ปรัชญา อภิปรัชญา ญาณวิทยา จิตวิทยา ตรรกศาสตร์ >>

ภาวะวิทยา ญาณวิทยา และวิธีวิทยา

แนวพินิจทางรัฐศาสตร์
ภาวะวิทยา ญาณวิทยา และวิธีวิทยา

ผศ. เชิญ ชวิณณ์ ศรีสุวรรณ

พัฒนาการของรัฐศาสตร์ในแง่สาขาวิชา
ลักษณะเด่นของ “พฤติกรรมศาสตร์”
สาระสำคัญของวิชารัฐศาสตร์ช่วงหลังทศวรรษ 1970
ความหมายทั่วไปของ Approach
แนวพินิจการแจกแจงอำนาจ (Power Distribution Approach)
ลักษณะสำคัญของพหุนิยม
วิพากษ์ “พหุนิยม”
แนวพินิจชนชั้นนำ (Elite Approach)
วิเคราะห์ Classical Elitists
พื้นฐานคุณลักษณะทางจิตฯ 6 ชั้น
จุดเน้นของแนวพินิจชนชั้นนำแบบคลาสสิก
แนวพินิจชนชั้นนำแบบใหม่

ลักษณะเด่นของ “พฤติกรรมศาสตร์”

มีอาทิเช่น

  1. หน่วยในการศึกษารัฐศาสตร์ จะไม่ใช่ สถาบันการเมือง อย่างเช่น รัฐธรรมนูญ, พรรคการเมือง, หรือ รัฐสภา, อีกต่อไป. แต่จะเป็น พฤติกรรมของบุคคลในสถานการณ์การเมือง แต่ละแบบ, แต่ละช่วงเวลา.
  2. เนื่องจากหมวดวิชาสังคมศาสตร์ มีความเป็นเอกภาพและมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในแง่ที่มุ่งศึกษาถึงพฤติกรรมของคนในสังคม ในแง่มุมต่างๆ (เช่น ทางสังคม, ทางเศรษฐกิจ, ทางการเมือง, ทางวัฒนธรรม), เพราะฉะนั้น จึงอาจเรียกหมวดวิชาสังคมศาสตร์ใหม่ว่า หมวดวิชาพฤติกรรมศาสตร์.
  3. เพื่อให้เกิดความถูกต้องและเที่ยงตรง ในการศึกษาพฤติกรรมการเมือง, จำเป็นต้องมีการนำเทคนิค ที่จะช่วยทำให้เกิดความเที่ยงตรง, มาใช้ในการสังเกตการณ์, การจำแนกประเภทของข้อมูล, และ การวัดผลของพฤติกรรมที่ได้ศึกษาวิจัย.
  4. เนื่องจากวิชาสถิติ สามารถวัดผลเชิงปริมาณได้อย่างน่าเชื่อถือ, จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนำเอาสถิติ เข้ามาช่วยประเมินผลการศึกษาพฤติกรรมการเมือง.
  5. ข้อความที่มีลักษณะแสดงถึงบรรทัดฐานของค่านิยม เช่น ดี/เลว หรือ ยอดเยี่ยม/ย่ำแย่, ทำให้เกิด “ความลำเอียง” หรือ “ความไม่เป็นกลาง” ในการศึกษา. การศึกษาพฤติกรรมศาสตร์ ต้องปลอดจากค่านิยม, หรือ อาจเรียกว่า มีความเป็นภาวะวิสัย (Objectivity) สูง.
  6. เป้าหมายของวิชารัฐศาสตร์ ก็คือ การสร้างทฤษฎีที่มีความเป็นระเบียบและเป็นระบบความคิดที่สามารถ นำไปใช้สังเกตและวิเคราะห์ พฤติกรรมการเมืองได้.

การศึกษารัฐศาสตร์ที่สืบทอดกันมาช้านาน อาจจะพรรณนาถึงการดำเนินการของรัฐบาล, ในลักษณะที่ว่า “รัฐบาลนายสุดวิเศษ เป็นรัฐบาลที่ชั่วช้าเลวทราม เพราะได้กระทำการทั้งโจ่งแจ้งและปิดบังอำพราง ในการฉ้อราษฎร์บังหลวง มาโดยตลอด, ก่อนจะถูกโค่นล้มอำนาจ”.



การศึกษารัฐศาสตร์ของฝ่ายพฤติกรรมศาสตร์ จะอธิบายปรากฏการณ์เดียวกันนี้ แตกต่างออกไปว่า “นับตั้งแต่รัฐบาลของนายสุดวิเศษ ได้ทำการปกครองประเทศ เป็นเวลา 5 ปี 8 เดือน 13 วัน, ได้ปรากฏเป็นข่าวในหนังสือพิมพ์รายวัน และหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์เท่าที่สำรวจพบ รวม 28 ฉบับ, กล่าวหารัฐบาลนายสุดวิเศษ ว่าได้กระทำการใช้อำนาจโดยมิชอบ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ร้อยละ 74, ได้ดำเนินนโยบายในลักษณะเอื้อประโยชน์ตนเอง วงศาคณาญาติ และพวกพ้อง ร้อยละ 88, และได้ดำเนินการกำจัดฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ด้วยวิธีการที่ผิดกฎหมาย ร้อยละ 98”.

สิ่งหนึ่งที่มองเห็นได้ชัดเจนก็คือ นักรัฐศาสตร์ฝ่ายพฤติกรรมศาสตร์ ได้หลีกเลี่ยง ที่จะแสดงตน, หรือ แสดงความกล้าหาญทางจริยธรรม, ในอันที่จะระบุถึง ความดี, ความเลว, ความถูกต้อง, ความผิดพลาด, ความชอบธรรม, ความไม่ชอบธรรม, ซึ่งถือเป็น “แกนกลาง” ของรัฐศาสตร์แต่ดั้งเดิม. จึงทำให้ฝ่ายพฤติกรรมศาสตร์ มาถึงจุดเสื่อม ในช่วงปี 1967, ซึ่งมีการประชุมประจำปีของ สมาคมรัฐศาสตร์อเมริกัน ที่นครชิคาโก. ในที่ประชุมนั้นเอง ได้เกิด “องค์ประชุมย่อยของรัฐศาสตร์แนวใหม่ (The Caucus for a New Political Science)” ขึ้นมาซ้อนทับการประชุม. นักรัฐศาสตร์ที่เรียกตนเองว่า “แนวใหม่” ส่วนใหญ่ เป็นพวกนิยมม้าร์กซฺ(Marxists) ซึ่งค้นพบว่า ผู้บริหารสมาคมรัฐศาสตร์อเมริกัน ได้เข้าไปพัวพันกับ “สำนักข่าวกรองแห่งชาติ (Central Intelligence Agency-CIA)” เป็นเวลาหลายปี, โดยได้ให้ข้อมูลแบบพฤติกรรมศาสตร์ เป็นเหตุให้รัฐบาลอเมริกันหลงเชื่อ ได้เข้าไปสู่สงครามเวียดนาม เพราะนึกว่าจะชนะสงครามอย่างง่ายดายตามที่ฝ่ายพฤติกรรมศาสตร์ได้ให้ข้อมูล. แต่สุดท้ายก็กลายเป็นสงครามยืดเยื้อ ส่งผลกระทบต่อพลเมืองอเมริกัน ที่จะต้องเสียภาษีเพิ่ม, และสูญเสียญาติพี่น้องในสงครามเวียดนาม เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ.

นักรัฐศาสตร์แนวใหม่อีกกลุ่มหนึ่ง ได้ค้นพบว่า การศึกษาพฤติกรรมการเมืองในเชิงปริมาณ ไม่สามารถให้คำตอบได้เลยว่า เหตุใดจึงยังคงมีความยากจนในหมู่ชนอเมริกัน, และเหตุใดจึงยังมีปัญหาในสังคมเกี่ยวกับการแบ่งแยกสีผิว.

ในเดือนเมษายน 1969, กลุ่มนักรัฐศาสตร์แนวใหม่(The Caucus) ก็ได้ออก “ปฏิญญาเมษายน 1969” ประกาศจุดมุ่ง 2 ประการ :

(1) ส่งเสริมและสนับสนุนวิธีการศึกษาแบบใหม่เกี่ยวกับ แนวความคิดทางการเมือง และการดำเนินการทางการเมือง, การวิพากษ์สังคมและการวิจารณ์ปัญญาชน (ทั้งในด้านโครงการวิจัย, มาตรฐานการเรียนการสอน, การส่งเสริมของมหาวิทยาลัย, และการวางโครงการ การจัดพิมพ์หนังสือ);

(2) ปฏิรูป สมาคมรัฐศาสตร์อเมริกัน ซึ่งมีลักษณะเป็นระบบราชการและไม่เป็นประชาธิปไตย, มีผลงานวิชาการที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงในสังคม (academic irrelevancy), และ มีความโน้มเอียงทางการเมืองในลักษณะสนับสนุนอำนาจของระบบการเมือง.

กลุ่มนักรัฐศาสตร์แนวใหม่ ได้ออกเสียงสนับสนุน ศาสตราจารย์ Hans Morgenthau ซึ่งเป็นสมาชิกในกลุ่ม, เข้าแข่งขันในตำแหน่ง ประธานสมาคมรัฐศาสตร์อเมริกัน, ในปี 1970, และได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น. ท่านประธาน Morgenthau ได้ช่วยจัดตั้ง กลุ่มนักรัฐศาสตร์เพื่อสมาคมรัฐศาสตร์แนวใหม่ (The Caucus for a New Political Science Association) ขึ้นมาในเวลาต่อมา. กลุ่มรัฐศาสตร์แนวใหม่ ได้ออกวารสารวิชาการของตนเอง, แยกต่างหากจาก American Political Science Review (APSR) ซึ่งเป็นของสมาคมรัฐศาสตร์อเมริกัน, โดยใช้ชื่อว่าชื่อ PS (ย่อมาจาก Political Science), และยังคงตีพิมพ์มาจนทุกวันนี้.

อย่างไรก็ตาม, สิ่งที่นักรัฐศาสตร์อเมริกัน, โดยเฉพาะนักรัฐศาสตร์ที่เป็นอาจารย์ หรือนักวิจัยในมหาวิทยาลัย, ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ก็คือ อิทธิพลจากการพัฒนาด้านเทคนิควิทยา (รวมทั้งวิธีวิทยาด้านการวิจัยเชิงปริมาณ) ของมหาวิทยาลัยต่างๆ โดยรวม, ซึ่งส่งผลให้ มหาวิทยาลัยมีผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคเพิ่มขึ้น (Technocratization). วิชาการ กับ วิชาชีพ เริ่มหลอมรวมเป็นอันเดียวกัน. ความสัมพันธ์ระหว่าง มหาวิทยาลัย กับ สังคม เริ่มเปลี่ยนไป. แทนที่ มหาวิทยาลัย จะตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของ สังคม, ในรูปแบบที่เคยเป็น มหาวิทยาลัยของชุมชน, ก็เริ่มเปลี่ยนไปในลักษณะที่ว่า มหาวิทยาลัย จะมุ่ง แก้ไขปัญหา ตามที่ ระบบการเมือง หรือ นโยบายของรัฐบาล ต้องการ. สาขาวิชา นโยบายสาธารณะ ซึ่งเริ่มมีการจัดสอนระดับปริญญาโท และปริญญาเอก ณ มหาวิทยาลัยชิคาโก ในช่วงปี 1971, จึงเป็นเรื่องของ Technocratization อย่างแท้จริง

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย