ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
พุทธปรัชญาในคัมภีร์มิลินทปัญหา
ประวัติคัมภีร์มิลินทปัญหา
ทรรศนะของนักปราชญ์เกี่ยวกับคัมภีร์มิลินทปัญหา
คัมภีร์มิลินทปัญหาหลายฉบับ
พระเจ้ามิลินท์คือใคร
หาผู้ตอบปัญหาให้หายสงสัยไม่ได้
พระนาคเสนคือใคร
การประลองเชิงและตั้งกติกาการโต้วาทะ
การวิเคราะห์ลักษณะพิเศษ
เอกสารอ้างอิง
การวิเคราะห์ลักษณะพิเศษ
คัมภีร์มิลินทปัญหานี้แต่งขั้นเมื่อพุทธศตวรรษที่ 5
โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะอธิบายชี้แจงพระพุทธศาสนาคือพระธรรมวินัยให้แจ่มแจ้งด้วยการยกเรื่องการโต้วาทะของนักปราชญ์ทางศาสนา
ปรัชญาและลัทธิต่าง ๆ คือพระเจ้ามิลินท์และพระนาคเสนเถระขึ้น
ซึ่งบุคคลทั้งสองมีตัวตนจริง ที่ประวัติศาสตร์รับรอง ณ อินเดียภาคเหนือ
เป็นการบันทึกการปุจฉาและวิสัชนาของนักปราชญ์ทั้งสอง
และมีการแต่งเพิ่มเติมในภายหลังซึ่งเชื่อว่ามีพระ-คันถรจนาจารย์ที่แต่งเพิ่มเติมภายหลังคือพระปิฎกจุฬาภัยและพระพุทธโฆษาจารย์ในพุทธ-ศตวรรษที่
9-10 มีลักษณะพิเศษที่อาจยกขึ้นมาวิเคราะห์ให้เห็นได้ 7 ประเด็น ดังนี้
1. ความเป็นยอดแห่งคัมภีร์
มิลินทปัญหาปกรณ์ฉบับเดิมเชื่อว่าแต่งโดยใช้ภาษาสันสกฤต
และต่อมานักปราชญ์ชาวสิงหลได้แปลเป็นภาษาบาลีและภาษาจีน
ยังคงรักษาต้นฉบับภาษาบาลีและภาษาจีนไว้จนมาถึงทุกวันนี้
ที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไปสำหรับชาวยุโรปคือ ฉบับบาลีสิงหล ฉบับบาลีพม่า
และฉบับบาลีไทย เพราะถือว่าบริบูรณ์ดีกว่าฉบับอื่น ๆ
คัมภีร์มิลินทปัญหาได้รับการยกย่องว่าเป็นยอดแห่งคัมภีร์รองลงมาจากพระไตรปิฎกซึ่งคัมภีร์รุ่นหลังอาจเทียบได้ก็เห็นมีแต่คัมภีร์วิสุทธิมรรคซึ่งแต่งโดยพระพุทธ-โฆษาจารย์
แต่คัมภีร์มิลินทปัญหาเป็นคัมภีร์ที่เก่าก่อนหนังสือวิสุทธิมรรค ตั้ง 500 ปี
แม้ในการแต่งคัมภีร์
พระพุทธโฆษาจารย์ก็ยังได้อ้างคัมภีร์มิลินทปัญหาเป็นหลักในการวินิจฉัยข้อธรรมวินัย
ซึ่งนักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาได้ถือเป็นหลักฐานวินิจฉัยตัดสินพระธรรม-วินัยมาแต่หลังพุทธปรินิพพานแล้ว
2. การใช้วิธีวิทยายอดเยี่ยม
คัมภีร์มิลินทปัญหา แสดงให้เห็นว่า นักปราชญ์
ทั้งสองท่านคือพระเจ้ามิลินท์และพระนาคเสนเถระมีความรู้ลุ่มลึกในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่งและท่านผู้แต่งคัมภีร์นี้แม้จะเป็นการบันทึกเหตุการณ์หรือแต่งเพิ่มเติมภายหลังบางส่วน
ก็ล้วนแต่เป็นผู้แตกฉานในพระธรรมวินัย เชี่ยวชาญเป็นพิเศษในพระไตรปิฎก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสำคัญพิเศษที่เป็นวิธีการ (Methodology)
ในความพยายามที่แสดงความคิด เหตุผล
อารมณ์ความรู้สึกให้ผู้อื่นเข้าใจได้ดีสมเจตนารมณ์
วิธีการปุจฉาและวิสัชนาล้วนแต่เป็นความพยายามสร้างความเข้าใจให้แก่กันและกัน
ให้เข้าใจตามข้อเท็จจริงเรื่องราวและเหตุการณ์
อาศัยเหตุผลเป็นตัวกลางด้วยการคิดหรือฟื้นหาความจริง
และให้เกิดความรู้สึกร่วมเหตุการณ์นั้น ๆ
อาศัยอารมณ์ผ่านประสบการณ์ในอดีตมาเป็นเครื่องกระตุ้นเตือนอย่างแรกให้เกิดความคิดรื้อฟื้นและจินตนาการหรือมโนภาพ
อย่างหลังให้เกิดความรู้สึกสะท้อนเข้าหาตัวเองและเกิดพลังความเชื่อที่ปรากฏทางการกระทำให้เห็นได้ในลักษณะต่าง
ๆ ทั้งสองอย่างแสดงออกเป็นศาสตร์และศิลป์ แต่ไม่ว่าจะเป็นวิธีใดก็ตาม
จุดมุ่งหมายอยู่ที่การพยายามค้นหาความจริงให้เป็นคำตอบ
ค้นหาความเข้าใจและความรู้สึกที่เป็นตัวเชื่อมโยงให้เข้าถึงเป็นอันเดียวกับความจริงนั้น
ในคัมภีร์มิลินทปัญหานั้นได้พบว่า
แม้จะเป็นการโต้วาทะด้วยการปุจฉาและวิสัชนาเชิงเสวนา
เพื่อหาทางอธิบายพระธรรมวินัยก็ตาม
แต่เป็นการปะทะคารมกันของบุคคลที่มีฐานะไม่เท่าเทียมกันคือ
ผู้ถามเป็นพระราชามหากษัตริย์เจ้าแผ่นดินอยู่เหนือหัว
ผู้ตอบเป็นราษฎรลูกชาวไร่ชาวนาจากแดนทุรกันดารในชนบทชายแดน
เป็นบุคคลที่ไม่อยู่ในประเภทเดียวกันคือ ผู้ถามเป็นคฤหัสถ์นอกพระพุทธศาสนา
แต่ผู้ตอบเป็นบรรพชิตนักบวชในพระพุทธศาสนา ผู้ถามทรงอำนาจสูงสุด
มีเดชานุภาพต่อมนุษย์ด้วยกันไม่จำกัด เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์
พร้อมที่จะใช้พระเดชลงโทษได้ถึงขั้นประหารชีวิต
และทรงพระคุณจะยกย่องให้ปรากฏในแผ่นดินได้ทุกเมื่อ
ขึ้นอยู่กับพระราชหฤทัยที่ทรงพอหรือไม่พอพระราชหฤทัยเท่านั้น อันมนุษย์ใด ๆ
ไม่อาจจะสบพระพักตร์ได้โดยง่าย
คัมภีร์มิลินทปัญหา นอกจากแสดงให้เห็นถึงนักปราชญ์ทั้ง 2
ท่านที่มีความแตกฉานชำนาญและเชี่ยวชาญอย่างลุ่มลึกในพุทธธรรมคือ
ความฉลาดเฉียบแหลมในทางวินิจฉัย
และในกระบวนวิสัชนาพระธรรมวินัยให้เข้าใจได้ง่ายด้วยการยกอุปมามาเปรียบเทียบได้อย่างแยบยลซึ่งเป็นเสน่ห์แรงจูงใจให้ผู้ศึกษาพระพุทธศาสนาได้ยกย่องนับถือคัมภีร์มิลินทปัญหานี้ว่าทรงคุณค่าดุจรัตนะอันวิเศษที่นักศึกษาพระพุทธศาสนาได้สืบต่อกันมากว่า
2,000 ปีแล้ว และเป็นคัมภีร์ที่ได้แปลเป็นภาษาของชาติต่าง ๆ
ที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาแล้วอย่างน้อย 10 ภาษา
3. เนื้อหาครอบคลุมพุทธธรรม
คัมภีร์มิลินทปัญหา มีเนื้อหาการโต้วาทะกันระหว่างนักปราชญ์ทั้งสองท่านคือ
เรื่องธรรมวินัยในพระพุทธศาสนา
ในส่วนของพระ-รัตนตรัยว่าด้วยเรื่องของพระพุทธเจ้าทั้งในอดีตและปัจจุบัน
พระธรรมอันประกอบด้วยแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ และพระสงฆ์ว่าด้วยคุณสมบัติ ลักษณะ
และข้อปฏิบัติของพระสงฆ์ ทั้งที่เป็นพระปุถุชน กัลยาณชนและพระอริยบุคคล
เรื่องปฏิบัติ เรื่องไตรสิกขาคือ ศีล สมาธิและปัญญา เรื่องเกี่ยวกับโลก จักรวาล
และมนุษย์ เรื่องกิเลส เรื่องกรรม เรื่องวิบากแห่งกรรมหรือสังสารวัฏ
เรื่องปรมัตถธรรมว่าด้วยเรื่องจิต เรื่องเจตสิก เรื่องรูป และเรื่องนิพพาน
เรื่องไตรลักษณ์ เรื่องอริยสัจ 4 เรื่องมรรค 8 เรื่องธรรมทั้งปวงที่เป็นระดับ
โลกิยธรรม
คัมภีร์มิลินทปัญหาได้แสดงธรรมย่นย่อพระไตรปิฎกลงไว้ด้วยวิธีเสวนาอย่างครบถ้วน
4. ได้รับการแปลถ่ายทอดสู่ภาษาอื่นเป็นอันมาก
คัมภีร์มิลินทปัญหานอกจากจะได้รับการแปลจากภาษาสันสกฤตเป็นภาษาบาลีและภาษาจีนเป็นเบื้องต้นแล้วนั้น
ภาษาบาลีเองก็ได้รับการถ่ายทอดแปลไปสู่ภาษาอื่น ๆ อีกทั้งในเอเชียและในทางยุโรป
เฉพาะสำหรับประเทศไทยได้มีการแปลคัมภีร์มิลินทปัญหาจากภาษาบาลีออกสู่พากษ์ไทยตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี
ทราบได้จากหนังสือไตรภูมิพระร่วงซึ่งพระมหาธรรมราชาลิไทย ทรงนิพนธ์ขึ้น
ได้อ้างถึงคัมภีร์มิลินทปัญหาไว้ด้วย
ต่อมาก็ได้แปลเป็นภาษาไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาและกรุงรัตนโกสินทร์ตามลำดับ
ซึ่งมีทั้งฉบับหลวง ฉบับราษฎร์ ฉบับพิสดาร และฉบับย่อ
5. แสดงให้เห็นอานุภาพกฎแห่งกรรม
มิลินทปัญหาฉบับภาษาบาลีได้มีการนำเสนอบุพกรรมของพระเจ้ามิลินท์และพระนาคเสนว่า
อดีตกรรมส่งผลให้นักปราชญ์ทั้งสองท่องเที่ยวไปในภพชาติต่าง ๆ
ยาวนานจนได้มาเกิดเป็นมนุษย์ร่วมชาติกัน แม้จะต่างเวลากันบ้าง
แต่มีความฝักใฝ่มุ่งมั่นในการหาความรู้เพื่อขจัดความสงสัยทั้งปวงของตน
ความครุกรุ่นรุ่มร้อนภายในจึงเนื่องมาจากผลของการอธิษฐานจิตในชาติปางก่อนกลายมาเป็นฉันทะ
ความพอใจที่จะเป็นนักปราชญ์
ซึ่งเป็นจุดร่วมที่นักปราชญ์ทั้งสองท่านได้พบกันและเกิดการโต้วาทะเสวนาเชิงนักปราชญ์ตามกติกาที่ตกลงไว้ด้วย
ที่ผู้ด้อยกว่าได้นำเสนอเป็นข้อตกลงกติกากันก่อนทำสงครามวาทะกันท่ามกลางบริวารของทั้งสองฝ่าย
และเวลาโต้ตอบกันเป็นเวลาหลายคืนหลายวันอย่างสมศักดิ์ศรี
และสุดท้ายการสงครามยุติลงด้วยความเป็นกัลยาณมิตรต่อกัน
พระภิกษุทำให้พระราชากลายเป็นสัมมาทิฏฐิ เคารพ พระ-รัตนตรัยตราบเท่าชีวิต
ได้สร้างคุณูปการให้กับพระพุทธศาสนาเป็นอเนกอนันต์ กลายเป็นอมตชนแห่งชาวโยนก
6. แสดงพุทธวิธีแม่บทการตอบปัญหา
การพยากรณ์ตอบปัญหาหรือการวิสัชนา ในทางพระพุทธศาสนาแสดงไว้ว่ามีอยู่ 4 ประการคือ
- เอกังสพยากรณียปัญหา ปัญหาที่พึงตอบตรงไปตรงมา เช่นถามว่า
จักษุเป็นอนิจจังหรือ พึงตอบตรงไปทีเดียวว่า ถูกแล้ว
- ปฏิปุจฉาพยากรณียปัญหา ปัญหาที่พึงย้อนถามแล้วจึงแก้ เช่นถามว่า โสตะ
เหมือนจักษุหรือ พึงย้อนถามก่อนว่า ที่ถามนั้นหมายถึงแง่ใด ถ้าเขาว่า
ในแง่เป็นเครื่องมองเห็น พึงตอบว่า ไม่เหมือน ถ้าเขาว่า ในแง่เป็นอนิจจัง
จึงควรตอบรับว่า เหมือน
- วิภัชชพยากรณียปัญหา ปัญหาที่จะต้องแยกความตอบ เช่นถามว่า
สิ่งที่เป็นอนิจจังได้แก่จักษุใช่ใหม่? พึงแยกความออกตอบว่า
ไม่เฉพาะจักษุเท่านั้น ถึงโสตะ ฆานะ ฯลฯ ก็เป็นอนิจจัง
- ฐปนียปัญหา ปัญหาที่จะพึงยับยั้งเสีย ได้แก่ ปัญหาที่ถามนอกเรื่อง ไร้ประโยชน์อันจักเป็นเหตุให้เขว ยืดเยื้อ สิ้นเปลืองเวลาเปล่า เช่นถามว่า ชีวะอันใด สรีระก็อันนั้นหรือ? อย่างนี้เป็นลักษณะเก็งความจริง ถึงอธิบายไปผู้ถามก็ไม่อาจเข้าใจ เพราะอยู่นอกประสบการณ์หรือการณ์ที่จะพิสูจน์ได้
ในมิลินทปัญหาจะเห็นว่า พระนาคเสนเถระได้ใช้วิธีการตั้งแต่ 1-3 อย่าง ตามลำดับ
แต่ไม่ใช้วิธีการอย่างที่ 4 ในการวิสัชนา แม้พระเจ้ามิลินท์ในฐานะผู้รับคำสอน
ขาดประสบการณ์ในทางพระพุทธศาสนาทุก ๆ กรณี เพราะเป็นปุถุชน
แม้จะคิดว่ารู้พระธรรมวินัยแต่ก็เป็นเพียงสัญญาจำได้หมายรู้
ไม่ใช่เป็นการรู้หรือเข้าถึงหรือบรรลุอย่างที่เรียกว่า โพธิญาณ
เมื่อยังไม่มีประสบการณ์พอก็เป็นการยากที่จะตอบให้เข้าใจได้เหมือนนกไม่มีประสบการณ์ในน้ำ
ปลาไม่มีประสบการณ์ในอากาศ อธิบายให้กันฟังอย่างไรก็ไม่อาจทำให้ฝ่ายหนึ่งเข้าใจได้
แม้จะอยู่ในสถานการณ์อย่างนี้ พระนาคเสนก็วิสัชนาตอบทุกปัญหาไม่ยกเว้น
ซึ่งต่างจากพระพุทธองค์ทรงเลือกแสดงเฉพาะแก่ผู้สมควร คือเข้าข่ายพระ-ญาณเท่านั้น
แต่พระนาคเสนได้พยายามใช้วิธีการทั้ง 3 อย่าง ส่วนอย่างที่ 4 นั้น
ได้พยายามหาวิธีอื่น ๆ มาใช้แทนคือการอุปมา
ทำให้พระเจ้ามิลินท์เข้าพระทัยคำตอบอันอยู่พ้นประสบการณ์ของพระองค์ได้จนทรงยอมรับว่าพระนาคเสนเถระฉลาดแท้
เป็นที่อัศจรรย์จนชมเชยถึงว่า ถ้าพระพุทธองค์ซึ่งปรินิพพานแล้วตั้ง 500 ปี
ได้ทรงพระชนม์ชีพอยู่สดับฟังด้วย คงจะยกย่องชมเชยพระนาคเสนเถระเป็นแน่แท้
นั่นก็คือพระนาคเสนเถระได้นำวิธีการที่เรียกว่า การอุปมา มาแทนแบบที่ 4
เป็นการนำมาประกอบคำวิสัชนา เป็นคำตอบที่แสดงให้เห็นถึงความฉลาดเฉียบแหลม
ในอุปายโกศลวิธีการสอนธรรมอย่างแท้จริง
เป็นปฏิปทาของพระอรหันต์ผู้แตกฉานในปฏิสัมภิทาโดยตรง
ซึ่งได้ทำให้คำวิสัชนาสัจธรรมแจ่มแจ้งชัดเจนแก่ผู้ฟัง
7. วัตถุประสงค์และเนื้อหาการรจนาตรงกันอย่างชัดเจน
พระอรรถกถา-จารย์มีความประสงค์จะชี้แจงข้อธรรมวินัยในพระพุทธศาสนาให้แจ่มแจ้ง พ้นจากความสงสัย จึงนำเรื่องพระเจ้ามิลินท์กับพระนาคเสนโต้วาทะมาผูกเป็นเรื่องตามเค้ามูลในประวัติศาสตร์ของชาวโยนก แล้วอธิบายธรรมวินัยตามแนวพระไตรปิฎกหรือพระพุทธศาสนาดั้งเดิม ซึ่งในกาลนั้นพระพุทธศาสนายังไม่ได้แตกแยกเป็นนิกายมหายาน และเป็นคัมภีร์แต่งด้วยภาษาสันสกฤต แล้วต่อมาแปลเป็นภาษาสิงหล และภาษาจีน ตามลำดับ ซึ่งได้สืบทอดมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ด้วยความนิยมชื่นชมยกย่องของบรรดานักปราชญ์ทั้งตะวันออกและตะวันตกว่า เป็นคัมภีร์เก่าแก่และดีเด่นเป็นยอด มีเนื้อหาครอบคลุมพระไตรปิฎกอย่างลึกซึ้ง