ปรัชญา อภิปรัชญา ญาณวิทยา จิตวิทยา ตรรกศาสตร์ >>

ภาวะวิทยา ญาณวิทยา และวิธีวิทยา

แนวพินิจทางรัฐศาสตร์
ภาวะวิทยา ญาณวิทยา และวิธีวิทยา

ผศ. เชิญ ชวิณณ์ ศรีสุวรรณ

พัฒนาการของรัฐศาสตร์ในแง่สาขาวิชา
ลักษณะเด่นของ “พฤติกรรมศาสตร์”
สาระสำคัญของวิชารัฐศาสตร์ช่วงหลังทศวรรษ 1970
ความหมายทั่วไปของ Approach
แนวพินิจการแจกแจงอำนาจ (Power Distribution Approach)
ลักษณะสำคัญของพหุนิยม
วิพากษ์ “พหุนิยม”
แนวพินิจชนชั้นนำ (Elite Approach)
วิเคราะห์ Classical Elitists
พื้นฐานคุณลักษณะทางจิตฯ 6 ชั้น
จุดเน้นของแนวพินิจชนชั้นนำแบบคลาสสิก
แนวพินิจชนชั้นนำแบบใหม่

แนวพินิจชนชั้นนำ (Elite Approach)

แนวคิดหลักของ แนวพินิจชนชั้นนำ (Elite Approach) คือ อำนาจในสังคม “กระจุกตัว (Power Concentration)” อยู่ที่ คนกลุ่มเล็กๆ ที่มี “ฐานะซึ่งได้เปรียบผู้อื่น” ในสังคม, ภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า “Positions deja prises” (โพซิสิยอง เดอชา พรีส), ซึ่งนับตั้งแต่ :

  1. “ชั้นทางสังคม (Social Class)” กล่าวได้ว่า “ชนชั้นนำ” ได้เปรียบเพราะเกิดมาใน “ชนชั้นสูง” หรือ “ชนชั้นกลางระดับสูง”, จึงได้รับ “การยกย่อง” และ “มีเกียรติสูง” ในสังคม. มักได้รับการจัดชั้นทางสังคมว่า เป็น “ผู้ที่โดดเด่นเป็นพิเศษ (The Exclusives)”.
  2. “อำนาจทางการเมือง (Political Power)” กล่าวได้ว่า “ชนชั้นนำ” ซึ่งมีจำนวนน้อย (ในสหรัฐอเมริกา มีจำนวน 1.6% ของประชากร 295 ล้านคน).
  3.  “การศึกษา” กล่าวได้ว่า “ชนชั้นนำ” มี “โอกาสทางสังคม” ดีกว่าประชากรคนอื่นๆในสังคม, เพราะมี “ฐานะสูงในสังคม”, จึงได้รับการศึกษาจากโรงเรียน และสถาบันการศึกษาที่ “มีชื่อเสียง” ของโลก. ยกตัวอย่าง เช่น ผู้ที่เข้ามาดำรงตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” ของอังกฤษ, เกือบจะ 100% (คือ 99%) จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัย Oxford และ Cambridge. ส่วนในสหรัฐอเมริกา “ประธานาธิบดี” ส่วนใหญ่ รวมทั้ง รัฐมนตรี (มากกว่า 80%), จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย ที่มีชื่อเสียง ซึ่งอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า “Ivy League” (ได้แก่ มหาวิทยาลัย Brown, Columbia, Cornell, Dartmouth, Harvard, Princeton, U. of Pennsylvania, Yale). กรณีของไทย แม้จะไม่มีการศึกษาอย่างจริงจัง, แต่ไม่เคยปรากฏว่า มี “นายกรัฐมนตรี” ที่มาจาก “ระดับรากหญ้า” เลย, และ “นายกรัฐมนตรี” มักจบการศึกษาในระดับอุดมศึกษา, หรือ เทียบเท่า, ทั้งจากต่างประเทศ, และในประเทศ.
  4. “รายได้” กล่าวได้ว่า “ชนชั้นนำ” มี “รายได้” ที่สูงกว่าประชากรคนอื่นๆในสังคม. การมี “รายได้” สูงนี้ มีความสัมพันธ์กับ “ความมีเกียรติสูง” ในอาชีพด้วย. ผู้ที่มี “รายได้สูง” แต่ประกอบอาชีพที่ไม่มีเกียรติ เช่น ค้ายาเสพติด, ค้าประเวณี, ค้ามนุษย์ (เกณฑ์แรงงานต่างด้าว มาขายให้กับ ผู้ประกอบการบางอาชีพ เช่น ประมง, ก่อสร้าง, โรงสีขนาดใหญ่), ไม่ถือว่า เป็น “ชนชั้นนำ” ตามมาตรฐานของ “รายได้”.

    ในกรณีของ สหรัฐอเมริกา, G. William Domhoff, ผู้เขียน Who Rules America?(2005)ได้ศึกษาพบว่า “ชนชั้นนำ” ซึ่งมีเพียง 1% ของประชากรอเมริกา, มี “รายได้” เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ ปี 1979 ถึงปี 2003. ทั้งนี้ “ช่องว่างของรายได้” ระหว่าง “ชนชั้นนำ” กับ “ระดับรากหญ้า” ห่างกันมากกว่า 40%.

    ในกรณีของไทย, จากการรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่า “บัญชีเงินฝาก” ในธนาคารพานิชย์, นับถึงสิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2550 (2007), ที่มีเงินฝากมากกว่า 500 ล้านบาท, มีเพียง 468 บัญชี, จากจำนวน 71 ล้านบัญชี.
  5. “อิทธิพลทางวัฒนธรรม (Cultural Influence)” กล่าวได้ว่า “ชนชั้นนำ” มีความสามารถสูงที่จะ “ระดมมวลชนให้คล้อยตามค่านิยม” ของตนเอง, ซึ่งมีศัพท์ (บัญญัติโดย E.E. Schattschneider) เรียกว่า “Mobilization of Bias”. ด้วยเหตุนี้, “ชนชั้นนำ” จึงสามารถที่จะ “จูงใจ” ให้คนในสังคมคล้อยตามความคิดของตนเอง เช่น ชี้ให้เห็นว่า “โทรศัพท์มือถือ” คือ เครื่องมือที่นอกจากจะช่วยให้ เกิดความสะดวกในการติดต่อสื่อสารแล้ว ยังเป็นแหล่งรับทราบ “ข่าวสาร” เช่น ติดตามข่าวจากหนังสือพิมพ์ได้, ใช้เป็น กล้องถ่ายรูปได้, ดูโทรทัศน์ได้, ส่งข้อความและรูปภาพให้แก่คนอื่นๆได้, เช่น ตอนที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ ปี 2550, ชาวบ้านที่อยู่ห่างไกล, และติดค้างอยู่บนหลังคาบ้าน, ได้ใช้โทรศัพท์มือถือ ส่งภาพให้สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ว่ายังไม่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้ามาช่วยเหลือ.
  6. “ความเป็นผู้นำ (Leadership)” กล่าวได้ว่า “ชนชั้นนำ” มีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับ “ผลประโยชน์และอำนาจ” มาตั้งแต่เกิด. ด้วยเหตุนี้ จึงเรียนรู้ตั้งแต่เยาว์วัยว่า “ภาวะการนำ” มีความสำคัญมาก ที่จะได้รับการยอมรับนับถือจากพวกพ้อง และบริวาร.

 

“ความเป็นผู้นำ” วัดได้จาก อัตราการเข้าไปเกี่ยวข้องกับ “การร่วมกิจกรรมกลุ่ม”, การมี “บทบาทสำคัญ” ในกลุ่ม, และการเริ่มเข้ามาเกี่ยวข้องกับ “ธุรกิจ” และเริ่มเรียนรู้และเกี่ยวข้องในทางอ้อม กับ “ผู้มีอำนาจทางการเมือง”, เช่น การให้ความช่วยเหลือด้านการเงิน แก่พรรคการเมือง, การหา “แนวร่วม” ทางการเมือง ให้แก่ “ผู้สมัครรับเลือกตั้ง” ที่ตนคาดหมายว่า จะทำให้ได้รับประโยชน์จากนโยบายรัฐบาล, หรือ ผลประโยชน์โดยรวมของตน จะได้รับการปกป้องและช่วยเหลือจากบุคคลที่ตนให้การสนับสนุน ในรัฐบาล. และในที่สุดก็ จะเข้ามามีบทบาทโดยตรง และได้เป็นผู้นำทางการเมือง.

แนวพินิจชนชั้นนำ เชื่อว่า “ชนชั้นนำ” สามารถที่จะ “ควบคุม” สถาบันการเมือง (รัฐธรรมนูญ, พรรคการเมือง, รัฐสภารัฐบาล) ให้อยู่ในอำนาจและอิทธิพลของตนเองได้. ทั้งนี้เพราะ “ชนชั้นนำ” มี “จำนวนน้อย” จึงมีโอกาสรู้จักกัน, และสนิทสนมกัน. ถึงแม้ว่า บางครั้งอาจจะมีการแข่งขันกันบ้าง, แต่ก็สามารถที่จะ ประนีประนอม และประสานประโยชน์กันได้. จากการที่ “ชนชั้นนำ” มี “ความได้เปรียบ” หลายประการ, ดังได้กล่าวมาแล้ว, ทำให้ “ชนชั้นนำ” สามารถใช้ “ทรัพยากร(บุคคล, ทรัพย์สิน, ความรู้ด้านการจัดการ)” มาช่วยสร้าง “เครือข่ายอำนาจ” ของตนเองและ เชื่อมต่อกับ “ชนชั้นนำ” อื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงกว่าที่ ประชากรโดยทั่วไปจะทำได้.

อาจจะแบ่ง “แนวพินิจชนชั้นนำ” ออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ :

(1) Classical Elitists (กลุ่มศึกษาชนชั้นนำแบบคลาสสิก)
(2) Contemporary Elitists (กลุ่มศึกษาชนชั้นนำแบบใหม่)

สำหรับ Classical Elitists นั้น มักวางฐานความเชื่อว่า “ชนชั้นนำ” มี “ความเป็นปึกแผ่นสูง” มักเกาะกลุ่มกันได้แน่นแฟ้น เพราะมีจำนวนน้อย จึงสามารถครอบงำ และควบคุมกิจการต่างๆในสังคม ไว้ได้ทั้งหมด.

วิธีการศึกษาของแนวทางแบบคลาสสิก จะเน้นการวิเคราะห์ในเชิงจิตวิทยาสังคม และประวัติศาสตร์เปรียบเทียบ.

ผู้ศึกษาชนชั้นนำแบบคลาสสิก ที่สำคัญ ได้แก่ :

  • Gaetano Mosca (กีต๊าโน่ ม้อสก้า) [1858-1941]
  • Vilfredo Pareto (วิลเฟร้โด้ พาเร้โต้) [1848-1923]
  • Robert Michels (ร้อเบิร์ต มิเชลส์) [1876-1936]

นักคิดแนวคลาสสิก วางฐานความคิดไว้ว่า “ชนชั้นนำ” มี “คุณสมบัติทางจิตวิทยา” ที่ “เหนือกว่า” ประชาชนโดยทั่วไป. เช่น เฉลียวฉลาดกว่า, กล้าหาญ (ที่จะเสี่ยง)มากกว่า, เจ้าเล่ห์มากกว่า, มีทักษะในการจัดการมากกว่า. ในขณะที่ประชาชนโดยทั่วไป จะเฉื่อยเฉยทางการเมือง, ไม่มีสมรรถภาพทางการเมือง, ขาดความสามารถที่จะปกครองตนเอง.

สำหรับ Contemporary Elitists จะมีฐานความเชื่อว่า “ชนชั้นนำ” ในสังคม ไม่จำเป็นต้องเป็นกลุ่มเดียวกัน, อาจจะมีหลายกลุ่ม, และต่างก็แข่งขันกัน รวมทั้งร่วมมือกัน เพื่อจะยึดกุมอำนาจในสังคมไว้ให้ได้มากที่สุด.

วิธีการศึกษาของแนวทางแบบสมัยใหม่ จะเน้นการวิเคราะห์ “เฉพาะด้าน” เช่น ภูมิทัศน์ของชนชั้นนำ, การเลือกสรรและการเข้าสู่ตำแหน่งของชนชั้นนำ, การดำเนินการของชนชั้นนำ, เป็นต้น.

นักคิดที่สำคัญในกลุ่มศึกษาชนชั้นนำแบบใหม่ ได้แก่ :

C. Wright Mills [1916-1962]
G. William Donhoff
Thomas R. Dye
Robert D. Putnam
Lester Seligman
Harold D. Lasswell [1902-1978] เป็นต้น.

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย