ปรัชญา อภิปรัชญา ญาณวิทยา จิตวิทยา ตรรกศาสตร์ >>
ภาวะวิทยา ญาณวิทยา และวิธีวิทยา
แนวพินิจทางรัฐศาสตร์
ภาวะวิทยา ญาณวิทยา และวิธีวิทยา
ผศ. เชิญ ชวิณณ์ ศรีสุวรรณ
แนวพินิจทางรัฐศาสตร์
ซึ่งมีทั้งแบบจุลภาค, และแบบมหภาค, แต่ละแนว ย่อมมีทั้ง จุดแข็ง และ จุดอ่อน.
แนวพินิจแบบจุลภาค มี จุดแข็ง ตรงที่ สามารถที่จะมองเห็น รายละเอียด ได้มากกว่า
และชัดเจนกว่า แนวพินิจแบบมหภาค. ทั้งนี้เนื่องจาก แนวพินิจแบบมหภาค ย่อมจะเน้น
การมองภาพรวม ของการเมือง, ซึ่งเรียกว่า ระบบการเมือง, อันเป็นการมองแบบกว้างๆ,
ไม่เน้นที่จุดใดจุดหนึ่ง เป็นพิเศษ. ในทางตรงกันข้าม, แนวพินิจแบบจุลภาค
จะให้ความสำคัญกับ บทบาท ของ ผู้แสดงทางการเมือง อย่างเช่น ชนชั้นนำ, กลุ่ม,
พรรคการเมือง, อย่างสูง, จึงทำให้เห็น รายละเอียดของภาพการเมือง ในเชิงแนวคิด
และเชิงเหตุผล ที่ละเอียด ลึกซึ้งกว่า การอธิบายภาพกว้างๆ ของ
โครงสร้างอำนาจของระบบการเมือง, ตามแนวพินิจแบบมหภาค.
จุดอ่อน ของแนวพินิจแบบจุลภาค คือ ให้ความสนใจกับ รายละเอียด ของ
ผู้แสดงบทบาททางการเมือง คือ ชนชั้นนำ, กลุ่ม, พรรคการเมือง, มากเกินไป
จนไม่เห็นรายละเอียดของ ความสัมพันธ์ทางสังคม, โครงสร้างอำนาจทางเศรษฐกิจ,
และโครงสร้างอำนาจทางวัฒนธรรม รวมทั้งโครงสร้างทางด้านเชื้อชาติ, ซึ่งเป็น
โครงสร้างที่ใหญ่กว่า ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ระหว่าง ชนชั้นนำ, หรือ ระหว่าง
กลุ่ม ในสังคม
ส่วน จุดอ่อน ของแนวพินิจแบบมหภาค คือ ไม่สามารถจะมองเห็นว่า ใคร
ตัดสินใจอย่างไร ในทางการเมือง, ทำให้การเมืองเป็นเสมือนหนึ่ง กล่องดำ
ของเครื่องบิน. ทั้งนี้เพราะ แนวพินิจระบบ, และ แนวพินิจการพัฒนาการเมือง,
ซึ่งเป็นแนวพินิจแบบมหภาค, ล้วนแต่เพ่งเล็ง โครงสร้างของระบบการเมือง โดยเฉพาะ
การทำหน้าที่ ของระบบการเมืองจึงไม่เห็นภาพ ปฏิสัมพันธ์ ระหว่าง ระบบ กับ
ปัจเจกชน หรือ กลุ่มคน. การเมือง ที่มองด้วยสายตาของ แนวพินิจแบบมหภาค
จึงแปลกแยกอย่างยิ่ง, เพราะเห็นแต่ โครงสร้างทางการเมือง ที่ ทำหน้าที่ ต่างๆ,
เช่น การสร้างสถาบันทางการเมือง เพื่อจะมีความมั่นคง และมีการพัฒนาทางการเมือง,
ประหนึ่งว่า ปัจเจกชน, กลุ่มคนในสังคม, ไม่มีบทบาทสำคัญทางการเมือง เท่ากับ
การทำหน้าที่ ของ ระบบการเมือง. จึงเท่ากับว่า แนวพินิจแบบมหภาค
มองประชาชนในระบบ เป็นผู้ถูกกระทำ (passive) มากกว่าที่จะเป็น ผู้กระทำ (active).
การเมือง ที่อธิบายโดย แนวพินิจแบบมหภาค เรียกได้ว่า เป็นการเมืองแบบพัฒนาน้อย,
เพราะประชาชน ไม่ได้กระทำ หรือ แสดงบทบาททางการเมือง มากเท่ากับ ระบบการเมือง.
แนวพินิจแบบมหภาค ยิ่งจะไม่สามารถนำไปอธิบาย สภาพการเมือง หรือแม้แต่
ปรากฏการณ์ทางการเมือง ในสังคมประชาธิปไตยได้, เช่นเดียวกับ แนวพินิจแบบจุลภาค.
ถ้า แนวพินิจแบบจุลภาค และแบบมหภาค ต่างก็มี จุดอ่อน และ ข้อจำกัด
ในการนำไปใช้อธิบาย ปรากฏการณ์ทางการเมือง, ดังได้กล่าวในแง่ของ วิธีวิทยา และ
ญาณวิทยา แล้วนั้น, นักรัฐศาสตร์ จะหาทางออก จาก ความอับจนทางวิชาการ
นี้อย่างไร?
กระแสที่เกิดขึ้นทางรัฐศาสตร์ตะวันตกในขณะนี้ก็คือ นักรัฐศาสตร์หลายคนได้เสนอให้ ย้อนกลับไปพิจารณา สาระสำคัญ หรือ แก่นแท้ ของรัฐศาสตร์ ว่า ไม่มีทางที่จะทอดทิ้ง ปรัชญาการเมือง ซึ่งเป็น ฐานคิดเบื้องต้น เสมือนก้าวแรก ของการเดินทางหลายหมื่นไมล์, หลายพันปี, ของมนุษยชาติ, ไปได้. เพราะที่ใดมีมนุษย์, ที่นั้น มีการเมือง. ที่ใด มีการเมือง, ที่นั้น ก็ต้องมีปรัชญาการเมือง ซึ่งจะตั้งคำถาม ต่อ ผู้มีอำนาจ, ถึงเรื่อง สิทธิตามธรรมชาติ, สิทธิของความเป็นมนุษย์, เสรีภาพและอิสรภาพ ของความเป็นมนุษย์, ผลประโยชน์ที่มนุษย์ทุกคน ควรจะได้รับอย่างทัดเทียมกัน, รวมไปถึง การจำกัดอำนาจในการปกครอง มิให้กระทบต่อ ชีวิต และทรัพย์สินของมนุษย์, เหมือนที่เคยเกิดขึ้น, และก็ยังคงจะต้องเกิดขึ้น, เช่นนี้, ไม่ว่า จะกี่อีกล้านปี ในภายหน้า. บางทีช่วงเวลานี้ อาจจะถึงเวลาของ การถอดรื้อญาณวิทยาทางทฤษฎี (Deontological theory) ก็เป็นได้
นักรัฐศาสตร์ หลายคน จึงเริ่ม ส่งเสียง ขึ้นมาว่า เราจะยึดแนวพินิจแบบที่มอง ปัญหาเป็นหลัก (problem-driven) หรือยึดเอาแบบที่มอง วิธีการเป็นหลัก (method-driven) และจริงๆแล้ว จำเป็นไหม ที่นักรัฐศาสตร์จะต้อง แบกทฤษฎี (theory laden) ไว้ทุกครั้งที่สังเกตการณ์. ถ้าใครสักคน สร้างเครื่องปิ้งขนมปัง ทุกคนจะสร้างตามกันหมดหรืออย่างไร?
รัฐศาสตร์ ในแง่ที่เป็น วิชา ซึ่งครั้งหนึ่ง เคยมีความสำคัญมาก, จนท่าน อาริสโตเติ้ล, บิดาของวิชารัฐศาสตร์, ถึงกับยกย่องให้เป็น ศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ (Master Science) หรือ ที่ผู้รู้บางท่านแปลว่า ราชันย์แห่งศาสตร์, เพราะช่วยให้มนุษย์ เรียนรู้ที่จะควบคุมจิตใจ และเหตุผล เพื่อสร้างสังคมบุรี ในยุคนั้น, ให้มนุษย์สมบูรณ์ทั้งทางกาย, ความคิด, และจิตวิญญาณ ในอันที่จะรับผิดชอบต่อ ชีวิตทางการเมือง, ฤาจะถึงจุด วนกลับมา นับหนึ่ง กันใหม่, ณ จุดของ การถกเถียงทางปัญญา (Dialogue) เฉกเช่นเดียวกับ บรรพชนในอดีต คือ ท่านโศกรเทศ หรือ Socrates ได้เคยกระทำกับเหล่า ผู้แสวงหาปัญญาและความรู้ ของนครรัฐเอเธนส์.
อาจกล่าวได้ว่า อิทธิพลของรัฐศาสตร์แบบอเมริกัน เริ่มปรากฏให้เห็นตั้งแต่กลางทศวรรษ 1950, เมื่อ ศาสตราจารย์ David Easton ผู้สอน ณ มหาวิทยาลัยชิคาโก, ได้พิมพ์หนังสือชื่อ The Political System (1953) เพื่อเสนอแนะให้นักรัฐศาสตร์ มอง การเมือง อย่างเป็น ระบบ โดยชี้ให้เห็นว่า การเมืองเป็นเรื่องของ การจัดสรรสิ่งที่มีคุณค่าซึ่งมีผลผูกพัน/บังคับคนในสังคม (authoritative allocation of values)
พัฒนาการของรัฐศาสตร์ในแง่สาขาวิชา
ลักษณะเด่นของ พฤติกรรมศาสตร์
สาระสำคัญของวิชารัฐศาสตร์ช่วงหลังทศวรรษ 1970
ความหมายทั่วไปของ Approach
แนวพินิจการแจกแจงอำนาจ (Power Distribution Approach)
ลักษณะสำคัญของพหุนิยม
วิพากษ์ พหุนิยม
แนวพินิจชนชั้นนำ (Elite Approach)
วิเคราะห์ Classical Elitists
พื้นฐานคุณลักษณะทางจิตฯ 6 ชั้น
จุดเน้นของแนวพินิจชนชั้นนำแบบคลาสสิก
แนวพินิจชนชั้นนำแบบใหม่