วรรณกรรม สุภาษิต ข้อคิด คำคม สำนวน โวหาร งานเขียน >>

วรรณคดีไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นที่ได้รับอิทธิพลจากวรรณคดีต่างประเทศ

บทละครเรื่องรามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ
กฤษณาสอนน้องคำฉันท์ พระนิพนธ์ กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส
กฤษณาสอนน้องคำฉันท์ พระนิพนธ์สมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
สามก๊ก เจ้าพระยาพระคลัง (หน) อำนวยการแปล
พระอภัยมณี ของ สุนทรภู่
บรรณานุกรม

สามก๊ก เจ้าพระยาพระคลัง (หน) อำนวยการแปล

สามก๊กเป็นวรรณคดีจีนที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรด-เกล้าฯให้แปลด้วยมีพระราชประสงค์จะให้เป็นประโยชน์แก่ข้าราชการขุนนางทั้งปวง วรรณคดีจีนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสสั่งให้แปลในรัชกาลนี้มี 2 เรื่อง คือ ไซ่ฮั่น ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ กรมพระราชวังหลังทรงอำนวยการแปล และสามก๊ก ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เป็นผู้อำนวยการแปล (สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ, 2510 : 11) เหตุที่ต้องเป็น 2 ท่านนี้เป็นเพราะ“กรมพระราชวังหลังก็ดี เจ้าพระยาพระคลัง (หน) ก็ดี เคยอยู่ในคณะทูตที่ไปผูกสัมพันธไมตรีกับประเทศจีนในสมัยพระเจ้ากรุงจีน เพราะวังหลังเองนั้นเมื่อสถาปนาเป็นกรุงรัตนโกสินทร์ ชาวบ้านเองเรียกว่าเจ้าปักกิ่ง แสดงให้เห็นว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญพอสมควร” (ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช และคนอื่น, 2536 : 13)

สามก๊กพากย์ไทยไม่ได้แปลมาจากสามก๊กจี่หรือหนังสือจดหมายเหตุสามก๊กซึ่งนักศึกษาประวัติศาสตร์จีนถือว่าเป็นเอกสารประวัติศาสตร์ที่ดีที่สุดเล่มหนึ่ง แต่สามก๊กของไทยแปลมาจากสามก๊กทงซกเอี้ยนหงี หรือนิทานสามก๊ก เขียนโดย ล่อกวนตง นักเขียนจีนในปลายสมัยราชวงศ์หงวนต่อราชวงศ์เหม็ง เป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ที่ใช้เหตุการณ์จริงราว 30 % ที่เหลือเป็นจินตนาการของผู้แต่ง ซึ่งสัมฤทธิผลในการเขียนได้สนุกพิสดาร น่าอ่าน น่าเชื่อถือ (ยง อิงคเวทย์ ในเรื่องเดียวกัน : 46)

นิทานสามก๊กเป็นที่รู้จักแพร่หลายและเป็นที่นิยมกันมากถือเป็นวรรณกรรมมวลชน เพราะทำให้ประชาชนชาวจีนชื่นชมในคุณค่าของความกตัญญูกตเวที คุณธรรมจรรยาและวัฒนธรรมดั้งเดิมของประชาชาติจีน หนังสือนี้ได้มีการพิมพ์เผยแพร่หลายครั้ง ต่อมาเหมาจงกังลูกศิษย์ของกิมเสี่ยถ่างเช่นเดียวกับล่อกวนตงได้ปรับปรุงสามก๊กฉบับของล่อกวนตงทั้ง 120 บท โดยตัดต่อ แต่งเติม เปลี่ยนชื่อเรื่อง แก้สำนวน มี “พังโพย” หรือเชิงอรรถ และมีคำนำเป็นบทอธิบายเชิงวิจารณ์ของกิมเสี่ยถ่างประกอบ หนังสือสามก๊กฉบับแก้ไขของเหมาจงกังก็พิมพ์เผยแพร่ตั้งแต่นั้นมา สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือหนังสือสามก๊กภาษาจีนมีภาพประกอบเป็นรูปตัวละครและเรื่องราวในตัวเรื่องด้วย สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (2510 : 57 – 58) ทรงสันนิษฐานว่ารูปภาพเหล่านี้น่าจะเกิดจากตัวงิ้วและเกิดร่วมสมัยกับหนังสือสามก๊กที่นิยมอ่านกันแพร่หลาย ภาพจากเรื่องสามก๊กยังเป็นภาพที่คนจีนนิยมใช้ประดับบ้านและแพร่หลายมายังไทยด้วย เช่น ภาพประดับพระที่นั่งในพระราชวังบวรสถานมงคล ซึ่งเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ

เมื่อมีการแปลนิทานสามก๊กเป็นพากย์ไทยก็ได้รับความนิยมไม่น้อยไปกว่าฉบับพากย์จีน และส่งผลให้มีการแปลวรรณคดีจีนต่อเนื่องมาอีกหลายรัชกาล ไม่มีหลักฐานว่าเจ้าพระยาพระคลัง (หน) แปลสามก๊กขึ้นเมื่อใด จึงกำหนดได้แต่ว่าต้องแปลก่อน พ.ศ. 2348 ซึ่งเป็นปีที่เจ้าพระยาพระคลังถึงแก่อสัญกรรมก่อนอำนวยการแปลจนจบ สามก๊กพิมพ์เป็นเล่มครั้งแรก พ.ศ. 2408 ในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยโรงพิมพ์ของหมอบลัดเลย์ และใน พ.ศ. 2470 ราชบัณฑิตยสภา โดยสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ นายกราชบัณฑิตยสภาได้ตั้งคณะกรรมการชำระวรรณคดีเรื่องสามก๊ก เพื่อประทานในงานพระเมรุสมเด็จพระปิตุฉาเจ้า สุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี และในครั้งนั้นทรงนิพนธ์ “ตำนานสามก๊ก” ไว้ด้วย ในตอนหนึ่งทรงกล่าวถึงการแปลว่า “สำนวนแปลคงจะไม่สู้ตรงกับสำนวนที่แต่งไว้ในภาษาจีนแต่เดิม เพราะผู้แปลมิได้สันทัดทั้งภาษาจีนและภาษาไทยรวมอยู่ในคนเดียวเหมือนเช่นแปลหนังสือฝรั่งกันทุกวันนี้” และ “อนึ่งการแปลหนังสือจีนเป็นไทยผิดกับการแปลภาษาอื่นอีกอย่างหนึ่งด้วยจีนต่างเหล่าอ่านหนังสือจีนสำเนียงผิดกัน” (สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, 2510: 30 – 31 และ 32)

 

ในสมัยต่อมามีผู้ศึกษาวิจัยเรื่องสามก๊กอีกหลายคน รวมทั้งมีการแปลสามก๊กสำนวนใหม่ขึ้นด้วย ทำให้มีการวิเคราะห์ให้เห็นว่าฉบับแปลของเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ไม่ตรงกับฉบับของจีนอยู่มาก ดังที่มาลินี ดิลกวณิช (ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช และคนอื่น , 2536 : 180) กล่าวว่า “จากการศึกษาเปรียบเทียบหนังสือ สามก๊ก ฉบับไทยกับต้นฉบับจีน พบว่าโดยมากฉบับไทยจะแปลถอดความ รักษาไว้เพียงโครงเรื่องและลำดับของเนื้อเรื่อง ส่วนรายละเอียดในเนื้อหาสาระเมื่อเปรียบเทียบตามตัวอักษรแล้วปรากฏว่ามีความแตกต่างกันมาก” ความแตกต่างเหล่านั้นมีหลายลักษณะ จากข้อเขียนของมาลินี ดิลกวณิช (เรื่องเดียวกัน : 180 – 195) สรุปได้ว่าส่วนที่แตกต่างไป ได้แก่

  1. การตัดบทกวีที่สอดแทรกอยู่ตลอดเรื่องกว่า 200 บท ตามค่านิยมของวรรณศิลป์จีน การสอดแทรกบทกวีเป็นการยกระดับความสุนทรีย์ของงานเขียน แสดงว่าผู้แต่งมีการศึกษาและรสนิยมสูง การตัดบทกวีออกไปจึงเป็นการทำลายความงามและทำให้ขาดอรรถรสไปมาก
  2. การแบ่งบทเสียใหม่ลบล้างเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของนิยายจีน เพราะตามขนบนิยมของจีน แต่ละบทจะต้องประกอบด้วยเหตุการณ์สำคัญเพียง 2 เหตุการณ์ และจะจบลงตรงจุดที่ตื่นเต้นหรือวิกฤตที่สุดซ่อนเงื่อนที่สุด เพื่อเชิญชวนให้ตามอ่านบทต่อไป
  3. ฉบับของไทยแนะนำชื่อตัวละครก่อนบรรยายประวัติและคุณสมบัติ ต่างจากฉบับจีนที่แนะนำตัวละครในแนวที่สร้างความตื่นเต้นลึกลับ
  4. ผู้เล่าเรื่องฉบับไทยจะเป็นประเภทหยั่งรู้ความคิดของตัวละคร ชอบบรรยายความรู้สึกนึกคิด และบางครั้งก็ขยายความเพิ่มจากต้นฉบับจีนเพื่อให้คนอ่านไทยเข้าใจเหตุการณ์ยิ่งขึ้น
  5. ฉบับไทยเปลี่ยนแปลงแนวคิดในเนื้อหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเชื่อในเรื่องชะตากรรม คนจีนเชื่อว่าเป็นชะตาฟ้าลิขิต ไม่มีใครขัดขืนได้เลย ชะตาฟ้าลิขิตจะใช้ในการพลิกผันเหตุการณ์ที่สำคัญและน่าตื่นเต้น ใช้ในการกำหนดชะตากรรมของตัวละคร และใช้กำหนดชะตากรรมของบ้านเมือง แต่ฉบับไทยจะกล่าวถึงชะตากรรมตามหลักพุทธศาสนา นั่นคือ ชะตากรรมขึ้นอยู่ความรับผิดชอบของมนุษย์ แล้วแต่บุญทำกรรมแต่ง ไม่ใช่ความศักดิ์สิทธิ์ของฟ้าเบื้องบน ตัวละครจึงคิดและเชื่อแบบไทย ไม่ใช่แบบจีน

วรรณคดีจีนพากย์ไทยเรื่องสามก๊กจึงเป็นตัวอย่างอันดีอีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าในอดีตไทยรับวรรณคดีจากต่างประเทศโดยไม่คำนึงว่าจะต้องรักษาเนื้อเรื่อง บุคลิกตัวละคร วัฒนธรรมความเชื่อหรือขนบทางวรรณศิลป์ของวรรณคดีต้นฉบับ แต่จะปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับเอกลักษณ์ของไทย และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้วรรณคดีจากต่างประเทศเหล่านั้นเป็นที่นิยมในหมู่คนไทย เพราะทำให้คนอ่านไทยเข้าใจ ซาบซึ้ง ไม่รู้สึกแปลกแยกหรือขัดแย้ง เช่นเดียวกับที่มาลินี ดิลกวณิช (เรื่องเดียวกัน : 180) ให้ความเห็นว่า

“เมื่อได้ศึกษาเปรียบเทียบสามก๊กกับต้นฉบับจีน ก็ได้พบคำตอบว่าบทบาทที่สำคัญของสามก๊กไม่ได้อยู่ที่เป็นวรรณกรรมแปลจากเรื่องจีน เพราะเป็นการแปลที่ไม่ได้ถ่ายทอดออกมาอย่างซื่อสัตย์ครบถ้วนตามต้นฉบับ ลักษณะความเป็นจีนจึงไม่ใช่สิ่งที่เด่นอีกต่อไปในฉบับภาษาไทย แต่สิ่งที่ถูกดัดแปลงและเปลี่ยนแปลงไปต่างหากที่ทำให้ สามก๊ก มีเอกลักษณ์ใหม่ของตนเองและกลายเป็นแบบแผนของการประพันธ์วรรณกรรมประเภทหนึ่งของไทย”

มีประเด็นควรพิจารณาว่าการรับอิทธิพลวรรณกรรมจากต่างประเทศเข้ามาเป็นวรรณกรรมไทยมีสาเหตุอันใด ได้พบว่าสาเหตุของการรับอิทธิพลอาจจะมีหลายประการ ได้แก่ วรรณคดีเรื่องนั้นมีความสนุกสนานบันเทิงจึงน่าจะแปลหรือนำมาเล่าใหม่ให้คนไทยสนุกรื่นรมย์ไปด้วย วรรณคดีบางเรื่องอาจนำเข้ามาพร้อมกับสิ่งอื่น เช่น ความเชื่อความศรัทธาในศาสนา การประกอบพิธีกรรม หรือศิลปะการแสดงต่าง ๆ นอกจากนี้แล้ว ยังน่าคิดว่าการรับอิทธิพลวรรณกรรมจากต่างประเทศอาจมีเหตุผลทาง “การเมือง” แฝงอยู่ นั่นคือ วรรณคดีเรื่องนั้นสามารถสร้างประโยชน์ต่อสังคมอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง อันเป็นคุณต่อการปกครองแผ่นดิน เช่น บทละครเรื่องรามเกียรติ์ยืนยันแนวคิดเทวะราชา และส่งเสริมสถาบันกษัตริย์ กฤษณาสอนน้องคำฉันท์สนับสนุนค่านิยมที่ผู้หญิงต้องเป็นภรรยาที่ดี เคารพเทิดทูน ปรนนิบัติสามีให้มีความสุข มีกิริยา วาจา และจิตใจดีงาม สามก๊ก ตลอดจน ไซ่ฮั่น และราชาธิราชที่แปลเป็นไทยในระยะเวลาใกล้เคียงกัน เป็นวรรณคดีจีนและมอญพากย์ไทยที่แสดงกลยุทธ์ในการทำสงครามว่าลำพังแต่อาวุธและกำลังไพร่พลที่ทุ่มเข้าฟาดฟันกันนั้นไม่เพียงพอ การยุทธ์ยังต้องประกอบไปด้วยการวางแผนทั้งรุกทั้งรับ เพื่อเอาชนะศัตรูด้วยปัญญาอันแหลมคม นอกจากนี้ วรรณคดีทั้ง 3 เรื่องนี้จะแสดงให้เห็นว่าผู้นำเป็นผู้มีบุญญาบารมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญญาบารมี และขุนทหารเป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาดแล้ว ยังแสดงให้เห็นคุณสมบัติของผู้นำว่าต้องใจกว้าง เสียสละ และยุติธรรม คุณสมบัติของข้าทหารคือ จงรักภักดี กล้าหาญ และรักเกียรติยศศักดิ์ศรี เรื่องสามก๊กยังเป็นอุทาหรณ์ให้คนไทยไม่แตกสามัคคี ส่วนราชาธิราชเป็นกำลังใจให้คนไทยมีจิตใจฮึกเหิมในการต่อสู้กับพม่า เหมือนเช่นกองทัพมอญของพระเจ้าราชาธิราชที่สามารถเอาชนะพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องได้ วรรณคดีทั้ง 4 เรื่องในสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรีจึงรังสรรค์ขึ้นถูกจังหวะ เหมาะแก่สภาพเหตุการณ์ของยุคสมัย จนน่าเชื่อว่ามีนัยการเมืองแฝงอยู่มากกว่าการนำเสนอวรรณคดีที่มีวรรณศิลป์เท่านั้น

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย