ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
ธรรมชาติส่วนที่เกี่ยวกับการบรรลุธรรม
ธรรมชาติของจิต
ธรรมชาติของจิต
พุทธศาสนาเถรวาทมีทัศนะว่า จิตใจของเรามีสภาพต่างกัน
ความแตกต่างที่ว่านี้วัดจากจำนวนของเจตสิกที่เกิดขึ้นในใจของแต่ละคน
เจตสินหมายถึงสภาวธรรมที่เกิดกับใจ แบ่งออกเป็นสามกลุ่ม คือ
1.กลุ่มเวทนา
ได้แก่ ความรู้สึก แบ่งออกเป็นสามอย่าง คือ สุขเวทนา (ความรู้สึกสบาย ปลอดโปร่ง
เป็นสุข) ทุกขเวทนา (ความรู้สึกไม่สบาย อึดอัด เป็นทุกข์) และอทุกขมสุขเวทนา
(ความรู้สึกเฉยๆ จะว่าสุขก็ไม่ใช่
จะว่าทุกข์ก็ไม่เชิงหรือความรู้สึกทุกอย่างที่ไม่อาจจัดเป็นเวทนาสองอย่างข้างต้น)
2.กลุ่มสัญญา ได้แก่ ความจำ
พุทธศาสนาถือว่าจิตของคนเรามีคุณลักษณะอย่างหนึ่ง คือ
สามารถเก็บบันทึกสิ่งที่ผ่านเข้ามาสู่การรับรู้
คุณลักษณะส่วนที่ทำหน้าที่เก็บบันทึกสิ่งที่ผ่านเข้ามาสู่การรับรู้นี้เรียกส่าสัญญา
เช่นเด็กเกิดใหม่ยังไม่รู้จักอะไร เมื่อเติบโตขึ้นก็ค่อยๆ เรียนรู้สิ่งต่างๆ
มากขึ้นเป็นลำดับ ครั้งหนึ่งเด็กไม่รู้ว่าคนที่อุ้มตัวเองอยู่นั้นคือแม่
ต่อเมื่อมีคนสอนว่า นี่คือแม่ จิตของเด็กก็บันทึกความรู้นั้นไว้
ทุกครั้งที่เด็กเห็นแม่ เด็กจะรู้ว่านี่คือแม่
คุณลักษณะของจิตส่วนที่ทำหน้าที่เก็บบันทึกสิ่งต่างๆ นี้เรียกว่าสัญญา
3.กลุ่มสังขาร ได้แก่ สภาธรรมที่ปรุงแต่ใจ
สภาธรรมที่ว่านี้แบ่งออกเป็นสามฝ่าย คือ ฝ่ายดี ฝ่ายเลว และฝ่ายที่เป็นกลาง
ตัวอย่างของสภาธรรมฝ่ายดี เช่น ความละอายต่อการชั่ว
ตัวอย่างของสภาธรรมฝ่ายเลวก็เช่นความไม่ละอายต่อการทำความชั่ว
และตัวอย่างของสภาวธรรมฝ่ายที่เป็นกลางไม่ดีไม่เลว เช่น ความเพียรพยายาม
(ความเพียรพยายามนี้โดยตัวมันเองไม่ดี ไม่เลว
มันจะดีหรือเลวก็ต่อเมื่อถูกใช้ไปในทางที่ดีหรือชั่วเท่านั้น เช่น
เพียรศึกษาหาความรู้ก็กลายเป็นเรื่องดี
แต่ถ้าเพียรฝึกฝนวิธีโจรกรรมก็เลยเป็นเรื่องเลว เป็นต้น)
เจตสิกทั้งสามกลุ่มนี้พุทธศาสนาถือว่าในคนปกติทั่วไปจะมีเสมอเหมือนกันแต่ถ้าคนคนนั้นบรรลุธรรมกลายเป็นพระอริยบุคคล
เจตสิกกลุ่มที่สามกล่าวคือ กลุ่มสังขารบางอย่างจะถูกทำลายไป
เจตสิกส่วนที่ถูกทำลายไปนี้ ได้แก่ สังขารส่วนที่เป็นสภาวธรรมฝ่ายเลว เช่น ความโลภ
ความโกรธ ความหลง เป็นต้น สรุปความว่า
สภาพจิตของคนเรานั้นมีความแตกต่างกันตามภูมิธรรม
จิตของปุถุชนจะมีลักษณะอย่างหนึ่งแต่จิตของพระอริยบุคคลจะมีลักษณะอีกอย่างหนึ่ง
ลักษณะที่ต่างกันนี้วัดจากจำนวนเจตสิกตามที่กล่าวมาข้างต้น
นิกายเซนมองธรรมชาติของจิตแตกต่างไปจากเถรวาท
ก่อนที่เราจะอภิปรายทัศนะของเซนเกี่ยวกับเรื่องนี้
มีเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจก่อนอยู่เรื่องหนึ่งกล่าวคือ
มีปัญหาอยู่ปัญหาหนึ่งเกี่ยวกับธรรมชาติของจิตที่มีคนถกเถียงกันมานานปัญหาที่ว่านี้
คือจิตของคนโดยตัวมันเองบริสุทธิ์หรือไม่ จิตที่ว่านี้อาจหมายถึงจิตใจอดีตก็ได้
(อดีตชาติ) หรืออาจหมายถึงจิตในปัจจุบันก็ได้ (ปัจจุบันชาติ)
แต่เพื่อให้การอภิปรายมีขอบเขตที่แน่นอน ในที่นี้จะหมายเอาจิตในปัจจุบัน
ปัญหามีว่าสมมติว่านายดำเกิดวันที่ 1 มกราคม 2500
กระแสจิตของนายดำเริ่มต้นรับรู้สิ่งต่างๆ นับจากวันนั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
ถามว่าจิตของนายดำที่ว่านี้โดยเนื้อแท้บริสุทธิ์หรือไม่
ดูเหมือนว่าคำตอบเท่าที่มีคนตอบมาแจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือ
- กลุ่มแรกตอบว่าจิตของนายดำไม่บริสุทธิ์แน่นอน
เหตุผลสำหรับสนับสนุนคำตอบนี้ก็คือ
พุทธศาสนาถือว่าตราบใดที่จิตของคนเรายังไม่บริสุทธิ์จากอาสวกิเลส
ตราบนั้นเราจะต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏเรื่อยไป
การที่นายดำมาเกิดในชาตินี้ส่อให้เห็นว่าจิตของนายดำในอดีตยังไม่หลุดพ้นจากอาสวกิเลส
หากว่านับจากวันแรกที่ลืมตาดูโลกนายดำไม่ได้ปฏิบัติธรรมอะไรเลย
หากแต่ปล่อยชีวิตให้ดำเนินมาอย่างคนทั่วไปจนกระทั่งถึงวันนี้
จิตของนายดำก็ยังจะไม่บริสุทธิ์อยู่เว้นเสียแต่วันใดนายดำปฏิบัติธรรมจนบรรลุอรหัตผล
วันนั้นเป็นต้นไปเราจึงจะกล่าวได้ว่าจิตของนายดำบริสุทธิ์
และเมื่อสิ้นชีวิตลงนายดำจะไม่เวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป
ทัศนะตามที่กล่าวมานี้ดูเหมือนจะเป็นทัศนะของชาวพุทธเถรวาททั่วไป
- กลุ่มที่สองมีความเห็นว่า เวลาที่เราพูดถึงจิตเราต้องแยกจิตกับสิ่งที่ไม่ใช่จิตออกจากกัน เปรียบเหมือนเวลาที่เราพูดถึงทองคำ เราต้องแยกทองคำกับสิ่งที่เจือปนหรือหุ้มห่อเนื้อของทองออกจากกัน คนกลุ่มนี้มีทัศนะว่าเนื้อแท้ของจิตนั้นบริสุทธิ์สะอาด แต่เมื่อจิตประสบสิ่งต่างๆ ดีบ้างไม่ดีบ้าง จิตก็อาจจะรับเอาสิ่งเหล่านี้เข้ามาสะสมไว้ แต่สิ่งที่จิตสะสมไว้นี้ไม่ใช่เนื้อแท้ของจิต เป็นสิ่งภายนอกเปรียบเหมือนสนิมหรือฝุ่นผงที่หุ้มห่อเนื้อของทองคำ แม้จิตจะถูกอาสวกิเลสหุ้มห่อ จิตก็ยังบริสุทธิ์ เหมือนทองคำแม้จะถูกคราบฝุ่นหรือสิ่งสกปรกจับจนมองไม่เห็นเนื้อแท้ แต่เนื้อแท้ของทองคำนี้ก็ยังบริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา
เหตุผลที่คนเหล่านี้ใช้สนับสนุนความคิดของตนเองก็คือ
จิตของคนเรานั้นเป็นสิ่งที่สามารถขัดฟอกให้สะอาดบริสุทธิ์ได้
การที่เราสามารถทำได้เช่นนี้สะท้อนอยู่ในตัวว่าธรรมชาติของจิตต้องบริสุทธิ์สะอาด
ข้อนี้เราอาจทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้นด้วยตัวอย่างต่อไปนี้
ธรรมชาติของถ่านไฟนั้นสีดำ
ถ่านไฟเราไม่สามารถขัดให้ขาวได้เพราะความขาวไม่ใช่เนื้อแท้หรือธรรมชาติของถ่านไฟ
แต่ถ่านไฟก้อนเดียวกันนี้สมมติว่ามีสีขาวมาฉาบ
เราสามารถขัดเอาสีขาวออกให้ถ่านก้อนนี้ดำได้เหมือนเดิม
ที่เราทำได้เช่นนี้ก็เพราะธรรมชาติหรือเนื้อแท้ของถ่านนี้สีดำ จิตของคนก็เช่นกัน
หากเนื้อแท้ของจิตไม่บริสุทธิ์สะอาด เราย่อมไม่มีทางชำระจิตให้บริสุทธิ์ได้
เพราะความไม่สะอาดเป็นธรรมชาติของจิต
ความพยายามที่จะฟอกจิตให้สะอาดย่อมเป็นความพยายามในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ตรงกันข้าม
มีตัวอย่างมากมายยืนยันว่าจิตเป็นสิ่งที่คนเราสามารถฟอกให้สะอาดได้
เมื่อฟอกให้สะอาดได้นั้นย่อมแสดงว่าเนื้อแท้ของจิตบริสุทธิ์สะอาด
สำหรับนายดำ เนื้อแท้จิตนายดำเป็นสิ่งบริสุทธิ์อยู่แล้วโดยธรรมชาติ
นายดำอาจสะสมสิ่งต่างๆ เอาไว้ภายในมากมาย แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่เนื้อแท้ของจิต
เป็นสิ่งภายนอก เพราะธรรมชาติของจิตบริสุทธิ์อยู่แล้วนี่เอง
เราจึงจะสามารถให้ความมั่นใจแก่นายดได้ว่าหากวันใดที่เขาสามารถขจัดสิ่งต่างๆ
ที่หุ้มพอกใจเขาออกได้ วันนั้นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ของจิตนายดำจะแสดงตัวของมันออกมา
หากธรรมชาติของจิตไม่บริสุทธิ์
ความเพียรพยายามทั้งหมดที่นายดำทุ่มเทไปเพื่อฟอกจิตให้สะอาดย่อมสูญเปล่า
ทัศนะตามที่กล่าวมานี้เป็นทัศนะของนิกายเซน
อาจารย์เซนมักจะสอนศิษย์อยู่เสมอว่าจิตของคนเรามีธรรมชาติที่สะอาดบริสุทธิ์อยู่แล้ว
หากแต่ว่าคนเรารับเอาสิ่งต่างๆ เข้ามาสะสมพอกพูนในใจ
เลยทำให้ดูเหมือนว่าจิตของเขาไม่บริสุทธิ์ ดังเทศนาของท่านฮุยเน้งตอนหนึ่งที่ว่า
ท่านผู้ใฝ่ศึกษาทั้งหลาย! ถ้าไม่พูดถึงการรู้แจ้งแล้ว
ย่อมไม่มีความแตกต่างระหว่างพุทธะกับสิ่งที่มีชีวิตอื่น
แสงสว่างแห่งการรู้แจ้งเพียงอย่างเดียวย่อมเพียงพอที่จะทำให้สิ่งมีชีวิตอะไรก็ได้มีฐานะเท่าเทียมกับพุทธะเพราะธรรมทั้งปวงอยู่แล้วภายในจิตของเรา
ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลที่เราจะไม่เข้าใจธรรมชาติแท้จริงของตถตา
โพธิสัตวศีลสูตรกล่าวเอาไว้ว่า เนื้อแท้แห่งจิตของเราบริสุทธิ์อยู่แล้วตามธรรมชาติ
เมื่อใดที่เรารู้จักจิตของเราและเข้าใจว่าอะไรคือธรรมชาติแท้จริงของเรา
เมื่อนั้นเราย่อมบรรลุถึงพุทธภาวะ วิมลกีรตินิรเทศสูตรก็กล่าวเอาไว้ว่า
พลันพวกเขาก็รู้แจ้งและเข้าถึงจิตเดิมแท้ของพวกเขาอีกครั้งหนึ่ง
อะไรหรือธรรมกายที่บริสุทธิ์
เนื้อแท้แห่งจิตของเราบริสุทธิ์อยู่แล้วตามธรรมชาติ
สรรพสิ่งเป็นเพียงภาพสะท้อนของเนื้อแท้แห่งจิตเท่านั้น
กรรมดีย่อมเป็นผลมาจากความคิดที่ดี กรรมชั่วย่อมเป็นผลมาจากความคิดที่ชั่ว
ปัญหาหนึ่งที่มักมีผู้หยิบยกขึ้นมาถามเมื่อได้ฟังทัศนะที่ว่าจิตของคนเราบริสุทธิ์อยู่แล้วโดยธรรมชาติ
คือ เมื่อจิตสะอาดอยู่แล้ว เราจะพยายามชำระจิตไปทำไมอยู่เฉยๆ
กับเพียรพยายามก็มีค่าเท่ากัน อย่างนี้มรรคผลย่อมไม่มีความหมาย
พระอริยบุคคลกับปุถุชนก็ไม่ต่างกัน คนชั่วกับคนดีก็เท่ากัน
เพราะต่างก็มีจิตใจที่บริสุทธิ์อยู่แล้วโดยธรรมชาติเหมือนกัน
ปัญหาทำนองนี้หากให้นิกายเซนตอบ เซนก็คงตอบว่า
แม้ว่าเราจะยอมรับว่าจิตของคนเราบริสุทธิ์โดยธรรมชาติ
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่จำเป็นต้องขวนขวายเพื่อชำระจิต ตรงกันข้าม
การที่เราทราบว่าเนื้อแท้ของจิตบริสุทธิ์ยิ่งจะเป็นแรงกระตุ้นให้เราเพียรพยายามอย่างมีความมั่นใจยิ่งขึ้น
การยอมรับว่าธรรมชาติของจิตบริสุทธิ์ไม่ใช่การปฏิเสธมรรคผล
เพราะมรรคผลก็คือชื่อเรียกอาการที่จิตหลุดพ้นออกมาจากอาสวกิเลสทำให้ธรรมชาติอันบริสุทธิ์ของจิตสามารถฉายแววสว่างไสวนั่นเอง
จริงอยู่ที่พระอริยะกับปุถุชนหากมองจากแง่ที่ต่างก็มีธรรมชาติของจิตอันบริสุทธิ์แล้วจะไม่มีความแตกต่างกัน
แต่ธรรมชาติอันบริสุทธิ์สะอาดแห่งจิตของพระอริยบุคคลได้รับการเปิดเผย
ในขณะที่ธรรมชาติแห่งจิตที่บริสุทธิ์สะอาดของปุถุชนถูกปิดบังห่อตราบใดที่เนื้อแท้แห่งจิตไม่ได้รับการเปิดเผย
ตราบนั้นชีวิตของเราก็จะยังต้องขึ้นๆ ลงๆ ตามอำนาจของโลกธรรม
พระอริยบุคคลได้ผ่านพ้นความลุ่มดอนของชีวิตที่ว่านี้แล้ว
นี่คือความแตกต่างระหว่างปุถุชนกับพระอริยะ
ทัศนะเกี่ยวกับธรรมชาติของจิตตามที่กล่าวมานี้
หากพิจารณาให้ดีแล้วจะเห็นได้ว่าไม่ได้ขัดแย้งกับทัศนะในเรื่องเดียวกันนี้ของฝ่ายเถรวาทเลย
เถรวามมองจิตจากแง่มุมหนึ่ง แต่เซนมองจากอีกแง่มุมหนึ่ง กล่าวคือ
เถรวาทมองจิตไปพร้อมๆ กับเจตสิกที่เกิดขึ้นกับจิตนั้น
เมื่อกล่าวถึงจิตเราจำเป็นต้องกล่าวถึงเจตสิกด้วยเพราะเป็นไปไม่ได้ที่จิตจะปราศจากเจตสิก
จิตของพระอริยะกับจิตของปุถุชนต่างกันเพราะมีเจตสิกต่างกันจิตของพระอริยะปราศเจตสิกส่วนที่เป็นสังขารฝ่ายชั่ว
แต่จิตของปุถุชนมีสังขารส่วนนี้อยู่
และตราบใดที่จิตยังมีสังขารฝ่ายชั่วอยู่ตราบนั้นเราจะบอกว่าจิตบริสุทธิ์ไม่ได้
ส่วนเซนมองว่าเมื่อกล่าวถึงจิต เราต้องกล่าวถึงเนื้อแท้ของจิต (essence of mind)
เนื้อแท้ที่ว่านี้บริสุทธิ์ แม้จะมีอาสวกิเลสหุ้มห่อจิต
แต่เนื้อแท้ของจิตก็ยังบริสุทธิ์อยู่เสมอ ในการทำความเข้าใจธรรมชาติของจิต
เราต้องแยกจิต (mind) ออกจากเนื้อแท้ของจิต (essence of mind)
สองสิ่งนี้เป็นคนละเรื่องกัน จิตอาจจะเสร้าหมองได้
แต่เนื้อแท้ของจิตไม่มีวันเศร้าหมอง จิตอาจสกปรกได้ แต่เนื้อแท้ของจิตไม่มีวันสกปรก
เวลาที่ฝ่ายเถรวาทกล่าวว่ามีเพียงจิตของพระอรหันต์เท่านั้นที่บริสุทธิ์แท้จริง
ส่วนจิตของพระอริยะชั้นอนาคามี
ลงมาจนถึงปุถุชนยังมีความไม่บริสุทธิ์แฝงอยู่จากน้อยไปหามากลดหลั่นกันลงมา
การกล่าวถึงจิตแบบนี้เป็นการกล่าวถึงจิตและจตสิกไปพร้อมกันไม่ได้กล่าวถึงเนื้อแท้ของจิตล้วนๆ
อย่างนิกายเซน เมื่อมองจากคนละแง่มุม ทัศนะที่ออกมาย่อมไม่ตรงกัน
และทัศนะที่ไม่ตรงกัน และทัศนะที่ไม่ตรงกันนี้จะถือเป็นทัศนะที่ขัดแย้งกันไม่ได้
ที่มา : พุทธศาสนานิกายเซน ; การศึกษาเชิงวิเคราะห์ / สมภาร พรมทา