ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
พุทธปรัชญาในคัมภีร์มิลินทปัญหา
ประวัติคัมภีร์มิลินทปัญหา
ทรรศนะของนักปราชญ์เกี่ยวกับคัมภีร์มิลินทปัญหา
คัมภีร์มิลินทปัญหาหลายฉบับ
พระเจ้ามิลินท์คือใคร
หาผู้ตอบปัญหาให้หายสงสัยไม่ได้
พระนาคเสนคือใคร
การประลองเชิงและตั้งกติกาการโต้วาทะ
การวิเคราะห์ลักษณะพิเศษ
เอกสารอ้างอิง
พระนาคเสนคือใคร
ในคัมภีร์ฉบับภาษาบาลีนั่นเองเล่าว่า พระนาคเสนเกิดที่หมู่บ้านกระชังคละ
ใกล้ภูเขาหิมาลัย บิดาเป็นพราหมณ์ ชื่อ โสณุตตระ เริ่มเรียนศิลปวิทยาเมื่ออายุได้ 7
ขวบ และเรียนได้อย่างรวดเร็วมาก ทั้งไตรเพทและศิลปศาสตร์อื่น ๆ
เมื่อเรียนจบแล้วได้ถามบิดาว่า
ศิลปวิทยาที่คนตระกูลนี้จะพึงศึกษาเล่าเรียนมีเพียงเท่านี้หรือ?
เมื่อบิดาตอบว่ามีเพียงเท่านี้ ก็รู้สึกว่าวิชาต่าง ๆ
ที่เรียนมาทั้งหมดนั้นไม่มีสาระอะไรนักหนา ไม่เต็มความประสงค์ในความรู้ที่มีอยู่
วันหนึ่งได้พบกับพระเถระในพระพุทธศาสนารูปหนึ่ง ชื่อ โรหณะ
ซึ่งมาบิณฑบาตที่บ้านของโสณุตตรพราหมณ์ เมื่อได้เห็นพระเถระก็เกิดปีติโสมนัส
และคิดว่า สมณะผู้นี้อาจจะรู้ศิลปวิทยาที่เป็นแก่นสารบ้างกระมัง
จึงเข้าไปสนทนาด้วย ให้ฉันอาหารในบ้านของตนแล้วขอเรียนวิชาคือมนต์อันสูงสุดในโลก
ซึ่งท่านโรหณะบอกว่าท่านรู้ แต่ท่านว่าไม่อาจบอกมนต์นี้แก่ผู้ไม่บวชได้
นาคเสนกุมารจึงขออนุญาตมารดาบิดาเพื่อจะบวช มารดาบิดาก็อนุญาต ด้วยหวังว่า
บวชเพื่อเรียนมนต์อันสูงสุด เมื่อเรียนจบแล้วก็คงสึกออกมาครองเรือนอย่างเดิม
นาคเสนกุมารบวชเป็นสามเณรที่วัดถ้ำรักขิต ท่ามกลางพระอรหันต์จำนวนมาก
พระโรหณะผู้เป็นอุปัชฌาย์เห็นปัญญาอันแหลมคมของสามเณรนาคเสน
ซึ่งมีพื้นฐานความรู้ในศาสตร์ต่าง ๆ มาดีพอสมควรแล้ว จึงให้เรียนพระอภิธรรมก่อน
สามเณรนาคเสนเรียนได้อย่างรวดเร็ว
สามารถสาธยายทั้งสวดและท่องให้พระ-อรหันต์ทั้งหลายฟังได้อย่างแม่นยำไม่ผิดพลาด
เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์
พระอรหันต์ทั้งหลายจึงประชุมกันให้สามเณรนาคเสนอุปสมบทเป็นภิกษุ
มีพระโรหณะนั่นเองเป็นพระ-อุปัชฌายะ
วันรุ่งขึ้นพระนาคเสนออกบิณฑบาตกับพระอุปัชฌาย์ เดินตามหลังท่าน และคิดใน
ใจว่า พระอุปัชฌาย์ของเราโง่เขลาจริงที่ให้เราเรียนพระอภิธรรมก่อนกว่าพระพุทธพจน์
อื่น ๆ พระโรหณะทราบความคิดของพระนาคเสน จึงกล่าวว่า นาคเสนคิดอย่างนั้นหาควรไม่
พระนาคเสนจึงได้รู้ว่า พระอุปัชฌาย์ของตนรู้วารจิต จึงคิดใหม่ว่า
พระอุปัชฌาย์ของเรามีปัญญาดีแท้ จึงกล่าวขออภัยท่านในการคิดล่วงเกิน
พระโรหณะกล่าวว่า จะอภัยโทษล่วงเกินด้วยเหตุเพียงเท่านี้หาสมควรไม่
นาคเสนต้องไปทำกิจพระศาสนาอย่างหนึ่งให้สำเร็จ เราจึงจะอภัยโทษให้ คือ
มีพระราชาพระองค์หนึ่ง พระนามว่า มิลินท์ ครองราชสมบัติในสาคลราชธานี
ทรงโปรดถามปัญหาเกี่ยวกับลัทธิต่าง ๆ ให้เธอไปทำพระราชาพระองค์นั้นให้เลื่อมใสเถิด
เมื่อพระราชาเลื่อมใสนับถือพระพุทธศาสนาแล้ว นั่นคือการอภัยโทษของเรา
พระนาคเสน ตอบว่า เกล้ากระผมขอรับภาระด้วยความยินดียิ่ง
ในพรรษานั้น พระโรหณะส่งพระนาคเสนให้ไปอยู่กับพระอัสสคุตตเถระ
ซึ่งจำพรรษาอยู่ ณ วัดนิยเสนาสน์ พระนาคเสนปฏิบัติบำรุงพระเถระอยู่ 7 วัน
มีการกวาดบริเวณ ตั้งน้ำบ้วนปากและไม้สีฟันไว้ถวาย เป็นต้น
แต่พระอัสสคุตตเถระไม่รับการปฏิบัติบำรุงนั้น โดยการกวาดบริเวณเสียใหม่
เทน้ำที่พระนาคเสนวางไว้ให้ เปลี่ยนไม้สีฟันใหม่ เมื่อล่วง 7 วันไปแล้ว
เห็นพระนาคเสนยังทำอยู่เหมือนเดิม จึงยอมรับไว้เป็นศิษย์
ในหมู่บ้านใกล้วัดมีอุบาสิกาคนหนึ่ง
เป็นอุปัฏฐายิกาของพระอัสสคุตตเถระมาถึง 30 ปีแล้ว เมื่อออกพรรษาแล้ว
วันหนึ่งมาหาพระเถระ ถามว่า มีภิกษุอื่นจำพรรษาอยู่กับท่านบ้างหรือไม่
พระเถระบอกว่ามีอยู่รูปหนึ่ง ชื่อ นาคเสน อุบาสิกาจึงนิมนต์พระเถระ
และพระนาคเสนไปฉันที่บ้านของตนในวันรุ่งขึ้น เมื่อฉันเสร็จแล้ว
พระเถระให้พระนาคเสนกล่าวอนุโมทนา ตัวท่านกลับไปก่อน
อุบาสิกาบอกพระนาคเสนว่า ตนเป็นคนแก่แล้ว
ขอให้พระนาคเสนกล่าวธรรมที่สุขุมลุ่มลึกแก่ตนด้วยเถิด
พระนาคเสนจึงกล่าวอนุโมทนาด้วยอภิธรรมกถา แสดงโลกุตตร-ธรรมประกอบด้วยสุญญตานุปัสสนา
มหาอุบาสิกาได้บรรลุธรรมขั้นโสดาปัตติผล แม้พระนาคเสนเอง
เมื่อกล่าวอนุโมทนาแก่อุบาสิกาแล้ว ก็พิจารณาธรรมที่ตนแสดงอยู่
ได้บรรลุโสดาปัตติผลเหมือนกัน
พระอัสสคุตตเถระนั่งอยู่ที่วัด ได้ทราบเรื่องนี้ด้วยทิพพจักษุญาณ
แล้วสาธุการว่า ท่านนาคเสนยิงศรดอกเดียว สามารถทำลายสักกายทิฐิได้ถึง 2 กอง คือ
สักกายทิฐิของตนและของอุบาสิกา
เมื่อพระนาคเสนกลับถึงวัด
ท่านได้ส่งพระนาคเสนไปอยู่ในสำนักของพระธรรม-รักขิตเถระ ณ วัดอโศการาม
เมืองปาตลีบุตร เพื่อศึกษาพระพุทธวจนะให้ยิ่งขึ้นไป
ในการเดินทางไปเมืองปาตลีบุตรครั้งนั้น
ท่านนาคเสนได้อาศัยเศรษฐีผู้เป็นพ่อค้าเกวียนคนหนึ่งไป
ระหว่างทางได้แสดงธรรมให้เศรษฐีได้ดวงตาเห็นธรรม คือ สำเร็จโสดา-ปัตติผล
เมื่อถึงเมืองปาตลีบุตรแล้วเศรษฐีได้ช่วยชี้ทางไปวัดอโศการามให้
ในสำนักของพระธรรมรักขิตนั้น พระนาคเสนได้สาธยาย
และสวดท่องพระพุทธวนะอย่างละหนเดียวเท่านั้น โดยใช้เวลาถึง 3 เดือน
และพิจารณาหาความหมายทำความเข้าใจในพระพุทธวนจะอยู่อีก 3 เดือน รวมเป็น 6 เดือน
พระธรรมรักขิตเห็นว่า พระนาคเสนเชี่ยวชาญในปริยัติยิ่งนัก
แต่การปฏิบัติยังไม่ถึงที่สุด จึงกล่าวเตือนว่า อย่าเป็นอย่างคนเลี้ยงโค
รับแต่ค่าจ้าง แต่ไม่ได้ดื่มรสแห่งนมโค ดังนี้
พระนาคเสนกล่าวว่า คำเตือนเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ในวันนั้นเอง
พระนาค-เสนก็ได้บำเพ็ญเพียรถ่ายถอนกิเลส จนได้บรรลุอรหัตตผล พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา 4
คือความแตกฉานในอรรถ ในธรรม ในภาษา และในปฏิภาณอย่างยิ่ง
เมื่อทราบว่า พระนาคเสนบรรลุอรหัตตผลแล้ว พระอรหันต์ที่อยู่ ณ
วัดรักขิตคูหา จึงส่งทูตให้นำสารไปนิมนต์พระนาคเสนกลับมา เมื่อพระนาคเสนกลับมาแล้ว
ท่านเหล่านั้นจึงแจ้งให้ทราบว่า ถึงเวลาที่จะต้องไปนครสาคละ
เพื่อโต้ตอบปัญหาของพระเจ้ามิลินท์แล้ว จึงชวนกันไปยังสาคลราชธานี