ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
ความหมายและความเข้าใจเกี่ยวกับมนุษย์
มนุษย์คือใคร: ทัศนะด้านศาสนา
มนุษย์ในทัศนะของศาสนาอินดู
มนุษย์ในทัศนะของศาสนาพุทธ
มนุษย์ในทัศนะของศาสนาคริสต์และอิสลาม
มนุษย์ในทัศนะของศาสนาขงจื้อ
มนุษย์คือใคร : ทัศนะด้านปรัชญา
มนุษย์คือใคร : ทัศนะด้านวิทยาศาสตร์
มนุษย์คือใคร : ทัศนะด้านสังคมศาสตร์
ความหมายของการใช้เหตุผล
สมองกับพัฒนาการการใช้เหตุผลของมนุษย์
สมองซีกซ้ายและสมองซีกขวา
ความเป็นมาและรูปแบบของการใช้เหตุผล
ความสำคัญและประโยชน์ของการใช้เหตุผล
การคิดและการใช้เหตุผลของตะวันตกและตะวันออก
ความเป็นมาและรูปแบบของการใช้เหตุผล
การรู้การใช้เหตุผลอย่างเป็นรูปแบบของมนุษยชาติมีความเป็นมาที่ยาวนานทั้งตะวันออกและตะวันตก
โดยเฉพาะรูปแบบการใช้เหตุผลของชาวกรีกโบราณ อริสโตเติลถือว่าเป็นนักปราชญ์
ท่านหนึ่งที่เสนอแนวคิดที่ว่า มนุษย์ คือสัตว์ที่มีเหตุผล (Man is rational
animal.)
การรู้จักการใช้เหตุผลทำให้มนุษย์สามารถเรียนรู้และพัฒนาสูงกว่าสัตว์ชนิดใดในโลก
หลักการการใช้เหตุผลที่อริสโตเติลนำมาใช้เรียกว่า การอ้างเหตุผลแบบ นิรนัย
(Deductive Reasoning)
รูปแบบการใช้เหตุผลของอริสโตเติลมีอิทธิพลแผ่คลุมโลกตะวันตกในสมัยนั้นและต่ามาถึงสมัยกลางและสมัยใหม่เมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่
16 ซึ่งนับว่าเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน (ดูวิธีการใช้เหตุผลแบบเหตุผลนิยมประกอบ)
แต่ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 นักปราชญ์ชาวอังกฤษชื่อ ฟรานซิส เบคอน
สังเกตเห็นว่านักปราชญ์ตั้งแต่ต้นจนถึงสมัยของท่าน
ยังไม่สามารถตกลงปัญหาอะไรกันได้เลยแม้แต่ปัญหาเดียว เบคอนมีความเห็นว่า
ถ้าเรามีวิธีการค้นหาความจริงที่ถูกวิธี เราจะได้ความจริงตรงกัน
ไม่ว่าความจริงในด้านใด เบคอนจึงได้เสนอวิธีการใช้เหตุผลแบบอุปนัย (Inductive
Reasoning) หรือวิธีการแบบวิทยาศาสตร์ (สถิต วงศ์สวรรค์, 2543: 60)
เพราะเขามองเห็นว่าแบบนิรนัยนั้นเป็นการอ้างเหตุผลที่วกวนเหมือนกับพายเรือในอ่างไม่สามารถให้ความรู้อะไรใหม่
จึงไม่มีประโยชน์
ความรู้ที่แท้จริงของมนุษย์น่าจะได้มาจากการใช้เหตุผลแบบอุปนัยมากกว่า
ต่อมาการอ้างเหตุผลแบบอุปนัยของเบคอนได้รับการจัดให้สมบูรณ์ขึ้นโดย จอห์น สจวต
มิลล์ (John Stuart Mill) ทำให้อุปนัยที่มีชื่อเรียกว่า วิธีการของมิลล์
เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
(ดูวิธีการใช้เหตุผลแบบประโยชน์นิยมประกอบ)
ดังนั้น รูปแบบการใช้เหตุผลใหญ่ๆ นิยมใช้กันอยู่ 2 ประเภท คือ แบบนิรนัย และอุปนัย การใช้เหตุผลที่ดีหรือสมบูรณ์แบบจึงมีเงื่อนไข 2 ข้อ (ปรีชา ช้างขวัญยืน, 2543: 19-20) คือ ข้ออ้างจริง และมีความถูกต้องแบบนิรนัยหรืออุปนัยอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าเราคำนึงถึงว่า เราอ้างเหตุผลเพื่อหาความจริง ก็จะมีวิธีการให้คำนิยามความถูกต้องแบบนิรนัยและอุปนัยอีกอย่างหนึ่ง คือ
- การอ้างเหตุผลที่ถูกต้องแบบนิรนัย คือการอ้างเหตุผลที่ถ้าข้ออ้างจริง เป็นไปไม่ได้ที่ข้อสรุปจะเป็นเท็จ
- การอ้างเหตุผลที่ถูกต้องแบบอุปนัย คือการอ้างเหตุผลที่ถ้าข้ออ้างจริง มีความน่าจะเป็นสูงที่ข้อสรุปจะจริง
ให้สังเกตคำว่า ถ้า เพราะเป็นคำสำคัญ
การที่มีคำนี้อยู่ไม่ได้หมายความว่าการอ้างเหตุผลที่ถูกต้องจะต้องมีข้ออ้างที่จริง
แต่หมายความว่าการอ้างเหตุผลที่ถุกต้องไม่จำเป็นต้องมีข้ออ้างที่จริง
แต่ถ้าข้ออ้างจริง การอ้างที่ถูกต้องจะนำเราไปสู่ความจริง กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ
เรื่องข้ออ้างจริง กับเรื่องการอ้างเหตุผลอย่างถูกต้องเป็นคนละเรื่องกัน
ความจริงเป็นคุณสมบัติของข้อความ
ส่วนการอ้างเหตุผลถูกต้องเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างข้อความ ดังนั้น
การอ้างเหตุผลหนึ่งอาจจะมีข้ออ้างเท็จทั้งหมด แต่อ้างไปสู่ข้อสรุปได้ถูกต้อง เช่น
คนทุกคนมีปีก และอะไรที่มีปีกบินได้ทั้งนั้น ดังนั้น คนทุกคนบินได้
และการอ้างเหตุผลหนึ่งอาจจะมีข้ออ้างจริงทั้งหมด แต่อ้างไปสู่ข้อสรุปได้ไม่ถูกต้อง
เช่น ค้างคาวทุกตัวบินได้และนกแทบทุชนิดบินได้ ดังนั้น ค้างคาวทุกตัวเป็นนก
ในกรณีของการอ้างเหตุผลที่มีความถูกต้องแบบนิรนัย
เหตุผลที่ถ้าข้ออ้างจริงทั้งหมดแล้วข้อสรุปจะเป็นเท็จไม่ได้นั้น
เป็นเพราะข้อสรุปมิได้ให้เนื้อหาหรือความรู้อะไรใหม่ไปกว่าเนื้อหาในข้ออ้าง
เป็นแต่เพียงการดึงเอาสิ่งที่แฝงอยู่ในข้ออ้างออกมาให้ปรากฏชัดเท่านั้น เช่น นิสิต
มมส. ทุกคนฉลาด พรทิพย์เป็นนิสิต มมส. ดังนั้น พรทิพย์ฉลาด
จากตัวอย่างข้างบน จะเห็นว่า
ประโยคที่เป็นข้ออ้างทั้งสองประโยคไม่ได้บอกว่าพรทิพย์ฉลาด
แต่ข้อความนี้ก็แฝงอยู่ในข้ออ้างในแง่ที่ว่า ในเมื่อพรทิพย์เป็นนิสิต มมส. คนหนึ่ง
ก็ย่อมมีลักษณะตามที่ข้ออ้างแรกกล่าวคือมีความลาดด้วย
องค์ประกอบที่เป็นเนื้อหาในข้อสรุปมีอยู่แล้วในข้ออ้าง
แต่อาจจะมิได้มาโยงกันตามในข้อสรุป
ข้อสรุปเพียงแต่เอาองค์ประกอบที่มีอยู่แล้วมาเชื่อมโยงกัน
มองในแง่นั้นข้อสรุปของการอ้างเหตุผลที่มีความถูกต้องแบบนิรนัยมิได้ให้ความรู้ใหม่แต่อย่างใด
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการอ้างเหตุผลเช่นนี้ไม่มีคุณค่า
บ่อยครั้งที่เรามีข้ออ้างที่ซับซ้อนมีข้อมูลที่มีคุณค่าแฝงอยู่
จำเป็นที่จะต้องดึงออกมาให้เห็นชัด
ในกรณีเช่นนี้การใช้การอ้างเหตุผลที่มีความถูกต้องแบบนิรนัยเป็นสิ่งจำเป็น
ตัวอย่างที่เห็นชัดก็คือ คณิตศาสตร์
การอ้างเหตุผลในวิชานี้เป็นการอ้างเหตุผลที่มีความถูกต้องแบบนิรนัย
ข้อสรุปที่ได้ในทางเลขคณิตและเรขาคณิตแม้จะไม่ให้ความรู้ใหม่นอกเหนือจากที่มีในข้ออ้าง
แต่ก็เป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับมนุษย์ (ปรีชา ช้างขวัญยืน, 2543: 20-21)
ในทางตรงกันข้าม
การอ้างเหตุผลที่มีความถูกต้องแบบอุปนัยให้ความรู้ใหม่เพิ่มเติมจากที่มีอยู่ในข้ออ้างและถือว่าการอ้างเหตุผลประเภทนี้เป็นการสรุปความจริงทั่วไปหรือความจริงสากล
(Truth) จากความจริงเฉพาะ (Fact) ที่ได้จากประสบการณ์ ความจริงเฉพาะ หมายถึง
ความจริงของสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือปรากกฎการณ์ใดปรากฎการณ์หนึ่งโดยเฉพาะ
ส่วนความจริงสากลนั้น หมายถึง
ความจริงของสิ่งทุกสิ่งหรือปรากฎการณ์ทุกอย่างที่อยู่ในประเภทเดียวกัน เช่น
เราทานส้มลูกหรือสองลูก ( อาจจะเป็นโชกุน บางมดหรืออะไรก็ได้)
ที่อยู่ในประเภทเดียวกัน แล้วเราก็สรุปว่า ส้มประเภทนี้ มีรสหวานเหมือนกันทั้งหมด
ซึ่งความเป็นจริงเราไม่ได้ทานหรือซิมส้มทั้งหมดในร้าน หรือในสวน
จากการทานเพียงแค่ลูกหรือสองลูกเท่านั้น การสรุปแบบนี้ถือวาเป็นการสรุปแบบอุปนัย
ซึ่งเป็นการสรุปจากหน่วยย่อย (part) คือส้มเพียงบางลูก ไปหาส่วนรวม
(whole)คือส้มทุกลูก การสรุปในลักษณะนี้เป็นการกระโดดจากบางส่วนไปหาทุกส่วน
หรือเป็นการเอาลักษณะร่วมที่รู้จากส่วนย่อยมายกให้เป็นลักษณะของส่วนรวมทั้งหมดในประเภทเดียวกันการอ้างเหตุผลเช่นนี้มีมากในวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์
เช่นในการทำโพล เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าการอ้างเหตุผลทั้งสองแบบมีทั้งข้อดีและข้อเสียต่างกัน
และมีความเหมาะสมสำหรับจุดประสงค์ที่ต่างกัน
การเลือกใช้ระหว่างสองแบบนี้จึงขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของผู้ใช้
เราจะกล่าวว่าโดยทั่วไปแล้ว ชนิดหนึ่งมีประสิทธิภาพเหนือกว่าอีกชนิดหนึ่งไม่ได้
เพราะบางสาขาวิชา เช่น ดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ เป็นต้น
นำการอ้างเหตุผลทั้งสองแบบมาใช้ควบคู่กัน