ปรัชญา อภิปรัชญา ญาณวิทยา จิตวิทยา ตรรกศาสตร์ >>

ภาวะวิทยา ญาณวิทยา และวิธีวิทยา

แนวพินิจทางรัฐศาสตร์
ภาวะวิทยา ญาณวิทยา และวิธีวิทยา

ผศ. เชิญ ชวิณณ์ ศรีสุวรรณ

พัฒนาการของรัฐศาสตร์ในแง่สาขาวิชา
ลักษณะเด่นของ “พฤติกรรมศาสตร์”
สาระสำคัญของวิชารัฐศาสตร์ช่วงหลังทศวรรษ 1970
ความหมายทั่วไปของ Approach
แนวพินิจการแจกแจงอำนาจ (Power Distribution Approach)
ลักษณะสำคัญของพหุนิยม
วิพากษ์ “พหุนิยม”
แนวพินิจชนชั้นนำ (Elite Approach)
วิเคราะห์ Classical Elitists
พื้นฐานคุณลักษณะทางจิตฯ 6 ชั้น
จุดเน้นของแนวพินิจชนชั้นนำแบบคลาสสิก
แนวพินิจชนชั้นนำแบบใหม่

พื้นฐานคุณลักษณะทางจิตฯ 6 ชั้น

“พื้นฐานคุณลักษณะทางจิตฯ” 6 ชั้น มีดังต่อไปนี้

(1) The instinct for combinations (สัญชาตญาณในการประมวล) ตามนัยของ Pareto ถือว่า “สัญชาตญาณ” คือสิ่งที่อยู่ “ลุ่มลึกที่สุด” ในสภาวะทางจิต เป็นที่ ที่ “เจตคติ (Sentiments)” ก่อกำเนิดขึ้น. “สัญชาตญาณในการประมวล” มีความหมายว่า เป็นแนวโน้มที่บุคคล จะสร้าง “ความสัมพันธ์” ระหว่าง “ความคิด” ของตน กับ “สิ่งของ” ขึ้นมา, เช่น การรวม “สิ่งที่เหมือนกัน” เข้าด้วยกัน, แยกสิ่งที่ “ไม่เหมือนกัน” ออกไป, และ พิจารณาว่า “มีความคล้ายคลึงกัน” ของสิ่งของบางอย่าง (เช่น การมองเห็น “กบ” กระโดดได้ ก็ทำให้คนเราเรียนรู้ที่จะลองกระโดดให้ไกล คล้ายกับ “กบ”).

“สัญชาตญาณในการประมวล” ยังรวมไปถึง ความคิดริเริ่ม, ความสามารถในการอธิบาย, ความสามารถที่จะสรุปผล, ความสามารถในการจัดการ. กล่าวได้ว่า “สัญชาตญาณในการประมวล” เป็น “บ่อเกิด” ของ ความเฉลียวฉลาดและการเรียนรู้, หรือ การมีสติปัญญา.

(2) The persistence of aggregates (ความมุ่งมั่นที่จะรักษาสิ่งที่รวบรวมไว้แล้ว) ตามนัยของ Pareto หมายถึง แนวโน้มที่มนุษย์จะดำรงรักษาสิ่งที่ตนได้สร้างขึ้นมา, สิ่งที่มีอยู่ในความครอบครอง เป็นเจ้าของ, จึงพยายามต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ที่จะส่งผลกระทบต่อสิ่งที่ ตนเองได้รวบรวมไว้แล้ว, แต่จะมุ่งทำให้เกิด “ความมั่นคง” หรือ “ความมีเสถียรภาพ” ให้มากที่สุด. ถ้า “สัญชาตญาณในการประมวล” ทำให้เกิด การริเริ่มคิดถึงนวัตกรรมใหม่, การปรับเปลี่ยนไปสู่สิ่งใหม่ๆ, “ความมุ่งมั่นที่จะรักษา” ก็จะเป็นไปในทิศตรงข้าม คือ เน้นการอนุรักษ์, เน้นการดำรงสถานภาพเดิมไว้ให้นานที่สุด.

Pareto เชื่อว่า “คุณลักษณะทางจิตฯ” ชั้นที่ 1 (สัญชาตญาณในการประมวล) และ ชั้นที่ 2 (ความมุ่งมั่นที่จะรักษา) เป็น “คุณสมบัติ” ที่สำคัญที่สุด ที่ทำให้เกิด “ชนชั้นนำ” 2 ประเภท ขึ้นมา คือ ประเภทที่ 1 เฉลียวฉลาดประดุจ “สุนัขจิ้งจอก (Fox)”, ประเภทที่ 2 เด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นมีพละกำลังประดุจ “ราชสีห์ (Lion)”. (ในเวลาต่อมา Niccolo Machiavelli นักปรัชญาชาวอิตาเลียน ได้เขียนหนังสือชื่อ The Prince และนำแนวคิดเรื่อง Fox & Lion ไปอธิบายขยายความว่า ผู้ปกครองที่จะรักษาอำนาจเอาไว้ได้ ต้องเรียนรู้ที่จะเป็นทั้ง ราชสีห์และจิ้งจอก, คือ ใช้อำนาจแบบเด็ดขาด และโกหกหลอกลวงให้คนอื่นหลงเชื่อให้ได้).

(3) The need to manifest sentiments by external acts (ความปรารถนาที่จะแสดงเจตคติที่ฝังลึกในจิต ออกมาเป็นการกระทำ) หมายถึง ความหวาดกลัว (ความตาย) ทำให้มนุษย์ต้องแสวงหา “สิ่งที่จะยึดมั่นไว้” เพื่อทำให้จิตที่หวาดกลัวนั้น เข้มแข็งขึ้น, มี “ที่ยึดเหนี่ยวทางจิต” ในยามที่เกิดความทุกข์, ความเศร้าโศกเสียใจ. ดังนั้น มนุษย์จึง “สร้าง” ศาสนาขึ้นมา เพื่อ “ปลดปล่อยความหวาดกลัวในใจ” ออกมาเป็นพฤติกรรม ที่มนุษย์เห็นว่า ช่วยให้ตนเอง “หลุดพ้นจากความกลัว” ดังกล่าว. การสวดมนตร์, การขับร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า หรือทวยเทพ, การทำบุญ, การถือศีลภาวนา, ล้วนเกี่ยวข้องกับ เจตคติที่หวาดกลัว จึงต้องแสดงออกผ่านทางพิธีกรรมทางศาสนา. เช่นเดียวกัน, นักการเมืองที่หวาดกลัวการสูญเสียอำนาจ ก็จะใช้การรณรงค์ทางการเมือง, ฝ่ายที่ต่อต้านผู้มีอำนาจ ก็จะใช้การเดินขบวน เพื่อปลดปล่อยความกลัวออกมา เป็นการกระทำ “ร่วมกลุ่ม”.

(4) Residues as related to sociability (คุณลักษณะทางจิตที่ต้องการสมาคมกับผู้อื่น) หมายถึง ความต้องการที่อยากจะ “เป็นส่วนหนึ่ง” ของสังคม, แม้จะต้องยอมรับใน “หลักปฏิบัติ” และ “ค่านิยมของสังคม” ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับเป็น “วินัย” ของสังคม, มนุษย์ก็ยังยอมที่จะมี “ชีวิตทางสังคม” ซึ่งดีกว่าที่จะต้อง อยู่อย่างโดดเดี่ยวตามลำพัง แบบเดียวกับ ชีวิตของ “แมว” ซึ่งไม่มีสังคม (เป็นสัตว์ชนิดเดียวที่ไม่ผูกพันกับครอบครัว หรืออยู่ร่วมกับแมวตัวอื่น, ไม่เหมือนสัตว์อื่นๆทั่วไป). กฎ, กติกา, และมารยาท, ถือว่า เป็น “วินัย” ของสังคมที่ผู้เป็นสมาชิก จะต้องปฏิบัติตาม, แม้จะ “ไม่ชอบ” ก็ตาม.

(จากพื้นฐานที่มนุษย์ ต้องอาศัย “ระยะเวลา” นานมาก ในการ “พึ่งพา” การเลี้ยงดูของพ่อแม่ หรือ บุคคลอื่น, กว่าที่จะพึ่งตนเองได้, มนุษย์จึงมี “ธรรมชาติ” ที่จะแสวงหา “กลุ่ม” ของตนเอง, เช่น กลุ่มเพื่อน, กลุ่มญาติ, กลุ่มเพื่อนร่วมงาน, เพื่อจะได้เป็น “อันหนึ่งอันเดียวกัน” เช่น มีความคิด ความเชื่อตรงกัน หรือ ใกล้เคียงกัน จึงมาอยู่เป็น “พวก” เดียวกัน, หรือ “พรรค” เดียวกัน)



(5) The integrality of the individual and of his dependencies (ความจำเป็นในการรักษาความเป็นปึกแผ่นและการพึ่งพาอาศัยกัน) เป็นเรื่องของ ความแตกต่างระหว่างบุคคล ที่บางคนมีฐานะสูงกว่าคนอื่นๆ, จึงทำให้เกิด ความจำเป็น ที่จะต้อง “อยู่ร่วมกันในสังคม” โดยให้มีความขัดแย้ง เกิดขึ้นน้อยที่สุด, ด้วยการ “กระทำต่างตอบแทนซึ่งกันและกัน”, กล่าวคือ ผู้ที่มีฐานะสูงกว่า, ดีกว่า, ร่ำรวยกว่า, ต้องปกป้อง ช่วยเหลือ ผู้ที่มีฐานะต่ำกว่า, หรือ ด้อยกว่า. ส่วนผู้ที่มีฐานะต่ำกว่า ก็จะต้อง ยอมรับอำนาจและการดูแลของผู้ที่มีฐานะสูงกว่า. (ปัจจุบัน มีแนวคิดเรื่อง “การแบ่งช่วงชั้นทางสังคม (Social Stratification)” ที่พยายามชี้ว่า ความแตกต่างกันในสังคม เป็นเรื่อง “ปกติธรรมดา”, แต่การมีชีวิตอยู่ในสังคม ต้องมีการ “กระจายรายได้และความเป็นธรรม” ให้มากขึ้น, ซึ่งก็เป็นที่มาของ แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์สวัสดิการ ที่เกิดขึ้นในแถบ สวีเดน, นอรเวย์, เดนมาร์ก, แคนาดา)

(6) Sexual residues (ความปรารถนาทางเพศ) เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ สุนทรียภาพ, เช่น ความสวยงามของภาพวาด, ความไพเราะของดนตรีและบทเพลงจากการขับร้อง, ความรัก, ความต้องการทางเพศ.

Pareto เห็นว่า “ความปรารถนาทางเพศ” เป็นที่มาของ การสร้างสุนทรียภาพต่างๆขึ้นมา, ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ผู้สรรสร้างล้วน ผิดหวัง, ทนทุกข์กับความอ้างว้าง, เพราะไม่สมปรารถนาทางเพศ (เป็นที่มาของแนวคิด เรื่อง Sex Drive (แรงขับทางเพศ) ของ Sigmund Freud, ซึ่งอธิบายพฤติกรรมที่ก้าวร้าว อันเนื่องมาจาก “การเก็บกดเรื่องเพศ” หรือ การไม่สมหวังทางเพศ). “คุณลักษณะทางจิต” ที่เกี่ยวกับเพศรสนี้ Pareto ถือว่า ผู้ที่มี “ลักษณะทางจิต” ชั้นนี้ มากกว่าชั้นอื่น จะไม่มีโอกาสขึ้นมาเป็น “ชนชั้นนำ” ได้เลย, แต่จะเป็นผู้ที่ “ระทมทุกข์ (Desperado)” อยู่ในโลกของความฝัน มากกว่า.

Pareto สรุปว่า “พื้นฐานคุณลักษณะทางจิต” มีส่วนสำคัญ ที่ทำให้ “การอ้างเหตุผล (Derivation)” จะเป็นเรื่องที่ “สมเหตุสมผล (logical)” หรือไม่. เนื่องจาก “ชนชั้นนำ” มี “คุณลักษณะทางจิต” ที่เฉลียวฉลาดและกล้าหาญเด็ดเดี่ยว, จึงสามารถที่จะ ใช้การ “อ้างเหตุผล” เพื่อดึงดูดใจของคนส่วนใหญ่ในสังคม ได้ดีกว่าคนโดยทั่วไป. (คือ ฟังแล้ว ดูจะสมเหตุสมผลดี).

“วิธีการ” ในการอ้างเหตุผล ของ “ชนชั้นนำ” มีหลายวิธี เช่น อ้างว่าเป็นเรื่องที่ “หลีกเลี่ยงไม่ได้” (จึงต้อง ลดค่าเงินบาท, จึงต้อง พึ่งพา IMF) ; หรือ อ้าง “มายาคติ” (ภาพลวงตา) เพื่อเร้าอารมณ์ เช่น อ้าง “ผลประโยชน์ของชาติ”, อ้างความเป็นระเบียบของสังคม ; หรือ อ้าง “อภิปรัชญา” (ซึ่งพิสูจน์ได้ยาก) เช่น เพื่อความเสมอภาคและความมีมนุษยธรรม, เพื่อพัฒนาประชาธิปไตย.

Robert Michels ได้เสนอแนวคิดว่า การที่คนส่วนใหญ่ ไม่สามารถปกครองตนเองได้ เป็นเพราะ การหาข้อสรุปจากการเปิดเสรีให้มีการแสดงความเห็น เป็นเรื่องที่ ยิ่งจะหา “ข้อสรุป” ได้ยาก. แต่ถ้าให้โอกาส “ผู้แทน” ซึ่งมีจำนวนไม่มาก, เข้ามาหารือ และหาข้อสรุป, จะกระทำได้รวดเร็วกว่า มีประสิทธิภาพมากกว่า.

อย่างไรก็ตาม, “ผู้แทน” ของประชาชน, ซึ่งมาจาก “พรรคการเมือง”, โดยเฉพาะผู้ที่ “มีตำแหน่งเป็นผู้บริหารในพรรค” และได้เข้ามา “บริหารประเทศ” เป็นรัฐบาล, ก็จะมีความชำนาญในการจัดการทางการเมือง เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ, ในขณะที่ ประชาชนส่วนใหญ่ ถูกครอบงำ และสูญเสีย “ความเป็นตัวเอง” ลงเรื่อยๆ.

Michels จึงสรุปว่า ผลของ “การแบ่งงานกันทำ”, โดยการที่ประชาชน ยินยอมให้ “ผู้แทน” เข้าไปมีบทบาทและมีอำนาจทางการเมือง แทนตนเองนั้น, ใน “มุมกลับ” ยิ่งทำให้ “ผู้แทน” มีความชำนาญในทางการเมืองเพิ่มมากขึ้น, ขณะที่ประชาชน ไม่มีความรู้ความชำนาญทางการเมือง ในลักษณะนี้เลย.

Michels จึงตั้งเป็น “กฎ” เรียกว่า “กฎเหล็กแห่งคณาธิปไตย (The Iron Law of Oligarchy)” ว่า ที่ใดมีการแบ่งงานกันทำ, ที่นั่นจะเกิด “คณาธิปไตย” ทางการเมือง (คือ มี “ชนชั้นนำ” เพียงไม่กี่กลุ่ม ที่จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน, หรือ ร่วมมือกัน, มีอำนาจทางการเมือง).

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย