ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
ความหมายและความเข้าใจเกี่ยวกับมนุษย์
มนุษย์คือใคร: ทัศนะด้านศาสนา
มนุษย์ในทัศนะของศาสนาอินดู
มนุษย์ในทัศนะของศาสนาพุทธ
มนุษย์ในทัศนะของศาสนาคริสต์และอิสลาม
มนุษย์ในทัศนะของศาสนาขงจื้อ
มนุษย์คือใคร : ทัศนะด้านปรัชญา
มนุษย์คือใคร : ทัศนะด้านวิทยาศาสตร์
มนุษย์คือใคร : ทัศนะด้านสังคมศาสตร์
ความหมายของการใช้เหตุผล
สมองกับพัฒนาการการใช้เหตุผลของมนุษย์
สมองซีกซ้ายและสมองซีกขวา
ความเป็นมาและรูปแบบของการใช้เหตุผล
ความสำคัญและประโยชน์ของการใช้เหตุผล
การคิดและการใช้เหตุผลของตะวันตกและตะวันออก
การคิดและการใช้เหตุผลของตะวันตกและตะวันออก
ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาเป็นที่ยอมรับกันว่า ความรู้ของมนุษย์นั้นมีสองลักษณะ คือ
ความรู้ที่เกิดจากการคิดในแนวเหตุผล และความรู้ที่ผุดขึ้นในใจหรือญาณทัศน์
(rational and intuitive)ซึ่งเทียบได้กับวิทยาศาสตร์และศาสนาตามลำดับ
ในตะวันตกความรู้ชนิดหลังถูกถือว่าด้อยกว่าความรู้ในเชิงเหตุผลและเป็นวิทยาศาสตร์
แต่ในตะวันออกทัศนคติเกี่ยวกับความรู้นี้กลับตรงกันข้าม ความคิดของปราชญ์จากสองฝั่ง
คือ ตะวันตกและตะวันออก ซึ่งแสดงออกในประโยคต่อไปนี้
เป็นตัวอย่างที่ดีของวิธีคิดที่เป็นที่มาของความรู้ โสเครติสของกรีก
กล่าวประโยคซึ่งมีชื่อเสียงว่า ข้าพเจ้ารู้ว่า ข้าพเจ้าไม่รู้อะไร
และเหลาจื้อของจีนกล่าววา การไม่รู้ว่าตนรู้อะไร เป็นการดีที่สุด
ในตะวันออกคุณค่าของความรู้ทั้งสองประการปรากฏชัดเจนในชื่อที่เรีกยว ตัวอย่างเช่น
ในคัมภีร์อุปนิษัทกล่าวถึงความรู้อย่างสูงและความรู้อย่างต่ำ และอธิบายว่า
ความรู้อย่างต่ำคือความรู้ในวิทยาศาสตร์สาขาต่างๆ
ความรู้อย่างสูงคือความรู้ในทางศาสนา
ชาวพุทธกล่าวถึงความรู้สัมพัทธ์และความรู้สัมบูรณ์ หรือ สมมติสัจจะ และ
ปรมัตถสัจจะ
ในทางตรงกันข้ามปรัชญาจีนกลับสอนว่าความรู้ทั้งสองประการนั้นสนับสนุนซึ่งกันและกัน
ซึ่งแสดงออกในคู่หยินและหยางอันเป็นพื้นฐานของความคิดจีน (ฟริตจ๊อฟ คาปร้า, 3530:
31)
ในโลกตะวันตก (กรีกโบราณ) นักปราชญ์ 3 คน คือ โสเครติส เพลโต และอริสโตเติล
ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของการคิดแบบตะวันตก
ทั้งสามท่านใส่ใจกับเรื่องกฎระเบียบแบบแผน กฎเกณฑ์ ความเป็นจริง ความสมบูรณ์
และหลักการที่จะทำให้เราสามารถทำการตัดสินอย่างมีสติได้และสิ่งเหล่านี้ก็ได้ถูกปลูกฝังยัดเยียดลงไปในการคิดและบรรดานักคิดรุ่นต่อๆ
มาก็ยึดติดกับกฎระเบียบแบบแผนนั้นก่อให้เกิดความคิดแห่งอารยธรรมตะวันตก เอดเวิร์ด
เดอ โบโน (2548: 18,21) กล่าวว่า วิธีการ(คิด)ของโสเครตีส ก็คือ
วิธีการที่ปรากฏในงานเขียนของเพลโตที่ว่า เรากำลังแสวงหาความจริงอะไร?
และจะรู้ได้อย่างไรว่าเราพบความจริงนั้นแล้ว? ทำไมเราจึงเชื่อว่ามีความจริงอยู่
คำว่า วิธีการของโสเครติส ที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ หมายถึง
การแสวงหาความจริง โดยการตั้งคำถามอย่างไม่สิ้นสุด
แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเรากำลังแสวงหาความจริงอะไร?
จะรู้ได้อย่างไรว่าเราพบความจริงนั้นแล้ว และทำไม่เราจึงเชื่อว่ามีความจริงอยู่?
เราต้องคำถามแบบไหนท เราจะตัดสินและใช้คำตอบที่ได้อย่างไร? หลังจากได้คำตอบแล้ว
เราจะดำเนินการต่อไปอย่างไรเพื่อไปสู่ความจริงนั้น เราจะต้องพิจารณาว่าอะไรจริง
และอะไรไม่จริง ต้องตัดสินและโต้แย้ง ต้องกำหนดนิยาม สร้างกรอบ และสรุปรวบยอด
ซึ่งทั้งหมดนี้ คือระบบการคิดของตะวันตกแบบดั้งเดิม
เอดเวิร์ด เดอ โบโน
ได้กล่าวถึงลักษณะของวิธีคิดแบบดั้งเดิมในการเขียนหนังสือชื่อว่า คิดแนวขนาน
(Parallel Thinking) ไว้อย่างน่าสนใจว่า การคิดแบบดั้งเดิมเป็นการค้นหาและค้นพบ
การคิดแบบดั้งเดิม ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการตัดสินอย่างเด็ดขาดแบบทันทีทันใด
(ใช่/ไม่ใช่, ถูก/ผิด, จริง/เท็จ) การคิดแบบดั้งเดิมจะเกี่ยวข้องกับตรรกะ
การคิดแบบดั้งเดิมใช้กล่องการตัดสินที่เฉียบขาด ใช้นิยามและการแบ่งประเภท
การคิดแบบดั้งเดิมจะสร้างขั้วที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนและความขัดแย้ง
เพื่อให้เกิดการเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และการคิดแบบดั้งเดิมใช้การโต้แย้งเชิงปรปักษ์
และการหักล้างเพื่อสำรวจหัวข้อที่อยู่ในการพิจารณา (2548: 5)
อิทธิพลของแนวคิดแบบแยกส่วน หรือเชิงปรปักษ์ของกรีกโบราณ
โดยเฉพาะวิธีคิดและแนวคิดของอริสโตเติล มีอิทธิพลต่อสังคมตะวันตกกว่า 2000 ปี
แต่พอมาถึงยุคต่อมา (ยุคสมัยใหม่) ก็มีนักคิดตะวันตกหลายท่านที่มีความคิดว่า
วิธีคิดแบบอริสโตเติบนั้น (หมายถึงวิธีคิดแบบนิรนัย)
อาจจะไม่เพียงพอต่อการตอบคำถามที่เกิดขึ้นในสมัยต่อมา
ซึ่งสอดคล้องกับคำพูดของเอดเวิร์ด เดอ โบโนที่ว่า
เป็นไปได้ไหมที่วิธีคิดที่ไม่ดีพอ คืออุปสรรคในการทำให้สิ่งต่างๆ ถูกต้องเหมาะสม
โดยเขาได้ตั้งข้อสังเกตเชิงคำถามว่า
- เป็นไปได้ไหมที่ปัญหาความยุ่งยากบางอย่างของพวกเรานั้นจริงๆ แล้วมีสาเหตุมาจากนิสัยการคิดที่ไม่ดีพอ?
- เป็นไปได้ไหมที่อุปสรรคในการทำให้สิ่งต่างๆ ดำเนินไปอย่างถูกต้องเหมาะสมนั้นเกิดจากวิธีคิดที่ไม่ดีพอ?
- เป็นไปได้ไหมว่าการคิดที่ดีขึ้นจะทำให้สิ่งต่างๆ ดีขึ้น? ((2548: 12-13)
นักคิดตะวันตกสมัยใหม่ (ศตวรรษที่ 16-19) หลายท่าน โดยเฉพาะฟราสซิส เบคอน
(Francis Bacon 1561-1626) จึงได้เสนอวิธีคิดแบบใหม่ขึ้นมานั้น คือ วิธีแบบอุปนัย
(ดูรายละเอียดข้างบน)
วิธีคิดแบบนี้ก่อให้เกิดความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เป็นอย่างมาก
และมีอิทธิพลต่อสังคมตะวันตกจนกระทั้งปัจจุบัน
ซึ่งในช่วงระยะเวลาสมัยใหม่และสมัยปัจจุบัน (ศตวรรษที่ 20-ปัจจุบัน)
นี้ได้เกิดแนวคิดในการให้ความรู้และเสนอเหตุผลขึ้นมากมาย เช่น แนวคิดแบบเหตุผลนิยม
แนวคิดแบบปฏิบัตินิยมหรือประจักษ์นิยม แนวคิดแบบธรรมชาตินิยม ทวินิยม
และประโยชน์นิยม เป็นต้น แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า
วิธีคิดของแนวคิดเหล่านี้ยังเน้นไปที่การมองสรรพสิ่ง เช่น มนุษย์ เผ่าพันธุ์
สิ่งแวดล้อม เป็นต้นแบบแยกส่วนเหมือนเดิม
ซึ่งไม่ต่างอะไรกับวิธีคิดของนักคิดกรีกโบราณมากนัก
ถ้าพิจารณาจากภูมิปัญญาในทางตะวันออก
ทัศนะการมองเชิงแบ่งแยกนี้ถูกตั้งข้อสังเกตโดยนักคิดสมัยปัจจุบันหลายท่าน เช่น
ฟริตจ๊อฟ คาปร้า (2530: 26-27, 32-33) ที่กล่าวว่า
การแบ่งแยกภายในตัวมนุษย์นี้สะท้อนภาพทัศนะต่อโลก ภายนอก
ซึ่งถือว่าเป็นการรวมของวัตถุและเหตุการณ์ต่างๆ ที่แยกจากกันได้
สภาพแวดล้อมธรรมชาติถูกกระทำเหมือนมีส่วนประกอบที่แยกจากกันได้หลายๆ
ส่วนและถูกตักตวงใช้และทำลายลงโดยกลุ่มผลประโยชน์หลายๆ กลุ่ม
ทัศนะแห่งการแบ่งแยกนี้ได้แผ่ขยายไปในสังคม มีการแบ่งแยกเป็นชาติ เผ่าพันธุ์ ศาสนา
และกลุ่มการเมืองต่างๆ ความเชื่อว่าส่วนย่อยต่างๆ เหล่านี้ ภายในตัวเรา
ในสภาพแวดล้อม และสังคม แยกจากกันอย่างแท้จริง
เป็นสาเหตุสำคัญของวิกฤติการณ์ในทางสังคม ทางนิเวศวิทยา และทางวัฒนธรรมในปัจจุบัน
ทำให้เราห่างเหินจากธรรมชาติและจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ทำให้เกิดการแบ่งสันทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่เป็นธรรม
ทำให้เกิดความยุ่งยากในทางเศรษฐกิจและการเมือง ความรุนแรงขยายตัวขึ้น
ทั้งที่เป็นไปเองและจากสถาบันต่างๆ สภาพแวดล้อมเป็นพิษและน่ารังเกียจ
ส่งผลให้ชีวิตในทางร่างกายและจิตใจเสื่อมทรามลง
การเน้นที่วิธีการทางวิทยาศาสตร์และการคิดวิเคราะห์แบบเหตุผลมากเกินไป ได้นำไปสู่ทัศนะที่เป็นปฏิปักษ์ต่อนิเวศวิทยาอย่างลึกชึ้ง ความจริงแล้วจิตสำนึกแบบเหตุผลเป็นอุปสรรคต่อการทำความเข้าใจระบบนิเวศวิทยา เพราะการคิดแบบนี้มีลักษณะเป็นเส้นตรง ตัวอย่าง กิจการที่เป็นลำดับเส้นตรง เช่น การพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยีอย่างไม่มีที่สินสุดนั้นเอง
วิธีคิดและแนวคิดของกรีกก่อให้เกิดวัฒนธรรมและอารยธรรมตะวันตก แต่อารยธรรมแบบตะวันตก โดยเฉพาะอารยธรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เน้นวัตถุมากจนเกินไป ก่อให้เกิดความรุนแรงในหลายๆ ด้าน ในการเขียนคำนำหนังสื่อ พุทธศาสนาไทยในอนาคต แนวโน้มและทางออกจากวิกฤต ประเวศ วะสี (2546: (1),) กล่าวว่า อารยธรรมตะวันตกเป็นอารยธรรมวัตถุนิยม(และ)บริโภคนิยม ที่มีเงินเป็นสัญลักษณ์ ..ก่อให้เกิดการทำลายความเป็นมนุษย์อย่างรุนแรง ทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทำลายการอยู่ร่วมกันหรือสังสัง ทำลายวัฒนธรรม ทำลายมิติทางศาสนธรรม
คาโรลิน เมอร์ช้านท์(Merchant, 1980: xvii) นักประวัติศาสตร์ทางวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียกล่าวไว้ว่า ในการสำรวจเข้าไปถึงรากของปัญหาสภาพแวดล้อมของเราในปัจจุบัน และความเกี่ยวพันของปัญหานี้กับวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและเศรษฐกิจแล้ว ทำให้เราจำต้องหันมาตรวจสอบการก่อกำเนิดโลกทัศน์และวิทยาศาสตร์แบบหนึ่ง ที่สนับสนุนการกดขี่ครอบงำธรรมชาติและผู้หญิง ทัศนะดังกล่าวมองความเป็นจริงเป้นเครื่องจักรแทนที่จะเห็นคุณูปการแก่การวางรากฐานของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่อย่างฟรานซิส เบคอน วิลเลียม อาร์วีย์ เรอเน เดส์คาตส์ ทอมัส ฮอบส์และไอแซก นิวตันต่างตวรจะได้รับการะประเมินค่าใหม่ด้วย
อีกอย่างคือ ทัศนะที่เห็นว่ามนุษย์ควรเป็นนายเหนือธรรมชาติ และเหนือผู้หญิงกับความเชื่อในบทบาทเด่นของสำนึกทางเหตุผลนี้ ได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมโดยขนบประเพณียิว-คริสเตียนด้วย เพราะถือกันว่าพระเป็นเจ้าเป็นเพศชาย ซึ่งเป็นตัวแทนของเหตุผลสูงสุดและเป็นแหล่งกำเนิดอำนาจสูงสุด พระองค์ทรง ปกครองโลกด้วยการออกกฎศักดิ์สิทธิ์จากเบื้องบน กฎธรรมชาติที่นักวิทยาศาสตร์แวงหานั้น ถือกันว่า สะท้อนออกจากกฎศักดิ์สิทธิ์นี้ โดยมีแหล่งกำเนิดดั้งเดิมที่จิตใจของพระผู้เป็นเจ้า
จากมุมมองข้างต้นฟริตจ๊อฟ คาปร้า ให้ทัศนะเชิงเปรียบเทียบกับวิธีคิดแบบตะวันออกว่า โลกทัศน์ของตะวันออกเป็นแบบ องค์รวม (Organic) ในสายตาของปราชญ์ชาวตะวันออก สรรพสิ่งและเหตุการณ์ทั้งมวลซึ่งรับรู้ได้ทางประสาทสัมผัสต่างเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน และเป็นเพียงการแสดงออกในหลายแง่มุมของสัจธรรมอันเดียวกัน ในทัศนะของตะวันออก การแบ่งแยกธรรมชาติออกเป็นวัตถุต่างๆ กันมิใช่สิ่งพื้นฐาน และสิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็อยู่ในสภาพแห่งการเปลี่ยนแปลงเลื่อนไหลตลอดเวลา ดังนั้นโลกทัศน์ของตะวันออกโดยเนื้อหาจึงเป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกับการเคลื่อนไหว มีเวลาและการเปลี่ยนแปลงเป็นลักษณะสำคัญ เอกภพเป็นความจริงหนึ่งเดียวซึ่งไม่อาจแบ่งแยก เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา มีชีวิต เป็นองค์รวม เป็นทั้งจิตใจและวัตถุในเวลาเดียวกัน (2530: 28)
นักปราชญ์จีนมองว่า สรรพสิ่งมีพลังขับเคลื่อนภายในตัวเองพลังขับเคลื่อนนี้ เต๋า ลักษณะหลักของเต๋าก็คือธรรมชาติการเคลื่อนไหวเป็นวัฏจักรอย่างไม่หยุดยั้ง พัฒนาการทั้งหมดในธรรมชาติแสดงออกในรูปของวัฏจักรอย่างไม่หยุดยั้ง พัฒนาการทั้งหมดในธรรมชาติแสดงออกในรูปวัฎจักรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโลกที่เป็นวัตถุหรือในอาณาจักรของจิตใจและสังคม ชาวจีนให้หาโครงสร้างที่แน่นอนให้แก่คติเรื่องวัฏจักรนี้ โดยเสนอความคิดเรื่องคู่ตรงข้าม หยิน-หยาง มาจำกัดขอบเขตวัฏจักรแห่งการเปลี่ยนแปลง เมื่อหยางขึ้นถึงจุดสูงสุดก็จะเปิดทางให้แก่หยิน เมื่อหยินขึ้นถึงจุดสูงสุดก็จะเปิดทางให้แก่หยาง (Wang Chung, 1975: 106, อ้างในฟริตจ๊อฟ คาปร้า, 2546: 24)
ในทัศนะแบบจีน ปรากฏการณ์ทั้งหมดของเต๋าเกิดจากความสัมพันธ์แบบพลวัตของคู่ตรงข้ามทั้งสองนี้ โดยจะใช้ภาพพจน์ของสิ่งตรงกันข้ามจากธรรมชาติ และจากชีวิตสังคมหลายอย่างมาอธิบาย ประเด็นสำคัญและยากแก่การเข้าใจสำหรับชาวตะวันตกก็คือคู่ตรงข้ามนี้มิใช่ของสองสิ่ง แต่เป็นสองขั้วสุดของสิ่งเดียวกัน ไม่มีอะไรที่เป็นเพียงหยินหรือเป็นเพียงหยาง ปรากฏการณ์ทางะรรมชาติทั้งหมดเป็นการแสดงออกของการเคลื่อนไหมาของสิ่งต่างๆ ระหว่างขั้วทั้งสองนี้ การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างช้าๆ และต่อเนื่องไม่ขาดสาย ระเบียบตามธรรมชาติก็คือภาวะสมดุลที่เป้นพลวัตระหว่างหยินกับหยาง
ในมุมมองอีกส่วนหนึ่งก็คือ วิธีคิดแบบพุทธ ซึ่งโดยธรรมชาติของหลักคำสอน ปฏิเสธการมองแบบแยกส่วน และให้ความสำคัญของเหตุและผลแบบเชื่อมโยง โดยได้เสนอหลักการที่สำคัญซึ่งใช้ประกอบในการพิจารณาเหตุการณ์ ปรากฏการณ์ หรือแม้แต่การรับข้อมูลข่าวสารในปัจจุบัน เช่น หลักกาลามสูตร และวิธีคิดแบบต่างๆ เป็น เพื่อเป็นฐานในการดำเนินชีวิตตามหลักคำสอนของตนเอง ซึ่งจะได้กล่าวโดยละเอียดในบทที่ 4 ส่วนวิธีคิกและการใช้เหตุผลแบบต่างๆ ในส่วนของตะวันตกนั้น มิได้หมายความว่าจะไม่มีประโยชน์เสียที่เดียว เพราะวิธีคิดและแนวคิดในส่วนตะวันตกนั้นมีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องมาตลอด ซึ่งมีความจำเป็นที่ต้องศึกษา วิธีคิดและการใช้เหตุผลแนวตะวันตกนี้จะได้กล่าวอย่างรายละเอียดในบทที่ 3 และที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ถึงแม้เราจะเรียนวิธีคิดหรือทฤษฎีเดียวกันหรือเหมือนกัน แต่มีไม่น้อยเลยที่เวลาใช้เหตุผล หรือคิดมักจะมีความเห็นที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งก็ถือว่าไม่เป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใด แต่เพื่อความเข้าใจสาเหตุหรือพื้นฐานการใช้เหตุผลด้านต่างๆ ของแต่ละสังคม วัฒนธรรม ค่านิยม จารีตประเพณี กฎหมาย รวมถึงสถาบันการศึกษา ระบบการศึกษา และศาสตร์ต่างๆ เป็นต้น