ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>

วรรณกรรมพระพุทธศาสนาในสังคมยุคใหม่

บทสรุป

วรรณกรรมกับสังคมเป็นภาพสะท้อนซึ่งกันและกันชนิดที่แยกกันไม่ออก เพราะผู้แต่งวรรณกรรมไม่ได้เกิดขึ้นมาท่ามกลางความว่างเปล่าของสังคม หากแต่ถูกหลอมด้วยความคิดความเชื่อจากสังคมอยู่อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น นักประพันธ์จะผลิตวรรณกรรมขึ้นสักชิ้นหนึ่ง ย่อมมีคำถามอยู่ในใจเสมอว่า เนื้อหาที่จะเขาจะนำมาเสนอนั้นคืออะไร เขากำลังจะผลิตวรรณกรรมเพื่อสื่อกับคนในสังคม (ผู้เสพ) ที่มีค่านิยมความเชื่อแบบใด คำถามเหล่านี้ล้วนมีบทบาทในการกำหนดรูปแบบและการตีความเนื้อหาที่เสนอผ่านงานวรรณกรรม วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา เช่น พระไตรปิฎก อรรถกถา วิสุทธิมรรค และไตรภูมิพระร่วง เป็นต้น ล้วนมีร่องรอยที่สะท้อนให้เห็นความพยายามในการนำเอาหลักพุทธธรรมมาออกแบบ ตีความ และหาทางสร้างคำอธิบายใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองกระแสแนวโน้มของสังคมในยุคนั้น ๆ

วรรณกรรมพระพุทธศาสนาในช่วงรอยต่อระหว่างยุคเก่ากับยุคใหม่ในสังคมไทย หรือตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์เป็นต้นมา ล้วนเป็นภาพสะท้อนให้เห็นโลกทัศน์แบบเก่า (ไตรภูมิ) ที่กำลังสูญเสียฐานยืนในสังคม และในขณะเดียวกันก็ได้สะท้อนให้เห็นการเข้ามาแทนที่ของโลกทัศน์แบบใหม่ที่ตั้งอยู่บนฐานของเหตุผลนิยมแบบวิทยาศาสตร์ตะวันตก โลกทัศน์แบบใหม่ในบริบทสังคมยุคใหม่ดังกล่าวมานี้ ถือว่าเป็นกระแสสังคมที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างแนวโน้มวรรณกรรมพระพุทธศาสนาให้มีเอกลักษณ์พิเศษที่แตกต่างจากวรรณกรรมในสังคมยุคเก่า

จากคำถามที่ผู้วิจัยได้ตั้งเอาไว้ข้างต้นว่า บริบทสังคมยุคใหม่มีความสัมพันธ์กับแนวโน้มวรรณกรรมพระพุทธศาสนาอย่างไร และในขณะเดียวกันวรรณกรรมพระพุทธศาสนาในสังคมยุคใหม่ ได้เป็นกระจกที่สะท้อนให้เห็นกระแสแนวโน้มของสังคมอย่างไรบ้าง จากการศึกษาวรรณกรรมพระพุทธศาสนาตั้งแต่สังคมไทยเข้าสู่ยุคใหม่จนถึงปัจจุบัน ตลอดถึงงานวรรณกรรมของชาวต่างประเทศบางชิ้นที่เกิดขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ผู้วิจัยได้คำตอบเกี่ยวกับแนวโน้มวรรณกรรมที่หลากหลายพอสมควร โดยสามารถสรุปแนวโน้มหลัก ๆ ได้ดังนี้

1) กลุ่มวรรณกรรมแนวเหตุผลนิยมและมนุษยนิยม : ได้แก่ วรรณกรรมแนวที่เกิดขึ้นในช่วงยุคใหม่ตอนต้นและตอนกลาง หรือในช่วงที่กระแสสังคม (ปัญญาชน) กำลังโน้มเอียงไปในแนวเหตุผลนิยมและวิทยาศาสตร์ตะวันตก เช่น วรรณกรรมเรื่อง “พุทธประวัติ (เล่ม 1)” ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส และวรรณกรรมของท่านพุทธทาสภิกขุ ลักษณะเด่นสำคัญของวรรณกรรมที่เกิดขึ้นในยุคนี้ คือ การนำเสนอหลักพุทธธรรมอย่างเป็นเหตุเป็นผลแบบวิทยาศาสตร์ที่สามารถประจักษ์ได้และพิสูจน์ในชีวิตนี้และเดี๋ยวนี้ ขณะเดียวกันก็ได้ปฏิเสธสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยหลักเหตุผล เช่น เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ และสิ่งลึกลับเหนือธรรมชาติที่แทรกปนอยู่ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา วรรณกรรมเรื่อง “พุทธประวัติ (เล่ม 1)” ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ได้สะท้อนให้เห็นแนวคิดแบบเหตุผลนิยมอย่างชัดเจน โดยผู้นิพนธ์ได้ตัดทอดเนื้อหาพุทธประวัติที่เกี่ยวกับเรื่องอภินิหารออกไป พร้อมกันนั้นก็ได้วิพากษ์วิจารณ์และเสนอการตีความใหม่เพื่อให้เป็นที่ยอมรับได้ในเชิงเหตุผล เช่นเดียวกับงานวรรณกรรมของท่านพุทธทาสภิกขุ ที่พยายามกลับไปหารากฐานดั้งเดิมของพุทธธรรมในพระไตรปิฎก ในขณะเดียวกันก็ปฏิเสธข้อความบางส่วนในพระไตรปิฎกที่ท่านเห็นว่าไม่สามารถอธิบายได้ด้วยหลักเหตุผลสมัยใหม่ เช่น ข้อความในจันทิมสูตร และสุริยสูตร ที่เกี่ยวกับเรื่องราหูอมจันทร์และอมพระอาทิตย์ เป็นต้น ท่านพุทธทาสภิกขุมองว่าข้อความเหล่านี้ไม่ทนต่อการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์และไม่ใช่พุทธพจน์ หากแต่ถูกเพิ่มเติมเข้ามาโดยคนรุ่นหลัง

ลักษณะอีกอย่างหนึ่งของวรรณกรรมยุคนี้ คือ เน้นความเป็นมนุษยนิยม หมายถึงการเน้นคุณค่าและความสำคัญของชีวิตมนุษย์ในชาตินี้ เช่น สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ได้นำเสนอประวัติของพระพุทธเจ้าในฐานะเป็นมนุษย์ทางประวัติศาสตร์คนหนึ่ง โดยได้ตัดทอนเนื้อหาในส่วนที่เป็นอดีตชาติและเรื่องอภินิหารเหนือมนุษย์ทิ้งไป ขณะที่ท่านพุทธทาสภิกขุ ก็ได้เน้นการปฏิบัติธรรมเพื่อเข้าถึงคุณค่าของชีวิตในชาตินี้และเดี๋ยวนี้ โดยปฏิเสธการทำบุญเพื่อปรารถนาสวรรค์วิมานในชาติหน้า และปฏิเสธแนวการอธิบายปฏิจจสมุปบาทแบบข้ามภพข้ามชาติ เพราะเป็นการอธิบายที่ท่านมองว่าไม่เป็น “สันทิฏฐิโก” คือไม่สามารถประจักษ์ได้ในชีวิตนี้และเดี๋ยวนี้

2) กลุ่มวรรณกรรมที่เสนอจริยธรรมเชิงสังคม : ได้แก่ วรรณกรรมที่พยายามมองสังคมในระดับโครงสร้างทั้งระบบบนพื้นฐานของหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา วรรณกรรมแนวนี้เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองบริบทสังคมแบบใหม่ที่เน้นการแก้ปัญหาสังคมในระดับโครงสร้าง การอธิบายปัญหาในสังคมไทยยุคเก่าหรือสังคมแบบศักดินา มักจะเน้นการมองปัญหาของปัจเจกบุคคล เป็นสำคัญ เช่น ปัญหาความเหลื่อมล้ำต่ำสูงในสังคม ปัญหาความยากจน เป็นต้น มักจะมองว่าเป็นเรื่อง “กรรมใดใครก่อ” หรือเป็นเรื่องของการสร้างบุญบารมีมาไม่เท่ากันในชาติปางก่อน แต่หลังจากที่สังคมไทยเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยในปี พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา ลักษณะการมองปัญหาสังคมในระดับโครงสร้างเริ่มมีมากขึ้น ประกอบกับกระแสการโจมตีและการวิพากษ์วิจารณ์ของนักวิชาการตะวันตกและนักวิชาการไทยบางคนที่ได้รับการศึกษาจากตะวันตกว่าจริยธรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นจริยธรรมแนวปัจเจก คือเน้นความดีงามส่วนบุคคล โดยขาดจริยธรรมเชิงสังคมที่เน้นการแก้ปัญหาในระดับโครงสร้างโดยรวม

ท่ามกลางบริบททางสังคมดังกล่าวมานี้ ทำให้ชาวพุทธไทยหลายท่านพยายามตอบสนองด้วยเสนอวรรณกรรมที่เน้นพุทธจริยธรรมเชิงสังคม เช่น งานบุกเบิกของท่านพุทธทาสภิกขุ เรื่อง “ธัมมิกสังคมนิยม” ที่มองสังคมและธรรมชาติสิ่งแวดล้อมทั้งหมดว่าตั้งอยู่ฐานของ “ธรรม” หรือกฎธรรมชาติที่มีความเชื่อมโยงและพึ่งอาศัยซึ่งกันและกัน และงานของท่านธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) เรื่อง “ศีลกับเจตนารมณ์ทางสังคม” ที่มองว่าศีลตามหลักพระพุทธศาสนา มีเจตนารมณ์ในทางสังคม คือมุ่งไปที่การจัดระบบโครงสร้าง ระเบียบแบบแผน การจัดสรรโอกาส และการสร้างสภาพแวดล้อมทางสังคมให้เอื้อต่อการพัฒนาชีวิตเพื่อเข้าถึงความดีงามสูงสุด

นอกจากนั้น ในท่ามกลางปัญหาของสังคมยุคใหม่ที่เน้นการพัฒนาแบบทุนนิยม จนทำให้เกิดปัญหาความเสื่อมทรามทางด้านศีลธรรม ปัญหาการพัฒนาไม่ยั่งยืน รวมทั้งปัญหาความยากจน ปัญหาการก่อการร้าย เป็นต้น ทำให้นักคิดชาวพุทธหลายท่านพยายามนำเสนอพุทธจริยธรรมเชิงสังคมในแง่มุมที่หลากหลาย เช่น นายแพทย์ประเวศ วสี พยายามนำเสนอวิธีแก้ปัญหาความเสื่อมทรามทางด้านศีลธรรม ด้วยการแก้ที่ระดับโครงสร้างของสังคม คือ การสร้างความเป็นปึกแผ่นขึ้นในชุมชนและครอบครัว จึงจะสามารถฟื้นฟูศีลธรรมให้กลับคืนมาได้ ในขณะที่ ดร. นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้นำแนวคิดเรื่องกรรมในพระพุทธศาสนามาอธิบายในฐานะเป็นการกระทำร่วมกันของคนในสังคม ไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง นอกจากนั้น ยังมีนักคิดชาวพุทธอีกกลุ่มหนึ่งที่เสนอว่า การตีความพุทธจริยธรรมให้ครอบคลุมมิติทางสังคมยังไม่เพียงพอต่อการรับมือกับปัญหาของสังคมโลกยุคใหม่ ทางที่ดีต้องนำพุทธจริยธรรมไปผูกติด (engage) แนบแน่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับสังคมเลยทีเดียว นั่นคือชาวพุทธต้องมีจิตสำนึกตระหนักรู้ในปัญหาสังคม (สติ) หลอมรวมตัวเองให้เป็นหนึ่งเดียวกับโลก และมีความกระตือรือร้นพร้อมที่จะลงมือช่วยเหลือสัตว์โลก โดยมองว่าการปฏิบัติธรรมกับการช่วยเหลือสังคมไม่ได้แยกออกจากกัน กลุ่มนักคิดชาวพุทธที่นำเสนอวรรณกรรมในแนวนี้ เรียกว่า “พระพุทธศาสนาแบบผูกพันกับสังคม” เช่น ท่านติช นัท ฮันส์ องค์ทะไล ลามะ ส.ศิวรักษ์ เป็นต้น

3) กลุ่มวรรณกรรมที่เสนอกระบวนทัศน์เชิงพุทธ : ในท่ามกลางบริบทสังคมโลกที่ประสบปัญหาการพัฒนาที่ตั้งอยู่บนรากฐานความคิดแบบวิทยาศาสตร์กระแสหลัก นั่นคือวิธีคิดในการหาความจริงแบบลดทอนหรือแยกส่วน และวิธีคิดแบบใฝ่ปรารถนาที่จะเอาชนะธรรมชาติ วิธีคิดแบบนี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในสังคมตะวันตกว่าเป็นรากฐานที่มาของการครอบงำธรรมชาติสิ่งแวดล้อมและเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ขณะที่สังคมตะวันตกกำลังประสบปัญหาความติดตันของวิธีคิดแบบเดิมและกำลังแสวงหาฐานความคิดแบบใหม่อยู่นั้น ได้มีนักคิดชาวตะวันตกและนักชาวพุทธไทยบางท่านพยายามนำเสนอกระบวนทัศน์เชิงพุทธขึ้นมาเพื่อเป็นทางเลือกในการหาทางออกให้กับสังคมโลก นักคิดชาวตะวันตกที่ถือว่ามีบทบาทโดดเด่น คือ ฟริตจ๊อฟ คาปร้า เขาได้เสนอกระบวนทัศน์แบบองค์รวมบนรากฐานของวิธีคิดแบบฟิสิกส์ใหม่ หรือควอนตัมฟิสิกส์ โดยพยายามเชื่อมโยงให้เห็นความสอดคล้องกันกับวิธีคิดแบบองค์รวมของตะวันออก เช่น วิธีคิดแบบเต๋า และแบบพุทธศาสนา เป็นต้น และนักคิดไทยที่ถือว่ามีบทบาทโดดเด่น คือ ท่านพระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) ท่านได้ชี้ให้เห็นความผิดพลาดของการพัฒนาที่ตั้งอยู่บนฐานของวิธีคิดแบบตะวันตกเช่นเดียวกับฟริตจ๊อฟ คาปร้า และได้เสนอวิธีคิดแบบองค์รวมแนวพุทธ แนวคิดแบบองค์รวมที่ท่านเสนอ คือ การพัฒนาที่ต้องให้เกิดดุลยภาพระหว่างชีวิต สังคม และธรรมชาติ

4) กลุ่มวรรณกรรมที่เสนอจักรวาลวิทยาเชิงพุทธแนวใหม่ : ได้แก่กลุ่มวรรณกรรมที่พยายามนำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับกำเนิดมาที่ของสรรพสิ่งในจักรวาลบนฐานของการตีความคำสอนทางพระพุทธศาสนา เช่น คำสอนเรื่อง “จิตหนึ่ง” “ศูนยตา” “อนัตตา” และ “นิพพาน” เป็นต้น นักคิดกลุ่มนี้มองว่า สรรพสิ่งในจักรวาลมีกำเนิดที่มาจากปฐมเหตุอย่างเดียวกัน นั่นคือจิต หรืออย่างที่นายแพทย์ประสาน ต่างใจ เรียกว่า “จิตจักรวาล” และปริญญา ตันสกุล เรียกว่า “องค์จิตจักรวาล” จิตหรือปฐมเหตุนี้ ดำรงอยู่ในสภาพของพลังงานที่ว่างเปล่า (ศูนยตา) และปราศจากตัวตน (อนัตตา) นายแพทย์ประสาน มองว่า จากจิตหรือวิญญาณอันเป็นปฐมเหตุนี้เอง ได้วิวัฒนาการมาเป็นสรรพสิ่งในจักรวาล ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม นิพพาน คือการที่จิตได้วิวัฒนาการถึงขั้นสูงสุดจนรู้ความจริงของธรรมชาติพื้นฐานดั้งเดิมของตน ส่วนปริญญา มองว่า องค์จิตจักรวาล เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งในจักรวาล สำหรับมนุษย์นั้น เป็นการแบ่งภาคออกมาจากองค์จิตจักรวาลแล้วมาเกิดยังดาวเคราะห์โลก การบรรลุนิพพาน คือการที่จิตได้รับการพัฒนาจนถึงขั้นที่สามารถสลัดหลุดออกจากแรงโน้มถ่วงของโลกและย้อนกลับไปอยู่ในแดนแห่งนิพพานร่วมกับองค์จิตจักรวาล

5. กลุ่มวรรณกรรมแนวหลังสมัยใหม่ : ได้แก่ กลุ่มวรรณกรรมที่พยายามนำเอาแนวคิดหลังสมัยใหม่เข้ามาเปรียบเทียบกับแนวคิดทางพระพุทธศาสนา วรรณกรรมกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มองว่าถึงแม้แนวคิดหลังสมัยใหม่จะท้าทายวิธีหาความจริงหรือข้ออ้างเกี่ยวกับความจริงที่เสนอผ่านภาษาในยุคสมัยใหม่ทุกรูปแบบ (ทั้งในรูปของแนวคิดและทฤษฎีบรรยายถึงความจริงด้วยภาษา) แต่ก็ไม่มีผลกระทบต่อพระพุทธศาสนาแต่อย่างใด เพราะพระพุทธศาสนาก็ยืนยันอยู่แล้วว่าโลกที่มนุษย์ปุถุชนรับรู้ในชีวิตประจำวันนั้น ไม่ใช่โลกแห่งความจริงตามที่มันเป็นอยู่จริง ๆ หากแต่เป็นการรับรู้บนฐานของอวิชชาแล้วก็คิดปรุงแต่งสร้างสรรค์เป็นทวิภาวะระหว่างผู้รู้ (subject) กับสิ่งที่ถูกรู้ (object) แท้ที่จริงแล้วทั้งผู้รู้และสิ่งที่ถูกรู้หามีอยู่จริง ๆ ไม่ (ศูนยตา) และพระพุทธศาสนาก็ยอมรับอยู่แล้วว่าความจริงเป็นสิ่งที่อยู่เหนือระบบสมมติบัญญัติของมนุษย์ทั้งหมด ดังนั้น แนวคิดหลังสมัยใหม่บางอย่างจึงไปกันไปกับพระพุทธศาสนา

กลุ่มนักวิชาการเหล่านี้ส่วนใหญ่มีความเห็นสอดคล้องกันว่าแนวคิดหลังสมัยใหม่ไม่มีผลกระทบต่อพระพุทธศาสนาแต่อย่างใด ตรงกันข้าม กลับช่วยทำให้เข้าใจแนวคิดเรื่อง “ศูนยตา” และ “อทวิภาวะ” ในพระพุทธศาสนาได้ง่ายขึ้นด้วย โดยเฉพาะแนวคิดที่ว่าเราไม่สามารถเข้าถึงความจริงได้ด้วยระบบภาษาและความคิด (รวมทั้งการใช้เหตุผล) ดั้งนั้น ทั้งพระพุทธศาสนาและแนวคิดหลังสมัยใหม่จึงสอนมีความเห็นสอดคล้องกันในแง่ที่สอนให้เรา “ถอดรื้อ” (deconstruct) ความเชื่อในบัญญัติทางภาษา ๆ ที่ว่าเราสามารถต้นหาความจริงจากภาษาได้ หรือสามารถใช้ภาษาเป็นกระจกเงาสะท้อนให้เห็นความจริงได้ (Logocentric) รวมทั้งมโนทัศน์ทั้งหลายที่สร้างขึ้นจากการรับรู้โลกทางประสาทสัมผัสในชีวิตประจำวันของเราด้วย เพราะเมื่อเราวิเคราะห์จนถึงที่สุดแล้วจะเห็นว่าระบบของภาษาเป็นเพียงการเอาถ้อยคำต่าง ๆ มาร้อยเรียงผูกเป็นประโยชน์ขึ้นแล้วสร้างความหมายบางอย่างขึ้นมา หรือแม้แต่มโนทัศน์ (concepts) ของเราก็เช่นเดียวกัน ก็เป็นเพียงการเชื่อมโยงประสบการณ์ต่าง ๆ ในการรับรู้โลกของเราแล้วก็สร้างเป็นความคิดรวบยอดขึ้นมาเท่านั้นเอง

แนวโน้มต่าง ๆ ของวรรณกรรมพระพุทธศาสนาที่ผู้วิจัยเสนอมานี้ คือ ภาพความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องของวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา ผู้วิจัยมองว่าแนวโน้มวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาไม่เคยหยุดนิ่งตายตัว หากแต่มีพลวัตและมีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงให้มีชีวิตชีวาอยู่เสมอตามความเปลี่ยนแปลงของสังคม และยังคงต้องเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ต่อไปในอนาคต ถามว่าความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีปัญหาอะไรหรือไม่ ผู้วิจัยมองว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่ามีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในวรรณกรรม หากแต่อยู่ที่ว่าในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงและความพยายามปรับพระพุทธศาสนาให้เข้ากับสังคมยุคใหม่นั้น เราสามารถรักษาจุดยืนหรือหลักการดั้งเดิมของพระพุทธศาสนาไว้ได้หรือไม่

ยุคใหม่ในสังคมตะวันตก
ยุคใหม่ในสังคมไทย
วรรณกรรมแบบจารีตลังกา
จักรวาลวิทยาแบบไตรภูมิ
วรรณกรรมในช่วงเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมยุคใหม่
แนวโน้มวรรณกรรมพระพุทธศาสนาในสังคมยุคใหม่
โครงเรื่องแนวเหตุผลนิยม
การวิพากษ์เรื่องอภินิหาร
การตีความเรื่องอภินิหาร
การวิพากษ์ความไม่สมเหตุสมผล
ยุคใหม่ตอนกลาง : วรรณกรรมของท่านพุทธทาสภิกขุ
ภาษาคน-ภาษาธรรม : ทฤษฎีการตีความของท่านพุทธทาส
การวิพากษ์พระไตรปิฎก อรรถกถา และวิสุทธิมรรค
การปฏิเสธจักรวาลวิทยาแบบอภิปรัชญา
การตีความปฏิจจสมุปบาทแนวใหม่
การฟื้นฟูมิติโลกุตรธรรม
วรรณกรรมของพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต)
การฟื้นฟูมิติทางสังคมแนวพุทธ
การวิพากษ์ฐานคิดตะวันตกและเสนอแนวคิดแบบองค์รวมเชิงพุทธ
วรรณกรรมของฟริตจ๊อฟ คาปร้า
ทัศนะแบบจักรกล (mechanistic view)
ทรรศนะแบบลดทอน (Reductionistic view)
แนวคิดพิชิตธรรมชาติ (conquest of nature)
ควอนตัมฟิสิกส์ กับ พระพุทธศาสนา
กลุ่มวรรณกรรมที่เน้นพุทธจริยธรรมเชิงสังคม
วรรณกรรมของนายแพทย์ประเวศ วสี
วรรณกรรมของนิธิ เอียวศรีวงศ์
วรรณกรรมที่เน้นจริยธรรมแบบผูกพันกับสังคม
วรรณกรรมของนายแพทย์ประสาน ต่างใจ
นิพพานในฐานะเป็นวิวัฒนาการขั้นสูงสุดของจิต
วรรณกรรมของปริญญา ตันสกุล
โครงสร้างจิตและการทำงานของจิต
การเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ
การปฏิบัติเพื่อเข้าสู่นิพพาน
วรรณกรรมพระพุทธศาสนากับแนวคิดหลังสมัยใหม่
บทสรุป
บรรณานุกรม

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย