ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>

พุทธปรัชญาในคัมภีร์มิลินทปัญหา

ประวัติคัมภีร์มิลินทปัญหา
ทรรศนะของนักปราชญ์เกี่ยวกับคัมภีร์มิลินทปัญหา
คัมภีร์มิลินทปัญหาหลายฉบับ
พระเจ้ามิลินท์คือใคร
หาผู้ตอบปัญหาให้หายสงสัยไม่ได้
พระนาคเสนคือใคร
การประลองเชิงและตั้งกติกาการโต้วาทะ
การวิเคราะห์ลักษณะพิเศษ
เอกสารอ้างอิง

หาผู้ตอบปัญหาให้หายสงสัยไม่ได้

ในคัมภีร์บาลีกล่าวว่า วันหนึ่งพระเจ้ามิลินท์ หลังจากทรงจัดการฝึกซ้อมหมู่เสนาอำมาตย์ที่นอกพระนครแล้ว เนื่องจากทรงแก่กล้าในวิชาทั้ง 19 ศาสตร์ จึงตรัสแก่หมู่อำมาตย์ว่า “วันนี้มีเวลายังเหลืออยู อยากจะสนทนากับใครที่เป็นบัณฑิตไม่ว่าจะเป็นสมณะหรือเป็นพราหมณ์ จะเป็นเจ้าหมู่ เจ้าคณะหรือคณาจารย์หรือแม้แต่ที่ประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์หรือเจ้าลัทธิก็ยินดีจะไปสนทนาด้วย มีบ้างไหม?” โยนกอำมาตย์ทั้งหลายจึงกราบทูลว่า “มี” ท่านเหล่านั้นคือ ปูรณกัสสป, มักขลิโคศาล, นิครนนาฏบุตร, สัญชัย-เวลัฏฐบุตร, อชิตเกสกัมพล, ปกุธกัจจายนะ ซึ่งมีชื่อเสียงตามลำดับ เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะเป็นคณาจารย์ใหญ่ มีชื่อเสียงปรากฏไปทั่วทิศ มีเกียรติยศผู้คนนับถือว่าเป็นศาสดา สอนลัทธิแก่ประชาชนมาเป็นเวลายาวนานแล้ว

ครั้นได้ทรงสดับอย่างนี้แล้ว จึงพร้อมด้วยโยนกอำมาตย์ห้าร้อยห้อมล้อมเป็นราช-บริวาร เสด็จไปยังสำนักปูรณกัสสปเป็นคนแรก, ทรงปฏิสันถารปราศรัยกับปูรณกัสสปพอให้เกิดความยินดีแล้ว จึงตรัสถามว่า “ท่านกัสสป อะไรรักษาโลกอยู่?”

ปูรณกัสสปทูลตอบว่า “แผ่นดินแล มหาราชเจ้า รักษาโลกอยู่”

พระเจ้ามิลินท์จึงทรงย้อนถามว่า “ถ้าแผ่นดินรักษาโลกอยู่ เหตุไฉน สัตว์ที่ไปสู่อเวจีนรกจึงล่วงแผ่นดินไปเล่า?” เมื่อพระเจ้ามิลินท์ตรัสถามอย่างนี้แล้ว ปูรณกัสสปไม่อาจฝืนคำนั้นและไม่อาจคืนคำนั้น จึงได้แต่นั่งก้มหน้านิ่งหงอยเหงาอยู่

ต่อมาได้เสด็จไปยังสำนักมักขลิโคศาลเป็นคนที่สองแล้ว ตรัสถามว่า “ท่านโคศาล กุศลกรรมและอกุศลกรรมมีหรือ ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีแล้วและทำชั่วแล้วมีหรือ?”

มักขลิโคศาลทูลตอบว่า “ไม่มี มหาราชเจ้า ชนเหล่าใดเคยเป็นกษัตริย์อยู่ในโลกนี้ ชนเหล่านั้นแม้ไปสู่ปรโลกแล้วก็จักเป็นกษัตริย์อีกเทียว ชนเหล่าใดเคยเป็นพราหมณ์ เป็นแพศย์ เป็นศูทร เป็นจัณฑาล เป็นปุกกุสะ อยู่ในโลกนี้ ชนเหล่านั้นแม้ไปสู่ปรโลกแล้วก็จักเป็นเหมือนเช่นนั้นอีก จะต้องการอะไรด้วยกุศลกรรมและอกุศลกรรม”

พระเจ้ามิลินท์ ทรงย้อนถามว่า “ถ้าใครเคยเป็นอะไรในโลกนี้ แม้ไปสู่ปรโลกแล้ว ก็จักเป็นเหมือนเช่นนั้นอีก ไม่มีกิจที่จะต้องทำด้วยกุศลกรรมและอกุศลกรรม ถ้าอย่างนั้น ชนเหล่าใดเป็นคนมีมือขาดก็ดี มีเท้าขาดก็ดี มีหูและจมูกขาดก็ดี ในโลกนี้ ชนเหล่านั้นแม้ไปปรโลกแล้วก็จักต้องเป็นเหมือนเช่นนั้นอีกนะซิ?” เมื่อพระเจ้ามิลินท์ตรัสถามอย่างนี้แล้ว มักขลิโคศาลก็นิ่งอั้น

จากนั้น พระเจ้ามิลินท์ทรงพระราชดำริว่า “ชมพูทวีปนี้ว่างเปล่าทีเดียวหนอ ไม่มีสมณพราหมณ์ผู้ใดเลยที่สามารถจะเจรจากับเรา บรรเทาความสงสัยเสียได้” อีกคืนวันหนึ่ง ได้ตรัสถามอำมาตย์ทั้งหลายว่า “คืนวันนี้เดือนหงายน่าสบายนัก เราจะไปหาสมณะหรือพราหมณ์ผู้ไรดีหนอ เพื่อจะได้ถามปัญหา? ใครหนอสามารถจะเจรจากับเรา บรรเทาความสงสัยเสียได้?” เมื่อพระเจ้ามิลินท์ตรัสอย่างนี้ อำมาตย์ทั้งหลายก็ได้แต่ยืนนิ่งแลดูหน้ากันไปมาแล้วก็ก้มหน้าด้วยความหมดหวัง

 

สมัยนั้น สาคลราชธานีได้ว่างเปล่าจากสมณพราหมณ์ และคฤหบดีที่เป็นปราชญ์ถึงสิบสองปี เพราะพระเจ้ามิลินท์ได้ทรงสดับว่า ในที่ใดมีสมณพราหมณ์หรือคฤหบดีที่เป็นปราชญ์ ก็เสด็จพระราชดำเนินไป ตรัสถามปัญหากับหมู่ปราชญ์ในที่นั้น หมู่ปราชญ์ทั้งปวงนั้นไม่สามารถจะวิสัชนาปัญหาถวายให้ทรงยินดีได้ ต่างคนก็หลีกหนีไปในที่ใดที่หนึ่ง ผู้ที่ไม่หลีกไปสู่ที่ใดเลย ต่างคนก็อยู่นิ่ง ๆ ส่วนภิกษุทั้งหลายแตกหนีไปสู่ประเทศหิมพานต์ อาศัยอยู่ที่ถ้ำรักขิตคุหา ณ เขาหิมพานต์ เสียโดยมาก ในกาลนั้น พระอัสสคุตตเถระได้สดับพระวาจาแห่งพระเจ้ามิลินท์ด้วยทิพยโสตแล้ว จึงนัดให้ภิกษุสงฆ์ประชุมกัน ถามภิกษุสงฆ์ทั้งหลายว่า “อาวุโส มีภิกษุรูปใดสามารถจะสังสนทนากับพระเจ้ามิลินท์ นำความสงสัยของเธอเสียได้บ้างหรือไม่?” เมื่อพระเถระกล่าวถามอย่างนี้แล้ว พระภิกษุสงฆ์เหล่านั้นก็พากันนิ่งเงียบ พระเถระถามอย่างนั้นถึงสองครั้ง สามครั้ง ต่างองค์ก็นิ่งเสียเหมือนเดิม

ต่อมาอีกไม่นาน พระเจ้ามิลินท์ ก็ตรัสปรึกษาราชอำมาตย์ทั้งหลายอีกว่า “คืนวันนี้เดือนหงายน่าสบายนัก เราจะไปสากัจฉาถามปัญหากะสมณะหรือพราหมณ์ผู้ไหนดีหนอ ใครจะสามารถเจรจากับเรา บรรเทาความสงสัยเสียได้?”

ราชอำมาตย์เหล่านั้นกราบทูลว่า “มีพระเถระรูปหนึ่งชื่ออายุปาละ ได้เล่าเรียนพระคัมภีร์แตกฉาน เป็นพหุสูตทรงพระไตรปิฎก ในเวลานี้ท่านอยู่ที่สังเขยยบริเวณ ขอพระองค์เสด็จไปถามปัญหากะพระอายุปาลเถระนั้นเถิด”

พระเจ้ามิลินท์รับสั่งว่า “ถ้าอย่างนั้น เจ้าทั้งหลายจงไปแจ้งความแก่ท่านให้ทราบก่อน”
เนมิตติกอำมาตย์รับสั่งแล้วจึงใช้ทูตไปแจ้งแก่พระอายุปาลเถระว่า “พระราชามีพระประสงค์จะใคร่เสด็จพระราชดำเนินมาพบพระเถระ” พระเถระก็ถวายโอกาสว่า “เชิญเสด็จมาเถิด”

พระเจ้ามิลินท์เสด็จขึ้นทรงรถพระที่นั่ง พร้อมด้วยอำมาตย์ชาติโยนกห้าร้อยห้อมล้อมเป็นราชบริวาร เสด็จพระราชดำเนินมาถึงสังเขยยบริเวณวิหารแล้ว เข้าไปยังสำนักพระอายุปาลเถระ ทรงพระราชปฏิสันถารปราศรัยกับพระเถระพอสมควรแล้ว ตรัสถามปัญหากะพระเถระว่า

“บรรพชาของพระผู้เป็นเจ้า มีประโยชน์อย่างไร และอะไรเป็นประโยชน์ที่พระผู้เป็นเจ้าประสงค์เป็นอย่างยิ่ง?”
พระเถระตอบว่า “บรรพชามีประโยชน์ที่จะได้ประพฤติให้เป็นธรรม ประพฤติให้เสมอ”
ตรัสถามอีกว่า “ใคร ๆ แม้เป็นคฤหัสถ์ที่ประพฤติเป็นธรรม ประพฤติเสมอได้ มีอยู่บ้างหรือไม่”

พระเถระตอบว่า “ขอถวายพระพร มีอยู่ คือเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงพระธรรมจักร ที่ป่าอิสิปตนมิคทายวัน ใกล้กรุงพาราณสี ครั้งนั้นพรหมได้บรรลุธรรมาภิสมัยถึงสิบแปดโกฏิ ส่วนเทวดาซึ่งได้บรรลุธรรมาภิสมัยเป็นอันมากพ้นที่จะนับได้ พรหมและเทวดาเหล่านั้นล้วนเป็นคฤหัสถ์ มิใช่บรรพชิต อนึ่ง เมื่อทรงแสดงมหาสมยสูตร มงคลสูตร สมจิตตปริยายสูตร ราหุโลวาทสูตร และปราภวสูตร เทวดาได้บรรลุธรรมาภิสมัยเป็นอันมากเหลือที่จะนับได้ เทวดาเหล่านี้ล้วนเป็นคฤหัสถ์ มิใช่บรรพชิต”

ตรัสถามย้อนต่อไปอีกว่า “ถ้าอย่างนั้น บรรพชาของพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่มีประโยชน์อะไร ตกลงเป็นพระสมณะเหล่าศากยบุตร บวชและสมาทานธุดงค์เพราะผลวิบากแห่งบาปกรรมที่ตนทำไว้แต่ปางก่อน คือ ภิกษุใด ถือเอกาสนิกธุดงค์ ชะรอยในปางก่อนภิกษุนั้น จะเป็นโจรลักโภคสมบัติของคนอื่นเป็นแน่ เพราะโทษที่แย่งชิงโภคสมบัติของเขา เดี๋ยวนี้จึงต้องนั่งฉันอาหารในที่อันเดียว ไม่ได้ฉันตามสบาย ด้วยผลวิบากแห่งกรรมอันนั้น

อนึ่ง ภิกษุใด ถืออัพโภกาสิกธุดงค์ ชะรอยในปางก่อนภิกษุนั้นจะเป็นโจรปล้นบ้านเป็นแน่ เพราะโทษที่ทำเรือนเขาให้ฉิบหาย เดี๋ยวนี้จึงต้องอยู่แต่ในที่แจ้ง ไม่ได้อาศัยในเสนาสนะ ด้วยผลวิบากแห่งกรรมอันนั้น

อนึ่ง ภิกษุใด ถือเนสัชชิกธุดงค์ ชะรอยในปางก่อน ภิกษุนั้นจะเป็นโจรปล้นในหนทางเปลี่ยวเป็นแน่ เพราะโทษที่จับคนเดินทางมาผูกมัดให้นั่งแกร่วอยู่ เดี๋ยวนี้จึงต้องนั่งแกร่วไม่ได้นอน ด้วยผลวิบากแห่งกรรมอันนั้น ศีลของเธอไม่มี ความเพียร (ทรมานกิเลส) ของเธอไม่มี พรหมจรรย์ของเธอไม่มีละซิ”

เมื่อพระเจ้ามิลินท์ตรัสเช่นนี้ พระเถระก็นิ่งอั้น ไม่ทูลถวายวิสัชนาอย่างไรอีกได้ ราชอำมาตย์ทั้งหลายนั้นจึงกราบทูลว่า “พระเถระเป็นคนมีปัญญา แต่ไม่กล้าจึงมิได้ทูลถวายวิสัชนาอย่างไรอีกได้” ครั้นพระเจ้ามิลินท์ทอดพระเนตรเห็นพระเถระนิ่งอั้น ก็ตบพระหัตถ์ ทรงพระสรวลแล้ว ตรัสกะอำมาตย์ทั้งหลายด้วยพระสุรเสียงอันดังว่า “ชมพูทวีปนี้ว่างเปล่าทีเดียวหนอ ไม่มีสมณพราหมณ์ผู้ไหน สามารถจะเจรจากับเรา บรรเทาความสงสัยเสียได้ ช่างโชคร้ายจริง !” แล้วเสด็จกลับพระราชวังด้วยความผิดหวัง

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย