วิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา >>
พืชที่ให้สารกระตุ้น
(Stimulated Plants)
คุณค่าทางอาหารและผลที่มีต่อสุขภาพ
พืชให้สารกระตุ้นที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศไทย
พืชให้สารกระตุ้นที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศไทย
ชา ( tea ) Camellia sinensis ( L.) Kuntze
วงศ์ CAMILLIACEAE
ถิ่นกำเนิด
แถบตะวันตกเฉียงใต้ของจีนจรดแถบตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียแหล่งกำเนิดดั้งเดิมน่าจะอยู่ทางตอนเหนือของประเทศพม่า
แถบลุ่มน้ำอิระวดี
ชาวจีนนำชามาใช้ประโยชน์นานกว่า 4,000 ปี ในคริสตศตวรรษที่ 9
มีการปลูกชาในประเทศญี่ปุ่น โดยมีการนำเมล็ดมาจากจีน
ชาวจีนได้ปลูกชาและส่งเป็นสินค้าส่งออกไปยัง ตุรกี
และรัสเซียโดยชาวมงโกลเป็นผู้บรรทุกกองคาราวานสินค้าจากจีนไปจำหน่ายยังที่ต่าง ๆ
และในตอนต้นของ
คริสตศตวรรษที่ 17 มีการขนส่งชาทางเรือไปจำหน่ายยังทวีปยุโรป
เป็นระยะเวลาต่อเนื่องกันถึง 300 ปี ต่อมามีการปลูกชาในอินเดีย (ค.ศ. 1840)
ศรีลังกา (ค.ศ. 1870) และอินโดนีเซีย (ค.ศ. 1880)
เพื่อการส่งออกจำหน่ายในทวีปยุโรปด้วย
ชาที่ปลูกในประเทศจีนและญี่ปุ่นนั้นเรียกว่า ชาจีน(China tea)
มีชื่อวิทยาศาสตร์ Camellia sinensis var. sinensis
ส่วนชาที่พบเป็นพืชพื้นเมืองของอินเดียนั้นเรียกว่า ชาอัสสัม(Assam tea)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Camellia sinensis var. assamica
และในปัจจุบันมีการปลูกชาที่เป็นลูกผสมระหว่างชาทั้งสองสายพันธุ์นี้ด้วย
แหล่งปลูกชาที่สำคัญของโลกได้แก่ เอเชียใต้ เอเชียตะวันตก
เอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แอฟริกา และอเมริกาใต้
การนำมาใช้ประโยชน์ นำใบชาแห้งที่ผ่านการผึ่ง การนวด การขยี้ การบ่ม
และการทำให้แห้งมาชงในน้ำร้อน ซึ่งเป็นชาดำที่ผลิตจากชาจีน 78 %
ของที่บริโภคทั่วโลก ส่วนชาดำที่ผลิตจากชาอัสสัมมีสีเข้มและรสชาติเข้มข้น
นิยมดื่มใส่นม ส่วนชาเขียวเป็นใบชาที่มีการคั่วหรืออบไอน้ำ
เพื่อทำลายเอนไซม์ป้องกันการเกิดปฏิกริยาออกซิเดชันของสารโพลีฟีนอล(polyphenols)
ทำให้ชาเขียวมีรสชาติฝาดมากกว่าและมีรสชาติแตกต่างออกไปจากชาดำ
ส่วนการผลิตชาดำนั้นจะมีขั้นตอนในการหมักใบชาให้เกิดกระบวนการของปฏิกริยาออกซิเดชันสารโพลีฟีนอล(polyphenols)
ให้เปลี่ยนแปลงเป็นสารประกอบ เทียฟลาวินส์(theaflavins)
และทีรูบิจินส์(tearubigins) ที่ทำให้ชาดำมีรสชาติเฉพาะและมีสีน้ำตาล
ในการจำหน่ายจะนำใบชาแห้งบรรจุลงซองกระดาษ กล่องกระดาษ ซองพลาสติก
หรือกระป๋องทั้งนี้ขึ้นกับระยะทางในการขนส่ง คุณภาพของสินค้า และราคาที่วางจำหน่าย
ในปัจจุบันมีการผลิตเครื่องดื่มชาสำเร็จรูปพร้อมดื่มบรรจุขวดหรือบรรจุกระป๋อง
โดยมีการปรุงแต่งรสชาติ หรือผสมน้ำผลไม้บางชนิดลงไป เช่น มะนาว และพีช
ในใบชาแห้งที่วางจำหน่ายในท้องตลาดก็มีการปรุงแต่งรสชาติ
โดยการเติมเครื่องเทศหรือชิ้นส่วนของพืชที่ให้นำมันหอมระเหยลงไป ได้แก่
เปลือกแห้งของผลเบอร์กามอท(bergamot) เปลือกแห้งของผลส้ม(orange)
กลิ่นดอกมะลิ(jasmine) ในประเทศพม่านิยมนำใบชามาหมักเป็นอาหารเรียกว่า เมี่ยง
คุณค่าทางอาหาร ใบชาเขียวที่ผลิตจากชาอัสสัมแห้งหนัก 100 กรัม
ประกอบด้วยสารโพลีฟีนอล 30-35 กรัม คาร์โบไฮเดรต 22 กรัม โปรตีน 15 กรัม คาเฟอีน
3-4 กรัม กรดอะมิโน 4 กรัม กรดอินทรีย์ 0.5 กรัม สารระเหย 0.01 กรัม เซลลูโลส 7
กรัม ลิกนิน 6 กรัม ไขมัน 3 กรัม
ใบชาจีนมีปริมาณสารโพลีฟีนอล น้อยกว่าชาอัสสัมครึ่งหนึ่ง และมีประมาณ ¾
ของใบชาลูกผสม ชาดำมีการหมักที่ทำให้มีสารระเหยที่มีกลิ่นหอมอยู่ประมาณ 650 ชนิด
ส่วนชาเขียวที่กรรมวิธีในการผลิตไม่มีการหมักนั้นจะมีสารระเหยที่มีกลิ่นหอมอยู่ประมาณ
250 ชนิด
การเก็บเกี่ยว ใช้มือเด็ดหรือเครื่องสำหรับตัดยอดชา
เมื่อทรงพุ่มของต้นมีขนาดเหมาะสมโดยการเลือกยอดที่กำลังเจริญเติบโตและมีใบอ่อน 2 ใบ
หรือใบอ่อน 3 ใบ ขึ้นกับคุณภาพและกรรมวิธีในการผลิต
ระยะเวลาในการเก็บเกี่ยวแต่ละครั้งขึ้นอยู่กับสภาพของต้นและสภาพแวดล้อม
การขยายพันธุ์ ชาเป็นไม้พุ่มไม่ผลัดใบ มีอายุหลายปี
บางสายพันธุ์มีขนาดใหญ่จนสามารถถูกจัดเป็นไม้ยืนต้นได้
ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดหรือการปักชำกิ่ง การติดตา และการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ






