ปรัชญา อภิปรัชญา ญาณวิทยา จิตวิทยา ตรรกศาสตร์ >>

ภาวะวิทยา ญาณวิทยา และวิธีวิทยา

แนวพินิจทางรัฐศาสตร์
ภาวะวิทยา ญาณวิทยา และวิธีวิทยา

ผศ. เชิญ ชวิณณ์ ศรีสุวรรณ

พัฒนาการของรัฐศาสตร์ในแง่สาขาวิชา
ลักษณะเด่นของ “พฤติกรรมศาสตร์”
สาระสำคัญของวิชารัฐศาสตร์ช่วงหลังทศวรรษ 1970
ความหมายทั่วไปของ Approach
แนวพินิจการแจกแจงอำนาจ (Power Distribution Approach)
ลักษณะสำคัญของพหุนิยม
วิพากษ์ “พหุนิยม”
แนวพินิจชนชั้นนำ (Elite Approach)
วิเคราะห์ Classical Elitists
พื้นฐานคุณลักษณะทางจิตฯ 6 ชั้น
จุดเน้นของแนวพินิจชนชั้นนำแบบคลาสสิก
แนวพินิจชนชั้นนำแบบใหม่

วิเคราะห์ Classical Elitists

Gaetano Mosca ใช้ศัพท์เรียก “ชนชั้นนำ” ว่า Political Class (ชนชั้นนำทางการเมือง), และ Governing Class (ชนชั้นนำในรัฐบาล), และ Ruling Class (ชนชั้นปกครอง) ในความหมายที่บ่งถึง “ผู้ที่อยู่ในฐานะที่ได้เปรียบในทางการเมือง”. (ใช้ศัพท์ต่างกัน อธิบายเรื่องเดียวกัน).

“ชนชั้นนำ” มี “จำนวนน้อย” จึงรู้จักกัน, มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เพราะมี “ผลประโยชน์” ร่วมกัน, จึงมี “ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” สูง (หรือ มี “เอกภาพ” สูง), สามารถตัดสินใจเรื่องสำคัญร่วมกันได้อย่างรวดเร็ว, และมีความเห็นเป็นไปในทิศทางเดียวกัน, จึงมีอิทธิพลสูงมาก ต่อ “รัฐบาล” (อาจจะมีอำนาจในรัฐบาล หรือมีอิทธิพลอยู่เบื้องหลังรัฐบาล).

ในกลุ่ม “ชนชั้นนำ” ที่เป็น “ชนชั้นปกครอง” จะประกอบด้วย “ชนชั้นนำระดับสูง” และ “ชนชั้นนำระดับรองลงมา” นับตั้งแต่ คณะรัฐมนตรี, ข้าราชการระดับสูง, ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขา (Technocrats), ชนชั้นนำที่ “ไม่ใช่ฝ่ายปกครอง” แต่เป็น “ชนชั้นนำ” ในทางเศรษฐกิจ, ซึ่งมีส่วนในการ “กำหนดแผนการปฏิบัติงาน” (ปัจจุบันเรียกว่า “นโยบายสาธารณะ”).

ในขณะที่ “ชนชั้นนำ” ประกอบด้วยผู้ที่มีสติปัญญาสูง, มีการศึกษาสูง, มีรายได้สูง และมี “เอกภาพ”, ประชาชนในระดับ “รากหญ้า” ซึ่งมีจำนวนมากกว่า กลับมีการศึกษาต่ำ (ในกรณีของไทย ประชากร 42 ล้านคน มีการศึกษาสูงแค่ระดับ “มัธยมต้น”), และต่างคนก็ต่างอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย ในจังหวัดต่างๆ, ไม่สามารถ “รวมกลุ่ม” ให้เข้มแข็ง หรือ มี “เอกภาพ” อย่าง “ชนชั้นปกครอง”.

“ชนชั้นปกครอง” ซึ่งแม้จะมีจำนวนน้อยกว่า แต่สามารถ “ครอบงำ” และ “ควบคุม” ประชากรซึ่งมีจำนวนมากกว่าได้, ก็เพราะ ฉลาดในการใช้ “วิธีการ” ที่จะทำให้ เกิดการเชื่อฟังและเชื่อถือในชนชั้นนำ ดังนี้ :

  1. สร้างความรู้สึก “ผูกพัน” ว่าเป็นสมาชิกของสังคมเดียวกัน. ทำให้เกิดความรู้สึกว่า มี “สายใยสังคม” เชื่อมโยงกัน (เช่น มีประวัติศาสตร์ร่วมกัน, มีประเพณีคล้ายคลึงกัน, มีวัฒนธรรมอันเดียวกัน) เพียงแต่ มีฐานะต่างกัน(มาก) เท่านั้น.
  2. การใช้ “สูตรทางการเมือง (Political Formula)” เพื่อโน้มน้าวใจ คนส่วนใหญ่ ให้หันมาสนับสนุนชนชั้นนำ เช่น “เราจะก้าวไปด้วยกัน เพื่อมุ่งสู่ความเจริญก้าวหน้าของชาติ” (เพื่อให้ลืมว่า ชนชั้นนำ เอาเปรียบคนส่วนใหญ่อย่างไรบ้าง, และ ชนชั้นนำ อยู่ดีกินดี มากกว่าคนส่วนใหญ่ แค่ไหน).
  3. ทำให้คนส่วนใหญ่ เกิด “ความคุ้นเคย” กับ ค่านิยม, ความเชื่อ, ตั้งแต่ยังเยาว์วัย ด้วยการอบรมสั่งสอน เพื่อจะได้มีการเลียนแบบพฤติกรรม ที่คนในสังคมได้ประพฤติปฏิบัติ มาเป็นเวลาช้านาน. Mosca ใช้ศัพท์ว่า Mimetism ซึ่งนักวิชาการปัจจุบันใช้ศัพท์ว่า Socialization (ตามรากศัพท์คือ การทำให้สมาชิกใหม่กลมกลืนกันกับสังคม, อาจแปลว่า การกล่อมเกลาทางสังคม, หรือ การปรับตัวให้เข้ากับสังคม). ชนชั้นนำ สามารถใช้ประโยชน์จาก วิธีสร้างการปรับตัว ดังกล่าว, ด้วยการทำให้คนส่วนใหญ่ เกิดความรู้สึกว่า “ไร้ความสามารถ” ที่จะอยู่โดยปราศจากผู้นำ, หรือ ทำให้คนส่วนใหญ่ ต้อง “พึ่งพาอาศัย” อำนาจและอิทธิพลของชนชั้นนำ. ดังนั้น คนระดับรากหญ้า ก็จะรู้สึกว่าไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้, เพราะไม่มีอำนาจ, ไม่มีความสามารถที่จะแก้ไขปัญหาของตนเอง, ต้องให้ ชนชั้นปกครอง เข้ามาช่วย, มา “นำ” ไปในทิศทางที่ ชนชั้นนำ เห็นว่า ถูกต้อง, เหมาะสม.
  4. การหมุนเวียนชนชั้นนำ (Circulation of the elite), หมายถึง การเปิดรับสมาชิกใหม่เข้ามาในกลุ่ม, ด้วยการ “เลือกสรร” จาก “ชนชั้นกลางระดับสูง” ของสังคม เข้ามาเพื่อ ทดแทน หรือ ช่วยชนชั้นนำปฏิบัติงานด้านการเมือง. ดังนั้น จำนวนสมาชิกของ “ชนชั้นปกครอง” จึงไม่ลดลง เพราะได้รับสมาชิกใหม่ เข้ามาหมุนเวียนอยู่อย่างต่อเนื่อง. การรักษา “อำนาจทางการเมือง” ของ “ชนชั้นนำ” จึงเป็นไปในลักษณะของ การสืบทอดอำนาจ อย่างแยบยล, เพราะกลุ่มชนชั้นนำที่มีอายุมากขึ้น ก็จะถอยไปอยู่ “เบื้องหลัง”, คอยชี้แนะและชักนำให้ “ชนชั้นปกครอง” กลุ่มใหม่ ซึ่งหมุนเวียนเข้ามาทดแทนกลุ่มเดิม, กระทำการไปในทิศทางที่ เกื้อกูลผลประโยชน์ของ “ชนชั้นนำ” ไว้ อย่างที่เป็นอยู่ ต่อไป.
  5. การสนับสนุนจากกองทัพ. หมายความว่า “นายทหาร” ที่ดำรงตำแหน่งที่มีอำนาจระดับสูง, จะถูก “เลือกสรร” โดย “ชนชั้นนำ”, จึงมีความใกล้ชิดกับกลุ่มชนชั้นนำ. ผู้นำรัฐบาล จะอาศัย “สายสัมพันธ์” ในทางส่วนตัวนี้เอง ในการสร้าง “ข่ายอำนาจทางการเมือง”, ด้วยการสนับสนุนให้ “นายทหารระดับสูง” ได้เข้ามามี “บทบาททางการเมือง” เพื่อเป็น “หลักประกัน” ว่า ในยาม “จำเป็น”, หรือ เมื่อเกิด “วิกฤต”, นายทหารระดับสูง ซึ่งแม้จะออกจากกองทัพ มาทำงานการเมือง, ก็ยังคงมีอิทธิพล ที่จะโน้มน้าว ให้ “นายทหารอื่นๆ” ซึ่งเคยร่วมงานในกองทัพด้วยกัน, ได้เข้ามาช่วยเหลือ, หรือ เข้ามาแทรกแซงการเมือง ในกรณีที่ ชนชั้นนำทางการเมือง ไม่สามารถ “ควบคุม” ฝูงชนที่บ้าคลั่งไว้ได้.

 

Vilfredo Pareto ใช้ศัพท์ว่า Governing Elite (ชนชั้นนำทางการเมือง) เพื่ออธิบายถึง “อิทธิพลทางการเมือง” ของ “ชนชั้นนำ” ในสังคม ซึ่งอาจจะเข้ามามีบทบาทโดยตรงในทางการเมือง, หรือ มีอิทธิพลโดยอ้อม ด้วยการสนับสนุน “ทางการเงิน” แก่ ผู้สมัครและพรรคการเมือง (ซึ่งปัจจุบัน มีศัพท์เรียกว่า Fat Cats, หรือ “แมวอ้วน”, แต่ ในกรณีของพรรค Republican ของสหรัฐอเมริกา, มีศัพท์เรียกโดยเฉพาะว่า Super Rangers ซึ่งหมายถึง ผู้สนับสนุนทางการเงินแก่พรรค มากกว่า 1 ล้านเหรียญ, อาจดูจาก : www.whitehouseforsale.org ).

“ชนชั้นนำ” ในทัศนะของ Pareto จึงมีทั้ง “ชนชั้นนำทางการเมือง” และ “ชนชั้นนำที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง (Non-governing elite)” ซึ่งได้แก่ ผู้ประสบความสำเร็จสูงสุดในอาชีพ ที่ไม่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจทางการเมือง, เช่น นักประพันธ์ชั้นนำ, จิตรกรชั้นนำ, กวีชั้นนำ, นักดนตรีชั้นนำ, พ่อครัวชั้นนำของโลก, เป็นต้น.

Pareto อธิบายว่า พฤติกรรม หรือ การกระทำของคนเรานั้น มีอยู่ 2 แบบ, แบบที่ 1 เป็นพฤติกรรมที่ “สมเหตุสมผล (logical actions)” ; แบบที่ 2 เป็นพฤติกรรมที่ “ไม่สมเหตุสมผล (non-logical actions)”.

พฤติกรรมที่ “สมเหตุสมผล” ได้แก่ พฤติกรรมที่สามารถจะ “บรรลุผลได้” เพราะใช้ “วิธีการ” ที่ “สอดคล้อง” กันกับ “เป้าหมาย”. ยกตัวอย่างเช่น การทดลองทางวิทยาศาสตร์ว่า การทำให้ “น้ำ” เดือด, ในความสูงระดับน้ำทะเล, ต้องใช้ “อุณหภูมิ” ของความร้อนถึง 100 องศาเซลเซียส. แต่การทำให้ “น้ำ” เดือด, ในความสูงระดับยอดดอยอินทนนท์, ใช้ “อุณหภูมิ” ของความร้อนเพียง 75 องศาเซลเซียส, “น้ำ” ก็จะเดือด. ทั้งนี้เพราะ “ระดับความสูง” ทำให้ “แรงดึงดูดของโลก” ลดลง, จึงสูญเสีย “พลังงานความร้อน” น้อยลงตามไปด้วย.

“พฤติกรรมที่สมเหตุสมผล” อีกกรณีหนึ่ง ได้แก่ การใช้เหตุผลในทางวิศวกรรม, ซึ่งเกี่ยวข้องกับการคำนวณที่ละเอียดถี่ถ้วน. ดังนั้น, การที่ อาคารใดเกิดพังทลายลงมา ทั้งที่ไม่มีแผ่นดินไหว, จึงแสดงว่า การคำนวณการก่อสร้างอาคารดังกล่าว ไม่ถูกต้อง.

“พฤติกรรมที่ไม่สมเหตุสมผล” ได้แก่ พฤติกรรมที่ “ไม่มีเป้าหมาย”, หรือ พฤติกรรมที่ไม่สามารถจะบรรลุผลได้ เพราะไม่มีความสอดคล้องกัน ระหว่าง “เป้าหมาย” กับ “วิธีการ”. ยกตัวอย่าง เช่น ชาวบ้านต้องการให้ “ฝน” ตกลงมา, จึงทำการ “แห่นางแมว” ด้วยการนำ “แมว” มาขังในกรง แล้วแห่แหนไปทั่วหมู่บ้าน พร้อมทั้งเอา “น้ำ” มาสาดใส่ “แมว”, ย่อมไม่มีทางที่ “ฝน” จะตกลงมา. หรือ อยากจะร่ำรวย จึงหา “พระเครื่อง” ชื่อ พระทุ่งเศรษฐี มาบูชา, โดยไม่ขวนขวายในการเก็บออม, ก็ย่อมไม่มีทางที่จะร่ำรวยได้.

อย่างไรก็ดี, ต้องเข้าใจว่า “พฤติกรรมที่ไม่สมเหตุสมผล” ไม่ได้หมายความว่า “ไม่มีเหตุผล (irrational)”, แต่ “ความมีเหตุผล” กับ “ความสมเหตุสมผล” เป็นคนละเรื่องกัน. (มีนักวิชาการชาวอังกฤษ ชื่อ Tom Bottomore เขียนหนังสือชื่อ Elites and Society (Middlesex: Penguin Books, 1974) เข้าใจผิดพลาดมากในประเด็นนี้. นักวิชาการชาวฝรั่งเศส ชื่อ Raymond Aron เขียนหนังสือชื่อ Main Current in Sociological Thought 2 (Middlesex: Penguin Books, 1976) ชี้ให้เห็น “ความลุ่มลึก” ของแนวคิดเรื่องนี้ ของ Pareto, จึงควรตระหนักว่า “ฝรั่ง” บางคนก็ “มั่ว” เก่ง.

Pareto อธิบายว่า “ความสามารถในการอ้างเหตุผล (Derivation)” มีความสัมพันธ์โดยตรงกับ “พื้นฐานคุณลักษณะทางจิตวิทยา (Residues)” ซึ่งเป็นเรื่องของ สัญชาตญาณ, ความรู้สึกที่ฝังลึก (Sentiments) หรือ เจตคติ, และ ภาวะทางจิต (state of mind) ของบุคคลแต่ละคน.

กล่าวได้ว่า “พื้นฐานคุณลักษณะทางจิตวิทยา” เป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้ “การอ้างเหตุผล” ของบุคคล เป็นไปตามทิศทางของ ภาวะทางจิต (โลภ, โกรธ, หลง, บ้า, เคียดแค้น), หรือ ตามความโน้มเอียงทางเจตคติ (ชื่นชม, เกลียด, รัก, พอใจ, ยินดี)

“พื้นฐานคุณลักษณะทางจิตวิทยา” นี้ ไม่เคยเปลี่ยน, และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ (ภาษาไทยใช้ว่า “เป็นไปตามสันดาน”). สิ่งที่เปลี่ยนคือ การอ้างเหตุผล (ว่า จะอธิบาย โดยอ้าง สามัญสำนึก, อ้างประสบการณ์, อ้างผู้รู้, หรือ อ้างการทดลอง).

Pareto แบ่ง “พื้นฐานคุณลักษณะทางจิตวิทยา (Residues)” ออกเป็น 6 ชั้น (Class), โดยมนุษย์แต่ละคน จะมี “คุณลักษณะทางจิต” ทั้ง 6 ชั้นนี้ เหมือนกัน, เพียงแต่ว่า บุคคลใด จะมี “คุณลักษณะทางจิต” ชั้นใด มากกว่าชั้นอื่น, ก็จะถือว่า มีความโน้มเอียงที่จะมี “พื้นฐานทางจิต” เป็นคนในชั้นนั้น (คล้ายกันกับ กรณีที่ พระสมณโคดมพุทธเจ้า ได้แบ่ง “ระดับ” การรับรู้และการเรียนรู้ของบุคคล ออกเป็น 4 จำพวก, โดยอุปมากับ “ดอกบัว” ที่ “โผล่พ้นน้ำแล้ว” กับ “กำลังจะโผล่พ้นน้ำ” ว่า มีความสามารถที่จะเรียนรู้พุทธธรรม, และบรรลุความเป็น “พระอริยสงฆ์” ได้. ส่วนอีก 2 จำพวก คือ “บัวกลางน้ำ” กับ “บัวใต้น้ำ” นั้น, ยากจะบรรลุพุทธธรรม, ยากที่จะเรียนรู้, ยากที่จะบรรลุถึง ความเป็นอริยสงฆ์).

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย