วรรณกรรม สุภาษิต ข้อคิด คำคม สำนวน โวหาร งานเขียน >>
วรรณคดีไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นที่ได้รับอิทธิพลจากวรรณคดีต่างประเทศ
บทละครเรื่องรามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ
กฤษณาสอนน้องคำฉันท์ พระนิพนธ์ กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส
กฤษณาสอนน้องคำฉันท์ พระนิพนธ์สมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
สามก๊ก เจ้าพระยาพระคลัง (หน) อำนวยการแปล
พระอภัยมณี ของ สุนทรภู่
บรรณานุกรม
กฤษณาสอนน้องคำฉันท์ พระนิพนธ์สมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
ทรงนิพนธ์ขึ้นถวายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเพื่อจารึกบนแผ่นศิลาประดับที่ผนังด้านในศาลาหลังเหนือ
หน้าพระมหาเจดีย์ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ในคราวปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้ ระหว่าง
พ.ศ. 2374 2378 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้สมเด็จฯ
กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงนิพนธ์ใหม่ให้ดีกว่าของเดิม ดังที่สมเด็จฯ
กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงนิพนธ์เป็นเชิงบอกกล่าวไว้ตอนต้นเรื่องว่า
แปลกแปลงแสดงพจนาเพรงเชลงลักษณะบรรยาย
ชาวชนบทธิบาย ประดาษ
ฉบับพระนิพนธ์สมเด็จ ฯ
กรมพระปรมานุชิตชิโนรสเป็นคำประพันธ์ประเภทฉันท์
สมเด็จฯทรงใช้ชื่อน้องสาวนางกฤษณาว่า จิรประภา
ทรงเลือกใช้ถ้อยคำให้เหมาะสมกับสถานะของนางกฤษณาและนางจิรประภาที่เป็นนางกษัตริย์
ในขณะที่ฉบับธนบุรีอาจจะเขียนไว้ให้ชาวบ้านอ่านจึงใช้ถ้อยคำสามัญ
ด้วยฝีมือของกวีชั้นครู
กฤษณาสอนน้องฉบับพระนิพนธ์จึงไพเราะงดงามด้วยชั้นเชิงทางวรรณศิลป์
ตัวอย่างตอนที่จำกันได้ดีคือตอนที่กล่าวว่าความดีเป็นสิ่งคงทน
ฉบับภิกษุอินท์แต่งด้วยกาพย์ฉบัง ดังนี้
คชสารแม้ม้วยมีงา โคกระบือมรณา
เขาหนังก็เป็นสำคัญ
บุทคลถึงการอาสัน สูญสิ้นสาระพัน
คงแต่ความชั่วกับดี
ความเดียวกันนี้ ฉบับพระนิพนธ์แต่งด้วยฉันท์ ดังนี้
พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง
โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี
นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์
สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา
กฤษณาสอนน้องคำฉันท์เป็นวรรณคดีที่รับอิทธิพลมาจากวรรณคดีอินเดีย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชวินิจฉัยเรื่องกฤษณาสอนน้อง ร.ศ.
108 (พ.ศ. 2432)
ไว้ว่าทรงเข้าพระทัยว่าเนื้อเรื่องน่ามาจากชาดกเรื่องใดเรื่องหนึ่งเช่นเดียวกับวรรณคดีนิทานของไทยโดยส่วนใหญ่
ทรงขอให้พระเทพโมลีช่วยค้นเรื่องนางกฤษณาในคัมภีร์บาลี
แต่กลับพบว่าพระพุทธเจ้าทรงติเตียนนางกฤษณาว่าเป็นตัวอย่างของหญิงที่มีความปรารถนามากในกามคุณ
มีสามีถึง 5 คนแล้วยังเป็นชู้กับบุรุษพิการ (เปลี้ย) ครั้นสมเด็จฯ
กรมพระปรมานุชิตชิโนรสกล่าวไว้ในคำฉันท์ว่าเป็นหนังสือที่แต่งมาแต่โบราณ
จึงทำให้ทรงระลึกได้ว่าอาจจะมาจากหนังสือมหาภารตะซึ่งเป็นเรื่องรวบรวมนิทานเก่าและลัทธิต่าง
ๆ ที่ถือกันอยู่ในมัชฌิมประเทศก่อนพุทธกาล
เรื่องนางกฤษณาจึงน่าจะได้มาจากพราหมณ์ พระองค์จึงทรงค้นหา
และทรงพบว่าเรื่องกฤษณาสอนน้องมีที่มาจากคัมภีร์มหาภารตะ ตอนวนบรรพ วรรคที่ 222 และ
233 ชื่อว่า เทฺราปทิสัตยภามาสังวาท มีความโดยสรุปว่า
นางเทฺราปทิและนางสัตยภามาสนทนากันด้วยความสำราญพระทัย
นางสัตยภามาถามนางเทฺราปทิว่านางประพฤติอย่างไรจึงสามารถผูกใจกษัตริย์ปาณฑพทั้ง 5
ไว้ได้ เหตุใดกษัตริย์เหล่านั้นจึงเกรงกลัว อ่อนน้อมและทำตามคำแนะนำของนาง
นางเทฺราปทิมีวิธีการอย่างไร ใช้การทรมานกายถวายเทพจนได้บุญวิเศษ ใช้ญาณสมาบัติ
ใช้ยา ใช้เวทมนตร์ เสน่ห์ยาแฝด หรือสิ่งใด
นางเทราปทิตอบว่านางมิได้ใช้กลวิธีเยี่ยงหญิงเพศยา
หากแต่ประพฤติปฏิบัติตนด้วยความจงรักภักดีและปรนนิบัติสวามีตามหน้าที่ของภรรยาที่ดี
ได้แก่ ไม่หึงหวง ไม่กล่าวคำเท็จ คำหยาบ ไม่นั่งนอนยืนเดินด้วยกิริยาอันไม่สมควร
ไม่ชำเลืองแลบุรุษอื่น ยกย่องเทิดทูนสวามี
ปรนนิบัติสวามีให้กายสะอาดกินอิ่มนอนหลับก่อนปรนนิบัติตนเอง
และมีความสามารถในการดูแลบ้านเรือน ทรัพย์สิน
เผื่อแผ่น้ำใจอันดีไปยังขุนทหารผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาและนางสนมกำนัลทั้งหลาย
จากเนื้อความที่ทรงแปลสรุปความจากต้นฉบับภาษาอังกฤษของประตัปจันทร รอย
(Pratap Chandra Roy) และเปรียบเทียบกับฉบับของไทย
จะเห็นได้ว่าฉบับของไทยรักษาแก่นเรื่องสำคัญคือการสอนให้รู้หน้าที่ของภรรยาที่มีต่อสามี
คำสอนส่วนใหญ่ใกล้เคียงกับต้นฉบับเดิม
แต่ส่วนที่เป็นวัฒนธรรมความเชื่อของศาสนาฮินดูตามต้นฉบับเดิมนั้น
กวีไทยละทิ้งเนื้อความเหล่านั้น เช่น การบูชาพราหมณ์ด้วยอาหารและเครื่องดื่ม
การที่ภรรยาเลิกประดับประดาตกแต่งร่างกายด้วยดอกไม้และของหอมเมื่อสามีจากบ้าน
ในทางตรงกันข้ามกวีไทยกลับแต่งเติมส่วนที่กล่าวถึงขนบประเพณีไทย เช่น
ผู้หญิงต้องไม่เดินทัดดอกไม้ เสยผม ขยับชายพก กรีดกรายผ้าสไบ ลูบแก้ม
นั่งเท้าคางเท้าแขน แอ่นอก ซึ่งเป็นคำสอนที่พบในหนังสือสุภาษิตสอนหญิง
กฤษณาสอนน้องฉบับของไทยให้บรรยากาศแบบไทย เห็นภาพผู้หญิงกินหมาก นุ่งโจงกระเบน
ห่มสไบ นอกจากนี้ในด้านตัวละคร
กฤษณาสอนน้องฉบับของไทยยังเปลี่ยนจากนางเทฺราปทิและนางสัตยภามาซึ่งเป็นเพื่อนกัน
มาเป็นนางกฤษณาและนางจิรประภาซึ่งเป็นพี่น้องกันอีกด้วย
เรารับวรรณคดีคำสอนเรื่องนี้จากอินเดียโดยง่ายเพราะคำสอนนั้นไม่ขัดต่อค่านิยมเดิมในสังคมไทย
และยังเสริมขนบความเชื่อนั้นให้หนักแน่นยิ่งขึ้น เพราะสังคมไทยถือว่า
สามีเป็นช้างเท้าหน้า ภรรยาเป็นช้างเท้าหลัง หรืออย่างความเปรียบว่า
ราชาก็ปรากฏเป็นปิ่น นครินทร์เขตแสวง
สวามีเป็นศรีสวัสดิแสดง ศักดิ์สง่าแก่นารี