมาจากอดีตชาติแล้วมาเกิดเป็น “นามรูป” ในชาติปัจจุบัน ตรงนี้ท่านพุทธทาสไม่เห็นด้วย โดยท่านตีความใหม่ว่าหมายถึงวิญญาณที่เกิดจากการรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนั่นเอง ดังคำกล่าวของท่านที่ว่า “แม้วิสุทธิมรรคก็เหมือนกัน อธิบายเลยเถิดเป็นปฏิสนธิวิญญาณ แล้วในหนังสือตำราเรียนรุ่นหลังทุกเล่มก็อธิบายในทำนองปฏิสนธิวิญญาณ…มันก็เลยเถิดไปคนละเรื่องคนละสายไปเลย” เมื่อปฏิเสธว่าวิญญาณในที่นี้ไม่ใช่ปฏิสนธิวิญญาณ ก็เท่ากับเป็นการปฏิเสธอดีตชาติอันเป็นที่มาของวิญญาณนั้นด้วย ส่วนคำว่า “นามรูป” มักจะตีความกันว่าหมายถึงการที่ชีวิตหนึ่ง ๆ คลอดจากครรภ์มารดา แต่ท่านพุทธทาสตีความใหม่ว่า นามรูปในที่นี้ หมายถึง ร่างกายและจิตใจถูกวิญญาณปรุงแต่งให้อยู่ในสภาวะพร้อมที่จะเป็นทุกข์ ไม่ใช่การเกิดจากท้องแม่ในภาษาคน ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า “ตามธรรมดาร่างกายจิตใจของเราไม่อยู่ในลักษณะที่จะเป็นทุกข์ จะต้องมีอวิชชา หรือมีอะไรมาปรุงแต่ง ให้มันเปลี่ยนมาอยู่ในลักษณะที่มันอาจจะเป็นทุกข์ ดังนั้น จึงเรียกว่านามรูปก็เพิ่งเกิดเดี๋ยวนี้ เฉพาะกรณีนี้…วิญญาณนี้ก็จะช่วยให้ร่างกายกับจิตใจนี้เปลี่ยนสภาพ ลุกขึ้นมาสำหรับทำหน้าที่ พร้อมที่จะเป็นทุกข์”
  • ภพ เป็นปัจจัยให้เกิด ชาติ : ตรงนี้เป็นรอยต่อระหว่างชาติปัจจุบันกับชาติในอนาคต ถ้าตีความแบบจารีตก็หมายความว่า ชีวิตในชาติปัจจุบันทำกรรม (กรรมภพ) อย่างใดอย่างหนึ่งแล้วส่งผลให้ไปเกิด (อุปัตติภพ) เป็นสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่งในอนาคตชาติ (ชาติ) ท่านพุทธทาสตีความตรงนี้ว่า “อุปาทานยึดมั่นเป็นความทุกข์ของกู มันก็เกิด ‘กู’ ขึ้นมา เรียกว่าภพ แล้วเบิกบานเต็มที่เรียกว่าชาติ” และว่า “คำว่าภพ คำว่าชาติ ที่แปลว่า ความมีความเป็นหรือความเกิดขึ้น ในกรณีของปฏิจจสมุปบาทนี้ มิได้หมายถึงความเกิดทางมารดา ไม่ใช่เกิดจากครรภ์มารดา มันเกิดทางนามธรรมที่เกิดด้วยอุปาทาน ที่ปรุงขึ้นมาเป็นความรูสึกว่า “ตัวกู” นั่นแหละคือเกิด”

โดยสรุป คำว่า “นามรูป” ก็ดี คำว่า “ชาติ” ก็ดี (รวมทั้งการตายด้วย) ในทัศนะของท่านพุทธทาส หมายถึงการเกิดในทางจิตวิทยา ไม่ได้หมายถึงการเกิดทางเนื้อหนังหรือคลอดจากท้องมารดา โดยท่านได้โต้แย้งการตีความแบบจารีตว่า ถ้าเราตีความคำว่า “ชาติ” หรือ “นามรูป” ให้หมายถึงการเกิดของชีวิตจากท้องมารดา เวลาชาติหรือนามรูปดับ ก็ต้องหมายถึงการดับชีวิตหรือตายด้วย ท่านได้ยกตัวอย่างการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าว่า “ปฏิจจสมุปบาทไม่ใช่ภาษาคนแน่ ตะกี้ก็พูดทีหนึ่งแล้ว ถ้าเรื่องปฏิจจสมุปบาทเป็นภาษาคน เรื่องก็จะเป็นไปว่า พอพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว จะต้องสิ้นพระชนม์คาต้นโพธิ์นั่นเอง พออวิชชาดับ สังขารดับ วิญญาณดับ นามรูปดับ ก็ตายกันที่ตรงนั้น”

ยุคใหม่ในสังคมตะวันตก
ยุคใหม่ในสังคมไทย
วรรณกรรมแบบจารีตลังกา
จักรวาลวิทยาแบบไตรภูมิ
วรรณกรรมในช่วงเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมยุคใหม่
แนวโน้มวรรณกรรมพระพุทธศาสนาในสังคมยุคใหม่
โครงเรื่องแนวเหตุผลนิยม
การวิพากษ์เรื่องอภินิหาร
การตีความเรื่องอภินิหาร
การวิพากษ์ความไม่สมเหตุสมผล
ยุคใหม่ตอนกลาง : วรรณกรรมของท่านพุทธทาสภิกขุ
ภาษาคน-ภาษาธรรม : ทฤษฎีการตีความของท่านพุทธทาส
การวิพากษ์พระไตรปิฎก อรรถกถา และวิสุทธิมรรค
การปฏิเสธจักรวาลวิทยาแบบอภิปรัชญา
การตีความปฏิจจสมุปบาทแนวใหม่
การฟื้นฟูมิติโลกุตรธรรม
วรรณกรรมของพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต)
การฟื้นฟูมิติทางสังคมแนวพุทธ
การวิพากษ์ฐานคิดตะวันตกและเสนอแนวคิดแบบองค์รวมเชิงพุทธ
วรรณกรรมของฟริตจ๊อฟ คาปร้า
ทัศนะแบบจักรกล (mechanistic view)
ทรรศนะแบบลดทอน (Reductionistic view)
แนวคิดพิชิตธรรมชาติ (conquest of nature)
ควอนตัมฟิสิกส์ กับ พระพุทธศาสนา
กลุ่มวรรณกรรมที่เน้นพุทธจริยธรรมเชิงสังคม
วรรณกรรมของนายแพทย์ประเวศ วสี
วรรณกรรมของนิธิ เอียวศรีวงศ์
วรรณกรรมที่เน้นจริยธรรมแบบผูกพันกับสังคม
วรรณกรรมของนายแพทย์ประสาน ต่างใจ
นิพพานในฐานะเป็นวิวัฒนาการขั้นสูงสุดของจิต
วรรณกรรมของปริญญา ตันสกุล
โครงสร้างจิตและการทำงานของจิต
การเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ
การปฏิบัติเพื่อเข้าสู่นิพพาน
วรรณกรรมพระพุทธศาสนากับแนวคิดหลังสมัยใหม่
บทสรุป
บรรณานุกรม

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย