ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
ธรรมชาติส่วนที่เกี่ยวกับการบรรลุธรรม
ธรรมชาติของจิต
ธรรมชาติส่วนที่เกี่ยวกับการบรรลุธรรม
ในคัมภีร์พุทธศาสนาเถรวาท ท่านแบ่งคนออกเป็นสี่ประเภทตามความสามารถในการเข้าใจธรรม ดังนี้
- อุคฆฎิตัญญูบุคคล ได้แก่ คนที่มีความสามารถในการทำความเข้าใจธรรมสูง ได้ยินข้อธรรมแต่เพียงย่อๆ ก็สามารถทำความเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว
- วิปจิตัญญูบุคคล ได้แก่ คนที่ไม่สามารถเข้าใจธรรมได้รวดเร็วอย่างพวกแรก คนกลุ่มนี้จะเข้าใจธรรมต่อเมื่อมีผู้ชี้แจงรายละเอียดข้อธรรมนั้นๆ อย่างชัดเจน
- เนยยบุคคล ได้แก่ คนที่แม้จะมีผู้ชี้แจงข้อธรรมนั้นๆ อย่างละเอียดชัดแจ้งให้ฟังแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่สามารถเข้าใจ ต้องอาศัยฟังบ่อยๆ นานๆ จึงจะค่อยๆ เข้าใจขึ้นเป็นลำดับ
- ปทปรมบุคคล ได้แก่ คนที่ไม่สามารถทำความเข้าใจธรรมได้เลย คนประเภทนี้ไม่มีทางที่ใครจะช่วยให้เขาใจธรรมได้ ไม่ว่าคนที่จะช่วยนั้นจะมีความสามารถเพียงใดหรือใช้ความพยายามมากเท่าไรก็ตาม
กล่าวให้ง่ายเข้าก็คือ
พุทธศาสนาเถรวาทมองว่าคนเรามีความสามารถในการเข้าใจธรรมต่างกัน
คนบางคนแค่ได้ยินหัวข้อธรรมย่อ ๆ
ก็สามารถนำมาคิดต่อแล้วเข้าใจเนื้อหาข้อธรรมนั้นได้เอง บางคนได้ยินข้อธรรมย่อๆ
ไม่พอต้องมีคนชี้แจงรายละเอียดอย่างกระจ่างเสียก่อนจึงจเเข้าใจตามได้
บางคนแม้จะมีผู้ชี้แจงเนื้อหาของธรรมนั้นอย่างละเอียดทุกแง่มุมก็ไม่อาจทำความเข้าใจได้ทันที
ต้องนำกลับมาคิดบ่อยๆ ฟังบ่อยๆ จึงจะค่อยเข้าใจขึ้นเป็นลำดับ
แต่บางคนไม่มีทางเข้าใจเนื้อหาธรรมได้เลยเพราะมีความบกพร่องบางประการในทางสติปัญญา
ความแตกต่างที่กล่าวมานี้เป็นเรื่องที่เราอาจะพบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน
คนบางคนฉลาด
ครูพูดอะไรให้ฟังนิดหน่อยก็สามารถติดต่อแล้วเข้าใจในส่วนที่ครูยังไม่ได้พูดถึง
บางคนก็สติปัญญาปานกลาง
จะเข้าใจอะไรก็ต่อเมื่อได้ศึกษารายละเอียดของสิ่งนั้นอย่างครบถ้วนแล้ว
บางคนสติปัญญาค่อนข้างทึบ ต้องอาศัยความขยันหมั่นเพียรจึงจะสามารถเรียนรู้อะไรได้
แต่บางคนสติปัญญาพิการ ไม่อาจเข้าใจหรือเรียนรู้สิ่งที่คนปกติสามารถเรียนรู้ได้
ความแตกต่างเหล่านี้เป็นเรื่องทางกายภาพ
เป็นคนแตกต่างที่มีสาเหตุมาจากความแตกต่างด้านสมรรถนะของสมอง
ความแตกต่างที่กล่าวมาข้างต้นพึงสังเกตว่าเป็นความแตกต่างที่สืบเนื่องมาจากความแตกต่างด้านกายภาพ
คนที่มีสมองพิการย่อมมีความสามารถในการเข้าใจธรรมต่ำหรือไม่สามารถเข้าใจได้เลย
คนที่มีสมรรถนะของสมองต่ำกว่าปกติ พุทธศาสนาถือว่าเป็นเรื่องทางร่างกาย
หากแต่เป็นเรื่องทางร่างกายที่ส่งผลมาถึงเรื่องทางจิตใจด้วย แม้ในคนที่ปกติก็ตาม
การที่คนบางคนฉลาดกว่าคนอื่นก็เป็นเรื่องทางร่างกายเช่นกัน
ความแตกต่างทางร่างกายนี้อยู่นอกเหนือวิสัยที่พุทธศาสนาจะปรับหรือช่วยเหลือให้เท่าเทียมกันได้
เพราะพุทธศาสนาเป็นศาสนาเป็นหลักคำสอนที่มีเนื้อหาเกี่ยวเนื่องเฉพาะการแก้ปัญหาทางจิตเท่านั้น
ดังนั้น ในการพิจารณาว่าปัญหาใดพุทธศาสนาสามารถแก้ไขได้หรือไม่
สิ่งหนึ่งที่เราต้องคำนึงก็คือปัญหานั้นเป็นปัญหาทางด้านกายภาพหรือเป็นปัญหาทางจิตใจ
ปัญหาทางด้านกายภาพบางอย่างมีผลกระทบมาถึงจิตใจ
(เช่นสมองพิการย่อมมีผลกระทบถึงภาวะทางจิตใจ)
แต่ปัญหาบางอย่างไม่มีผลกระทบมาถึงจิตใจ (เช่นแขนพิการไม่มีผลต่อภาวะทางจิตใจ)
ในการเข้าใจธรรม
ปัจจัยแรกสุดที่จำเป็นก็คือคนผู้นั้นต้องอยู่ในภาวะที่จิตใจเป็นปกติสามารถคิดหรือใช้เหตุผล
ได้ตามปกติอย่างคนทั่วไป คนบ้า คนเสียสติ
หรือคนที่มีสมองพิการจนไม่อยู่ในภาวะที่จะคิดหรือใช้เหตุผลได้อย่างคนทั่วไป
พุทธศาสนาถือว่าเป็นบุคคลที่ไม่อยู่ในวิสัยที่จะเข้าใจธรรมได้
จากที่กล่าวมาพอสรุปได้ว่า พุทธศาสนาแบ่งคนออกเป็นสองจำพวก
พวกแรกคือคนปกติ มีความสามารถที่จะคิดหรือใช้เหตุผล
ส่วนพวกหลังเป็นพวกที่มีความบกพร่องทางร่างกาย
และความบกพร่องดังกล่าวนั้นส่งผลมาถึงภาวะทางจิตใจไม่สามารถคิดหรือใช้เหตุผลได้อย่างปกติทั่วไป
ในคนสองจำพวกนี้ คนพวกแรกเท่านั้นที่สามารถเข้าใจธรรมได้
และในจำพวกที่สามารถเข้าใจธรรมได้นี้ยังแบ่งออกเป็นสามจำพวก คือ
พวกที่สามารถเข้าใจได้เร็ว
พวกที่สามารถเข้าใจได้ปานกลางและพวกที่สามารถเข้าใจได้ช้า
นี่คือธรรมชาติของคนส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับการเข้าใจธรรมในทัศนะของพุทธศาสนาเถรวาท
นิกายเซนยอมรับว่าคนเรามีสองจำพวกคือ
คนปกติกับคนผิดปกติตามที่กล่าวมาข้างต้น
แต่ในส่วนของคนปกตินั้นเซนมองแตกต่างไปจากเถรวาท
ในทัศนะของเซนคนปกติทุกคนมีธรรมชาติอย่างหนึ่งในตัวเสมอเหมือนกัน
ธรรมชาติที่ว่านี้เรียกว่า พุทธภาวะ (Buddhaood) หรือธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ
(Buddha nature) พุทธภาวะที่ว่านี้หมายถึงสิ่งสิ่งหนึ่งที่มีอยู่ในตัวคน
และสิ่งนี้เองที่ทำให้คนสามารถเข้าใจธรรมแล้วก้าวสู่ความหลุดพ้นได้ หรืออีกนัยหนึ่ง
พุทธภาวะคือความสามารถที่จะเข้าใจธรรมแล้วก้าวสู่ความหลุดพ้นได้
ความสามารถที่ว่านี้เซนถือว่าคนทุกคนมีอยู่เท่ากัน ไม่มีใครมีมากกว่าใคร
ท่านฮุยเน้ง (Hui neng 638 - 713 A.D.)
สังฆปริมาณยกองค์ที่หกแห่งนิกายเซนมีทัศนะว่า
หากมองแง่มุมที่ว่าคนทุกคนต่างก็มีพุทธภาวะเท่าเทียมกัน
ย่อมไม่มีความแตกต่างระหว่างพุทธบุคคล (ผู้รู้แจ้งแล้ว)
กับปุถุชนที่ยังเต็มไปด้วยกิเลส ผู้รู้แจ้งแล้วคือบุคคลที่สามารถขัดเกลาอาสวกิเลส
ที่หุ้มห่อพุทธภาวธรรมได้หมดสิ้น
ส่วนปุถุชนคือคนที่ยังไม่อาจขจัดอาวกกิเลสที่หุ้มห่อพุทธภาวะออกไปได้
ความแตกต่างอยู่ที่จุดนี้ แต่ที่ทั้งคู่มีเหมือนกันคือพุทธภาวะ ดังนั้น
หากจะให้เซนมองพระอริยบุคคลกับปุถุชนที่ฝ่ายเถรวาทเห็นว่าแตกต่างกัน เซนก็คงมองว่า
ส่วนที่แตกต่างกันนั้นอยู่ที่พุทธภาวะของพระอรหันต์ไม่มีอาสวกิเลสหุ้มห่อ
ส่วนพุทธภาวะของพระอนาคมมี พระสกิทาคามีพระโสดาบัน กัลยาณปุถุชน
และปุถุชนธรรมดามีอาสวกิเลสหุ้มห่อหนาบางลดหลั่นกันลงมา
ส่วนที่แตกต่างอยู่ที่จุดนี้ แต่ที่ทั้งหมดมีเหมือนก็คือพุทธภาวะ
ท่านผู้ใฝ่ศึกษาทั้งหลาย!
เนื้อแท้แห่งจิตของเราซึ่งเป็นเมล็ดพันธุ์หรือแก่นของการรู้แจ้งนั้นบริสุทธิ์อยู่แล้วตามธรรมชาติ
เราจะสามารถบรรลุถึงความเป็นพุทธะได้โดยตรงก็ด้วยการใช้จิตนี้ให้เป็นประโยชน์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ท่านผู้ใฝ่ศึกษาทั้งหลาย !
ปัญญาสำหรับรู้แจ้งมีอยู่แล้วภายในตัวเราทุกคนหากแต่เพราะมายาที่หุ้มห่อจิตของเราเป็นเหตุ
เราจึงไม่รู้ว่าภายในตัวเรามีปัญญาดังกล่าวนี้อยู่
เมื่อไม่รู้เราจึงต้องเที่ยวเสาะหาท่านผู้รู้พ่อให้ท่านเหล่านั้น
ชี้แนะทางให้แก่เรา ก่อนที่เราจะสามารถรู้จักเนื้อแท้แห่งจิตของเราด้วยตัวเราเอง
พึงทราบว่าเมื่อมองจากแง่ของธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะแล้ว
ย่อมไม่มีความแตกต่างระหว่างผู้รู้แจ้งแล้วกับผู้ที่ยังมืดมนอยู่
ความแตกต่างนั้นอยู่ตรงคนแรกรู้ว่าภายในตัวของเขามีธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะอยู่
ส่วนคนกลางไม่รู้
ทัศนะของเซนตามที่แสดงมานี้ หากพิจารณาโดยผิวเผิน
อาจเห็นว่าขัดแย้งกับทัศนะของฝ่ายเถรวาท แต่ถ้าวิเคราะห์ให้ดีแล้วจะเห็นว่าไม่ขัด
เถรวาทมองจากแง่มุมหนึ่งแล้วสรุปว่าพระอริยบุคคลกับปุถุชนต่างกัน
แต่เซนมองจากอีกแง่มุมหนึ่งจึงสรุปว่าพระอริยบุคคลกับปุถุชนไม่ต่างกัน
ข้อนี้เปรียบได้กับคนสองคนมองก้อนทองคำสองก้อน ก่อนหนึ่งแวววาวไม่มีความฝุ่นจับ
ส่วนอีกก้อนมีคราบฝุ่นจับหนาจนมองไม่เห็นเนื้อทองคำ
คนแรกมองแล้วสรุปว่าทองคำสองก้อนนี้ต่างกันเพราะก้อนหนึ่งแวววาวอีกก้อนหม่นหมอง
คนที่สองมองแล้งสรุปว่าทองคำสองก้อนนี้ไม่ต้องกัน
เพราะเนื้อทองคำสองก้อนนี้เหมือนกัน ส่วนที่ต่างกันนั้นเป็นเปลือกนอก
ไม่ใช่เนื้อทองคำ เนื้อทองคำแท้ ๆ
อันเป็นสาระสำคัญของทองคำทั้งสองก้อนนั้นไม่ต่างกันเลย
ส่วนที่ต่างกันนั้นคือเปลือกนอก หาใช่สาระสำคัญหรือเนื้อแท้ของทองคำไม่
ความเห็นของคนสองคนนี้คงไม่มีใครอยากเรียกว่าเป็นความเห็นที่ขัดแย้งกัน
เพราะพูดกันคนละเรื่อง